++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การแพทย์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การแพทย์ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ช่วยหน่อยเปลี่ยนไต



พี่หน่อย (อารียา โมราษฎร์) คือคนที่ใส่เสื้อขาว

ชื่อ: พี่หน่อยอีเมล: ariya_49@hotmail.com

สัมผัสชีวิตของเธอเพิ่มเติมได้อีกในบันทึกที่เธอเขียน http://gotoknow.org/blog/dekrakpa29

(บันทึกสุขภาพไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย) และกับการทำงานในองค์กรพัฒนาสังคมใน

http://www.dekrakpa.com/



กำหนดการเปิดตัวหนังสือ“ช่วยหน่อยเปลี่ยนไต”
บ่ายวันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๐ณ


ห้องสมุดสานแสงอรุณ ซ.สาทร ๑๐ ถ.สาทรเหนือ ๑๓.๐๐ – ๑๓.๓๐ น.


ลงทะเบียนรับเอกสารของที่ระลึก ๑๓.๓๐ – ๑๕.๓๐ น.


แถลงเปิดตัวหนังสือ “ช่วยหน่อยเปลี่ยนไต”


สนทนากับ อาริยา โมราษฎร์ ผู้เขียน


นิรมล เมธีสุวกุล ผู้ให้กำลังใจ


สุวิชานนท์ รัตนภิมล บรรณาธิการ ผู้แทนจากมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย


ยุทธชัย เฉลิมชัย ดำเนินรายการ๑๕.๓๐ – ๑๕.๔๕ น.




การมอบรายได้จากค่าต้นฉบับให้กับมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย๑๕.๔๕ – ๑๖.๓๐ น. สัมภาษณ์เพิ่มเติมตามอัธยาศัย







สำนักพิมพ์ชื่นใจ

“ช่วยหน่อยเปลี่ยนไต”
บันทึกชีวิตและเรื่องราวระหว่างป่วยไข้ของ “หน่อย” หรือ อาริยา โมราษฎร์ ผู้ทำงานในองค์กรพัฒนาสังคม โดยเฉพาะโครงการเด็กรักป่า จ.สุรินทร์ มาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งได้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย โดยไม่ทราบสาเหตุ ต้องเข้ารับการฟอกไตและผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไตใหม่ในที่สุด ตลอดระยะเวลา ๘ ปีของการทุกข์ทรมานจากการป่วยไข้ ทำให้ได้ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ได้เรียนรู้ในชะตากรรมของทั้งตนเองและคนอื่นๆ ได้ชื่นชมคุณค่าแห่งตนและคนรอบข้างท่ามกลางความเสื่อม จนตระหนักและพบว่า คนเราสามารถสร้างภาวะแห่งจิตอันสงบเป็นสุขขึ้นได้ แม้ขณะที่ร่างกายกำลังเจ็บป่วย กลายเป็นความเข้าใจลึกซึ้งต่อธรรมชาติของชีวิตบันทึกของหน่อยมีความลึกซึ้งในทางอารมณ์ นอกจากทุกข์อันเกิดจากโรคแล้ว ยังได้เห็นอีกด้านของความเศร้าเจืออารมณ์ขัน การเปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความเข้าใจชีวิต เข้าใจโลกและผู้คน สามารถเป็นแรงบันดาลใจสร้างพลังหล่อเลี้ยงชีวิตให้กับคนป่วยอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ หน่อยยังบันทึกอาการของโรค ความรู้ในโรคไต ประสานไปกับเรื่องราวของชีวิต อ่านเพลินได้ทั้งแง่คิดและข้อมูลควรรู้

วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550

ปรัชญาแพทย์จีนเรื่องสมุนไพร

เรื่องสมุนไพรเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งจะเป็นรอง
ก็แต่อาหารการกิน ตระกูลพืชนั้นเป็น มารดาผู้ให้กำเนิดโดยเสียสละตนเองเป็นทั้ง
อาหารและแปรเป็นสมุนไพรช่วยเสริมบำรุงรักษาอาการผิดปกติด้วย

