กับดักในการทำธุรกิจของคนทั่วๆ ไป สิ่งแรกคือ คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี มองไปทางไหนมีคนทำแล้ว ยิ่งจะทำอะไรให้แตกต่างคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออก แต่บางคนหยิบจับอะไรดูเหมือนง่ายไปหมดจนร่ำรวยเป็นร้อยล้าน
คนแรกชื่อ "เฮียวิเชียร" ฉายาประมูลทุกอย่างที่ขวางหน้า ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบไซโล 100 กว่าล้านก็ประมูลมาแล้ว ประมูลเสร็จเอามาตัดแผ่นเหล็กขายแป๊บเดียวฟันกำไรเป็นสิบๆ ล้าน บ้านเก่าหรือบ้านทรงไทยเป็นหลังๆ ทีวีจอแบนในสนามบินร้อยๆ เครื่อง รถเก๋งจนถึงเครื่องเทปบันทึกเสียง นาฬิกาปลุกเรือนละ 3 บาท ประมูลครั้งละไม่น้อยกว่าตันรถสิบล้อก็ทำมาแล้ว
เคยถามว่าแล้วขายให้ใคร เฮียวิเชียรบอกว่า ไม่รู้ๆ เดี๋ยวก็มีคนมาซื้อเองไม่เคยมีปัญหา คนนี้ทุกวันนี้รวยเป็นร้อยล้าน
"บี" เริ่มธุรกิจตัวเองตั้งแต่อายุ 18 ปี ด้วยความที่มีบ้านใกล้นิคมอุตสาหกรรม ตอนจบ ปวช.เคยฝึกงานและเป็นลูกจ้างในบริษัทขายเครื่องอุปกรณ์เซฟตี้ในโรงงาน จำหน่ายถุงมือ รองเท้า เสื้อผ้า แต่เจ้าของติดการพนันจึงเลิกกิจการ เธอรู้แหล่งซื้อสินค้าและช่องทางการขายจากบริษัทเก่าอย่างดี จึงตั้งบริษัทสานต่อธุรกิจเดิมที่เคยเป็นลูกจ้าง
ล่าสุดเปิดบริษัทผลิตหมวกแก๊ปให้คนงานในโรงงานอีกบริษัทโดยอาศัยช่องว่างการตลาด ที่เจ้าเก่าจะรับออร์เดอร์ครั้งละเป็นพันๆ ใบ จึงตั้งบริษัทรองรับลูกค้ารายย่อยๆ ครั้งละไม่กี่ร้อยใบที่รายใหญ่ไม่รับ ทุกวันนี้ออร์เดอร์ล้นจนผลิตไม่ทัน เธอบอกว่าอีกไม่กี่ปีจะเลิกทำงาน ขอเที่ยวอย่างเดียว
"มิงค์" เด็กหนุ่มช่างคิด ทำธุรกิจ "หาของที่คนอยากได้" บางคนอยากได้กระเป๋าพื้นบ้านที่ผลิตในเมืองต่างๆ ในยุโรป หรือลูกค้าบางคนอยากจะกินคุกกี้ที่มีขายในฮอกไกโด มิงค์จัดให้ เรียกว่าใครอยากได้อะไรในโลกนี้ขอให้บอกเขาจะหามาให้
เคล็ดลับธุรกิจนี้ต้องมีเครือข่ายที่เป็น สจ๊วร์ต หรือ แอร์โฮสเตส หรือนักเรียนไทยที่อยู่ต่างประเทศ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นดาราและลูกเศรษฐี ข่าวว่าธุรกิจกำลังไปได้สวย
นี่แค่น้ำจิ้ม ยังมีคนอีกเยอะแยะที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจจากสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว ไม่ต้องใหญ่แต่กำไรดี
คอลัมน์ เมืองไทย 25น./ทวี มีเงิน
ข่าวสดออนไลน์, 17 พ.ค.2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น