กรณี ส.ส. พรรคพลังประชาชน เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ... คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ออกแถลงการณ์ คัดค้านร่าง “พระราชบัญญัติจัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ” เมื่อวันที่ 5 ส ิงหาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า ตามที่นายจุมพฎ บุญใหญ่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร พรรคพลังประชาชน พร้อมด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมพรรคอีก 25 คน ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ... โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีทั้งสิ้น 20 มาตรา มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการกฎหมาย เป็นร่างกฎหมายที่เสนอใหม่ มีสาระสำคัญคือ ให้พระราชบัญญัติดังกล่าวนี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้น 30 วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา นิยามคำว่า “ผู้จัดให้มีการชุมนุม” หมายถึง ผู้ยื่นคำขออนุญาตชุมนุม รวมถึงบุคคลที่ปราศรัย ผู้ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ ชักชวน ยุยง หรือผู้ร่วมเป็นตัวการหรือสนับสนุน นอกจากนี้ มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการชุมนุมในมาตรา 5 ห้ามมิให้ดำเนินการชุมนุมในที่สาธารณะ ได้แก่ มีการใช้ช่องทางการเดินรถ หรือพื้นผิวการจราจร มีการตั้งเวทีปราศรัยในลักษณะกีดขวางการจราจรหรือทางสัญจรของประชาชน มีการใช้เครื่องขยายเสียง เครื่องฉายภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือเครื่องมือใด ๆ เพื่อถ่ายทอดการชุมนุม มีการใช้ยานพาหนะ มีการเคลื่อนย้ายสถานที่ชุมนุม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวถูกบรรจุไว้ในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้วนั้น
ค ณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย มีความเห็นว่าการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าไว้ในวาระการประชุมสภา ผู้แทนราษฎรเพื่อรอการพิจารณาเป็นการแสดงท่าทีที่จะจำกัดสิทธิเสรีภาพในการร วมตัวของประชาชนเพื่อแสดงออก และนำเสนอความคิดเห็น ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 63 จริงอยู่ว่าในมาตรา 63 วรรคสองได้บัญญัติไว้ว่าสามารถจำกัดสิทธิได้ตามกฎหมายกำหนด แต่ก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องผ่านร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบการชุมน ุมในที่สาธารณะ พ.ศ... ออกมาเป็นกฎหมาย เนื่องจากการเอาผิดต่อผู้กระผิดในกรณีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกีดขวางจราจร การตั้งเวทีปราศรัยในลักษณะกีดขวางการจราจรหรือทางสัญจรของประชาชน การใช้เครื่องขยายเสียง สามารถเอาผิดกับผู้กระทำผิดได้โดยใช้กฎหมายอาญา กฎหมายจราจร และกฎหมายอื่นๆ มีอยู่พร้อมมูล ผู้เดือดร้อนสามารถใช้สิทธิ์ทางศาลได้อยู่แล้ว
น อกจากนี้ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เห็นว่า ถ้าหากร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ผ่านการพิจารณาออกมาเป็นกฎหมาย อาจถือเป็นการลิดรอนสิทธิของประชาชน ซึ่งจะขัดกับ มาตรา 27 ถึงมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ 2550 อีกทั้งสถานการณ์ปัจจุบันเห็นได้ว่าเรื่องสิทธิของประชาชนเป็นเรื่องใหญ่และ ต้องให้ความสำคัญ จะมาทำกันลวกๆ ไม่ได้ และการใช้สิทธิชุมนุมอย่างสงบโดยปราศจากอาวุธถือเป็นรูปแบบการแสดงออกเพื่อเ รียกร้องความชอบธรรมและเป็นธรรมรูปแบบหนึ่งของขบวนการภาคประชาชนที่นานาอารย ประเทศยอมรับ โดยเฉพาะในประเทศไทยจะเห็นได้ว่ารูปแบบการชุมนุมเรียกร้องและแสดงออกเหล่านี ้เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากว่าประชาชนคนชั้นล่าง พี่น้องผู้ใช้แรงงาน คนยากจนต่างๆ ไม่สามารถเข้าถึงกลไกของรัฐในการเรียกร้องความเป็นธรรม หรือตีแผ่สภาพปัญหาของกลุ่มคนเหล่านั้นให้สังคมได้รับรู้ได้ ดังนั้นรูปแบบการชุมนุมเหล่านี้จึงถือเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียวในการเจ รจาต่อรองเพื่อสิทธิประโยชน์ของเขาเหล่านั้น ดังนั้นหากมีการผ่านร่างพระราชบัญญัตินี้ออกมาก็เสมือนการตัดช่องทางในการรั บฟังความคิดเห็นจากพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
“แ ละที่สำคัญไม่ควรใช้สถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังมีความแตกแยกเป็นตัวแปรหรื อปัจจัยในการออกกฎหมายเพราะจะทำให้เกิดความไม่ชอบธรรม ทำให้สังคมตั้งคำถามกลับไปได้ว่าออกกฎหมายนี้เพื่อสลายการชุมนุมเฉพาะหน้าเพ ื่อเสถียรภาพที่มั่นคงมากขึ้นของรัฐบาลหรือไม่”
“ท้ายที่สุดนี้หากพิจารณาย้อนกลับไปจะพบว่าเสรีภาพในการชุมนุม (Freedom of Assembly) ข องประเทศไทย ได้ถูกยอมรับและรับรองตามรัฐธรรมนูญไทย มาช้านาน ซึ่งในต่างประเทศเองก็ได้มีการยอมรับ ในเสรีภาพดังกล่าว ที่ประชาชนสามารถที่จะเข้าร่วมชุมนุมได้ การที่รัฐจะมีมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาใช้บังคับกับผู้ชุมนุม ก็ย่อมต้องคำนึงถึงบริบททางสังคมของประเทศตนเอง ว่ามีความเหมาะสมแค่ไหนเพียงไร โดยพิจารณาจากผลกระทบของการบังคับใช้กฎหมายกับผลกระทบที่อาจเกิดกับประชาชนโ ดยภาพรวม เพื่อให้การคุ้มครองเสรีภาพของประชาชนในประเทศเป็นไปอย่างเสมอกัน เพราะมิฉะนั้น การดำเนินการใดๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐที่มากเกินไป อาจจะกลายเป็นผู้ละเมิดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเสียเอง” แถลงการณ์ระบุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น