สมุนไพรนั้น ก็มิได้รับการยกเว้นจากการใช้หลัก ปรัชญาหยิน-หยาง เพื่อวินิจฉัยและปรับปรุง
คุณสมบัติให้เหมาะสมกับผู้ป่วยด้วยหลักการ ของวงจรการแปรรูปพลังทั้ง 5 ธาตุ 2 ขั้วเช่นกัน

บางครั้ง การปรุงยาส่วนใหญ่จะมีตัวยาหลายตัว ที่ใช้เป็นส่วนผสมทั้งจากตระกูลพืช ตระกูลสัตว์
และตระกูลสสารอินทรีย์ธาตุในดิน เพื่อให้ได้มาถึงซึ่งสรรพคุณที่สูงสุดและปลอดภัย
ไร้ผลข้างเคียง การคำนึงอัตราส่วนหยิน-หยาง จึงจำเป็นและถือเป็นหัวใจสำคัญ

1:7 คือมาตรฐานของธรรมชาติ การจัดลำดับความสำคัญของตัวยาสมุนไพรจึงอาจแบ่งเป็น เอก โท ตรี จัต
รา เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ แพทย์จีนเรียก กัง-ชิ้ง-จ่อ-ไซ้ หรือ Lord Miniter Assistance Servent
หรือนายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรี ผู้ช่วยฯ หากเราต้องการยาที่เป็นหยิน เราต้องเริ่มปัจจัยหลัก
ด้วยสมุนไพรที่เป็นหยินสัดส่วน 7 แต่หยิน อย่างเดียวไม่พอ ไม่เหมาะสมต้องเติมหยาง 1 ส่วน
เพื่อช่วยให้หยินออกฤทธิ์ได้เต็มที่เหมือนกับ
การรับประทานผลไม้แล้วใช้จิ้มเกลือ นิดหน่อยช่วยขับรสออกมาเต็มที่ กลมกลืน
และในขณะเดียวกัน เพื่อป้องกันการเกิดเศษส่วน หรือมลพิษส่วนเกินอันจะก่อให้เกิดผลข้างเคียง
ถึงการเพิ่มปัจจัยหยิน-หยาง อันดับรองเป็น กันชนหรือแม่สื่อ เพื่อรองรับอีกระดับหนึ่งก็คือ
หยิน-หยางในปัจจัยรองอีก 1 คู่ 1:7 เช่นกัน
คือ 1:7 กับ 1:7 รอง แต่ในขณะที่ถ้าต้องการปัจจัยยาให้เป็นหยางนั้น แทน
ที่จะเพิ่มตัวยาสมุนไพรให้เป็นหยาง 7 ส่วน และหยิน 1 ส่วน เรากลับต้อง
ใช้หยางที่เป็น ตัวยาเพียง 5 ส่วน แต่เพิ่มการปรุงโดยการเคี้ยวไฟ
อันเป็นปัจจัยหยางแทนการใช้ยายืดเวลาต้มนานขึ้น ใช้ไฟแรงขึ้น ลดปริมาณน้ำน้อยลง หรือต้มจนน้ำเกือบ
แห้ง ทั้งนี้เพราะปัจจัยหยางนั้นเป็นปัจจัยใกล้เคียงกับ ธรรมชาติของคน
เลือดอุ่น เลือด (หยาง) เวลากลางวัน (หยาง) -ความอุ่น (หยาง) ผู้ชาย (หยาง)
อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มิควรเพิ่มตัวยาหยางมากเกิน และหากพลังหยางเกิน
ไปจะแก้ยากกว่าพลังหยินเกินในร่างกาย นี่คือภูมิปัญญาขั้นพื้นฐานของแพทย์จีน
ปรัชญาแพทย์ทิเบต ทิเบตนอกจากจะเป็นประเทศสำคัญแห่งหนึ่งของ
พุทธศาสนาแล้ว ยังมีมรดกโลกสำคัญทางด้านการแพทย์พื้นบ้าน สมุนไพรอันเป็นผลรวมจาก
อิทธิพลทั้ง 3 ขั้วของโลกคือ จีน อินเดียและตะวันออกกลาง
