++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

FW: จงช่วยคน เมื่อมีโอกาส เถิด

นิทานเรื่องหนึ่งของ ลีโอ ตอลสตอย นักเขียนรางวัลโนเบลชาวรัสเซีย...

จักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ครุ่นคิดถึงปัญหา 3 ข้อมาเป็นเวลานาน
พระองค์คิดว่าถ้าตอบคำถามนี้ได้จะทำให้พระองค์ทรงทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย
คำถาม 3 ข้อนี้คือ

1. เวลาไหนที่สำคัญที่สุด

2. ใครคือคนที่สำคัญที่สุด

3. ภารกิจอะไรที่สำคัญที่สุด

พระองค์รับสั่งให้ป่าวประกาศไปทั่วอาณาจักรของพระองค์ว่า
ใครก็ตามที่สามารถตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้ จะได้รับรางวัลมหาศาล
คนทั้งหลายเมื่อได้อ่านประกาศนั้นแล้ว
ต่างก็พากันเดินทางมุ่งมายังวังของพระจักรพรรดิทันที
แต่ละคนก็มีคำตอบที่แตกต่างกันออกไป

พระจักรพรรดิไม่พอพระทัยคำตอบไหนเลย
เพราะว่ามันแตกต่างกันไปหมด และก็เลยไม่มีใครได้รับรางวัล

หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายคืน
พระจักรพรรดิก็ตัดสินพระทัยที่จะไปหาฤาษีตนหนึ่งผู้อาศัยอยู่บนเขา
และว่ากันว่าเป็นผู้รอบรู้ในทุก ๆ ด้าน
พระจักรพรรดิปรารถนาที่จะไปตรัสถามคำถามของตนทั้ง ๆ
ที่รู้ว่าฤๅษีนั้นจะต้อนรับแต่เฉพาะคนยากจนเท่านั้น
ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวยหรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์
พระจักรพรรดิจึงต้องปลอมตัวเป็นชาวนาธรรมดา
และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา
โดยที่พระจักรพรรดิทรงไต่เนินเขาขึ้นไปพบฤๅษีตามลำพัง

พอมาถึงที่อยู่ของ "ผู้รู้" ที่ว่านั้น
พระจักรพรรดิก็ทรงพบว่าฤๅษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อมเล็ก ๆ ของตน
เมื่อฤๅษีแลเห็นคนแปลกหน้าก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป
เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนัก เพราะฤๅษีนั้นชรามากแล้ว
แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมา ท่านจะต้องหอบแรง ๆ ทุกครั้งไป

พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า
"ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3
ข้อของผมคือ

1. เวลาไหนที่สำคัญที่สุด

2. ใครคือคนที่สำคัญที่สุด

3. ภารกิจอะไรที่สำคัญที่สุด

ฤๅษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่แต่มิได้ตอบ
เพียงแต่เอามือตบไหล่พระจักรพรรดิเบา ๆ และก็ขุดดินต่อไป
พระจักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ"
ฤๅษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้พระจักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น

หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง
พระจักรพรรดิก็หยุดและหันมาถามปัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง
ฤๅษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบและบอกว่า
"หยุดพักได้แล้วละ ฉันทำต่อไปได้แล้ว"
แต่พระจักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป
ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา
พระจักรพรรดิทรงวางจอบลงและหันมาตรัสกับฤๅษีว่า
"ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม
หากท่านไม่สามารถตอบได้โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม"

ฤๅษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า
"เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า"
พระจักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร
ทันใดนั้นทั้งสองก็แลเห็นชายมีเคราขาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าละเมาะ
ชายคนนั้นวิ่งเตลิดมา มือทั้งสองกุมบาดแผลโชกเลือดที่ท้อง
เขาวิ่งตรงมายังพระจักรพรรดิ ก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไปตรงพื้นดินนั้น
พอเปิดเสื้อผ้าออก
ทั้งจักรพรรดิและฤๅษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น
พระจักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผลแล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้
เพียงประเดี๋ยวเดียวเสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด
พระจักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผลอีกเป็นครั้งที่สอง
และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเลือดหยุดไหล

เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ
พระจักรพรรดิรีบวิ่งไปที่ลำธาร ตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง
ขณะนั้นดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว
ฤๅษีช่วยพระจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อมและให้นอนบนเตียงของตน
ชายคนนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป
พระจักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกันด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีนเขาและการขุดดินทั้งวัน
และมาตื่นบรรทมขึ้นเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว
พระจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหนและมาทำอะไร
ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที
และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมองมายังตนอย่างฉงนฉงาย พอเห็นพระจักรพรรดิ
ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
"ได้โปรดประทานอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ด้วย"

"แต่เธอทำอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย" จักรพรรดิตรัสถามกลับ

"ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี
พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าตายเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้
และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด
ข้าพระองค์จึงถือว่าท่านคือศัตรูคู่อาฆาตและได้ปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้
เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤๅษีตามลำพัง
ข้าพระองค์จึงตั้งใจจะดักฆ่าท่านเสียตอนท่านเสด็จกลับ
แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา
แต่แทนที่จะพบท่าน ข้าพระองค์กลับไปเจอเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า
พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้ และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บนี่แหละ
แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่
ถ้าไม่ได้พบท่าน ป่านนี้ ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว
ข้าพระองค์ตั้งใจจะฆ่าท่าน แต่ท่านกลับช่วยชีวิตข้าพระองค์ไว้
ข้าพระองค์รู้สึกละอายใจ และสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก
หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไป
ขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป
และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย
ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด"

พระจักรพรรดิดีพระทัยยิ่งนักที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย
นอกจากจะประทานอภัยแล้ว
ยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติที่ริบมาจากชายผู้นั้น
ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล
จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว
พระจักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤๅษีอีกครั้ง เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้าย
และพบว่าฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงในแปลงดินที่ขุดไว้เมื่อวาน

ฤๅษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางพระจักรพรรดิ
"คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่"

"อย่างไรกัน" พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง

"เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉัน
และลงมือช่วยฉันขุดดิน ท่านก็คงถูกทำร้ายโดยชายผู้นั้นตอนขากลับ
และคงต้องโทมนัสใจอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน
ดังนั้นเวลาที่สำคัญที่สุดตอนนั้นก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการช่วยฉันขุดดิน
จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา
เวลาที่สำคัญที่สุดก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา
เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป
และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา และเช่นเดียวกัน
บุคคลสำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น
และภารกิจสำคัญที่สุดก็คือการรักษาพยาบาลเขา"

"จงจำไว้ว่า มีเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน"
ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คือคนที่อยู่ต่อหน้าเรา
เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้น ๆ
มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"

--------------------------------

อนาคต ยังมาไม่ถึง พะวงมากทำไม

อดีต ผ่านไปแล้ว คิดคะนึง มากไปใย

ปัจจุบัน นั้นไซร้ ทำให้จงดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น