หลักการของวิชาแพทย์พื้นบ้านของทิเบตตั้งอยู่บนความเชื่อทางพุทธศาสนา และทางธรรมชาติของโลก
ของปรัชญาทางพุทธศาสนา และทางธรรมชาติของโลก
ทางปรัชญาหยิน-หยาง รวมกับเรื่องธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
จากคัมภีร์อายุรเวทของอินเดียโดยการมองคนเป็นส่วนรวมของกาย จิต วิญญาณ
และจุดจักราต่างๆ ทั้ง 7 อันเป็นศูนย์รวมพลังลมปราณของร่างกาย
คัมภีร์แพทย์ทิเบตมีความสำคัญในอดีตกว่า 2,000 ปี และมีการบันทึกเป็นภาพที่น่าสนใจ
สมควรแก่การศึกษา เพื่อเสริมภูมิปัญญาต่อทัศนะของชีวิตเพื่อปรับประยุกต์
มาใช้กับชีวิตประจำวันของเราในสังคมปัจจุบัน การได้ถือกำเนิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้ ถือเป็นบุญอันประเสริฐสุด เป็นโอกาส
หนึ่งในร้อยล้าน โชคดีของการเกิดเป็นคนก็คืออยู่ระหว่างภูมิลำเนาของพลัง
ทั่วโลก 2 ขั้วคือ สุขและทุกข์ ผสมกลมกลืนกัน
ทั้งสองขั้วเป็นพื้นฐานของการทดสอบภูมิปัญญา
และเป็นตัวกลางของการพัฒนาเข้าสู่โลกคลื่นกระแสจิตและวิญญาณเริ่มต้น
จากวินาทีของการปฏิสนธิ พลังดึงดูดของขั้วบิดา-มารดาเปิดประตู
ของการลงมาจุติของจิตกระแสที่อยากจะเกิด โดยแรงผลักดันจากกฎแห่ง
กรรม ตามหลักกายภาพของทิเบต รูปนั้นถูกประกอบขึ้นด้วย ธาตุทั้ง 5 (ซึ่งได้รับอิทธิพลจากจีน)
ธาตุดินของโลก เปรียบดั่งฐานโรงงานการผลิตรูปร่าง
หาก ขาดธาตุน้ำ กายจะไม่สัมพันธ์และงอกเงย หากปริศจากธาตุไฟ กายจะไม่มีกำลังและไม่เติบโต ปราศจากธาตุลม พลังจะไม่มีการหมุนเวียน ธาตุดินของแพทย์ทิเบตคือ กระดูก ผิวหนัง
เล็บ ผม ธาตุน้ำหมายถึง ของเหลวต่างๆ ในร่างกาย
ธาตุไฟหมายถึง ระบบการสังเคราะห์สารอาหารและการขับถ่าย ธาตุลม คือ
การขับดันสิ่งที่เบากว่าหมุนเวียนและควบคุมโลหิต
ธาตุอากาศคือตัวกลางขับเคลื่อนคลื่นจิตกระแส
ความผิ ดดุลของกายกับสิ่งแวดล้อมภายนอกมาเป็น
สาเหตุแห่งการเกิดโรค เมื่อกายดับ จิตกระแส ก็จะกระจายและคลุกเคล้าปะปนกับบรรยากาศ
การฝึกสมาธิหรือรวมพลังจิตจึงเป็นวิธีการรักษาโรค
ชนิดหนึ่งที่คอยป้องกันมิให้กระแสจิตหลงระเริง โดยการกำหนดกระแสจิตให้รวมกันเป็นดวงจิตที่สุกใส
ในแง่ของกระบวนการจุติตั้งครรภ์และกำเนิดทารก
คัมภีร์แพทย์ทิเบตได้บันทึกเป็นภาพไว้อย่างละเอียด
ถึงขั้นตอนการแปรรูปและพัฒนาการของมนุษย์
โดยเริ่มต้นจากหญิง-ชายสมสู่ ธาตุขาวคืออสุจิของบิดา และธาตุสีแดงคือ ไข่และเลือดในมดลูกมารดา
เมื่อตัวอ่อนเริ่มก่อตัวธาตุดินประกอบเป็นโครงกระดูก

กล้ามเนื้อ ผิวหนังและตา

ธาตุน้ำเริ่มสร้างของเหลวเป็นน้ำเหลือง และสายเลือด
รวมไปถึงน้ำลายซึ่งเป็นผัสสะแห่งการลิ้มรส
ธาตุไฟรวมเอาความร้อนในกายและสายตา
ธาตุลมรวมเอาการหายใจเข้า-ออกถึงการสูดดม
และการรับเสียงผ่านทางหู ในภาพจะแสดงการเข้าเริ่มจุติของดวงวิญญาณเป็น
ประจุแรกอันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต ต่อมา ช่วงแรกตัวอ่อนถือรูปร่างของปลาในน้ำเป็นต้นแบบ
ต่อมาพัฒนาเป็นเตาคล้ายจระเข้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
และในระยะหลังพัฒนาเป็นหมูป่าตระกูล สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ภาพบรรยายรายละเอียดถึงขั้นตอนการทำคลอด
การอยู่ไฟและการเลี้ยงลูก ด้วยนมอย่างละเอียดเป็นขั้นตอน
ที่ง่ายต่อความเข้าใจและน่ามหัศจรรย์ที่แพทย์ในอดีต
นับพันปีสามารถเข้าใจและมองเห็นวิวัฒนาการของมนุษย์ ด้วยวิจารณญาณที่
ปราศจากเครื่องมือทันสมัยหรือกล้องจุลทรรศน์ใดๆ
ภาพที่เขียนถ่ายทอดเหล่านี้เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักวิชาการ ตะวันตกว่า
ใกล้เคียงความจริงกับการวิจัยพิสูจน์ด้วยเทคนิคแพทย์สมัยใหม
่อย่างสมบูรณ์

ส่วนตอนบนสุดซ้ายมือเป็นภาพพระพุทธประธาน ซึ่งเป็นองค์พระไภษัชยคุรุ
ที่ถือเป็นศาสดาแห่งแพทย์ทิเบต
โดยคุณ : ภูมิปัญญาตะวันออก

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2549

"คนกับดินมิใช่สอง"

หลักการรักษาโรคมะเร็งตามแนวปรัชญาจีน

แพทย์จีนถือว่าการเจ็บป่วยไม่ว่าโรคใด ตำแหน่งใด และจะเรียกชื่ออะไรก็ตามเป็นการผิดดุลของพลังฟ้า-ดิน สองขั้วที่วิ่งเข้ามาโคจรบรรจบพบกันในร่างกายคนเรานั้น ไม่ได้สัดส่วนมากน้อยเกินหรือ
วงจรการหมุนเวียนไม่ได้แนวสะดุดช้าหรือเร็วมากเกินไป
อวัยวะในร่างกายก่อนเราเกิดถูกออกแบบและสร้างโครงกระดูก ด้วย
พลังหยิน-หยาง ของฟ้า-ดินผ่านแม่สื่อตัวกลางคือ ครรภ์มารดา ดังนั้น
เมื่อเกิดมาบนโลกพลังที่หล่อเลี้ยงบำรุงเราทุกวันมีพลังหลัก พลังแม่ก็
คือ การวิ่งแนวฟ้า-ดิน

เมื่อใดพลังฟ้า-ดิน-บน-ล่าง เข้าออกผ่านร่างกายเป็นเส้นตรง
สะดวกและทะลุปรุโปร่ง ร่างกายสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตก็จะสบาย กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา
เมื่อพลังฟ้า-ดินที่พยายามเสาะหาขั้วตรงข้ามผ่าน ร่างกายเราต้องสะดุด ผิดวงจร ช้าหรือเร็วเกิน
เมื่อนั้นเราป่วยเรามีอาการผิดปกติตามอวัยวะที่พลังสะดุด พลังฟ้าแรง
เกิน กดลงล่าง ท้องก็จะร่วง อุจจาระเป็นน้ำ เมื่อใดพลังฟ้าพร่องอ่อน
ในขณะพลังดินแกร่งเกิน พลังหยินจะดันขึ้นเบื้องบน ก็จะมีอาการ อาเจียน ปวดศีรษะ เป็นหวัด
น้ำมูกไหล แพทย์จีนจึงบัญญัติเป็นคำสอนสั่งว่า
พื้นดินกับคนมิใช่สอง แต่เป็นหนึ่งต่อหนึ่งกัน
หมายถึงกฎฟ้า-กฎดิน-กฎของคนเป็นกฎเดียวกัน
ในวิชาฮวงจุ้ยที่คนจีนนิยมดูตำแหน่งที่ตั้งอาคาร
บ้านเรือนว่า ทิศใดเป็นคุณ ทิศใดเป็นโทษ ก็ด้วยอุปกรณ์สำคัญเรียกล่อ-แก เป็นเข็มทิศติดตั้งบนแผ่นไม้หมุนรูป สี่เหลี่ยมภายนอก (คือโลก) วงกลมตรงกลางคือ เข็มทิศ (ฟ้า) การหาตำแหน่งของคนก็คือ
การปรับรูปวงกลมให้ได้ตำแหน่งสมดุลหรือคู่ควรกับตำแหน่งสี่เหลี่ยมแทนโลก หรือพื้นดิน วิธีการของวิชาฮวงจุ้ยนี้เป็นที่ยอมรับและแพร่หลายกันมานับพันปีแล้ว
แต่เราไม่ควรหยุดแค่การใช้วิชาฮวงจุ้ยกับการหาตำแหน่งสมดุลกับบ้าน
เราควรจะพัฒนานำมาใช้กับการรักษาโรคและการปรับดุลพลังในร่างกาย
คนเราได้ดีเช่นกัน ปรัชญาจีนกล่าวว่า คนกับจักรวาลมีธรรมชาติเดียวกัน
ดังนั้น ล่อ-แก เข็มทิศจีนก็น่าที่จะมีประโยชน์ต่อการ
คำนวณพลังให้กับร่างกายสุขภาพคนเราได้
คนเรานั้นมีสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติอาจแบ่งได้ 7 ระดับ

ระดับที่ 1 คือสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวที่สุดคือ สภาวะร่างกายภายในหรือ
(Homeostasis) ระดับเลือด/น้ำตาล/อุณหภูมิสภาพกรด/ด่าง/ปริมาณของเหลว/น้ำและลมหายใจ ฯลฯ
ระดับนี้คือเป็นกุญแจสำคัญที่สุดในการรักษาโรคทุกชนิดเพราะร่างกายมี
สภาวะสิ่งแวดล้อมภายในที่อยู่ใกล้ และอยู่ในการดูแลรับผิดชอบของเรา
ดังนั้น อาหารการกินก็ดี กิจการใดๆ ก็ดี ที่เรากระทำ
ย่อมมีผลโดยตรง และมีความสำคัญของสาเหตุกำเนิดโรคอันดับแรก
ที่เราต้องคำนึงและแก้ไข

ส่วนระดับ 2 ถึง 7 เป็นสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งเป็นอันดับสำคัญ รอง
ถัดไปจากเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกาย เครื่องประดับตัวสายสร้อย แหวน นาฬิกา รองเท้า เข็มขัด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งแวดล้อมระดับ 2 ถัดตัว เราออกมา เครื่องประดับกายส่วนมาก
ในปัจจุบันเป็นโลหะ เป็นสารสังเคราะห์หรือเป็นวัสดุที่ก่อให้เกิดประจุ
สังเคราะห์เหนี่ยวนำผิดธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย หรือบางครั้ง เครื่อง
ประดับก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กปิดกั้น พลังฟ้า-ดิน ธรรมชาติมิให้ไหลบรรจบพบกันได้สะดวก
จึงเกิดการสะดุดหรือลัดวงจรต่อร่างกายได้

ทัศนคติของคนในยุคปปัจจุบันกับการรักษาโรค
เนื่องจากสถาบันแพทย์ในประเทศเรานี้ ได้รับอิทธิพล
จากตะวันตกอย่างเต็มที่ การรักษาพยาบาลคนไข้จึง
ถูกกำหนดและใช้ภาษาทั้งระบบของแพทย์วิทยาการ
สมัยใหม่ ความคิดเรื่องวิธีการรักษาจึงมีหลายวิธีตั้งแต่การรับประทานยา การผ่าตัด การฉายแสง
การรับประทานยาสมุนไพร การรดน้ำมนต์ การสะเดาะเคราะห์ การเข้าทรง
การนั่งสมาธิ การรับประทานผลไม้ล้วนๆ ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีวิธีการอีกมากมายล้วนแต่อ้างเหตุผลสนับสนุนว่าเป็นการรักษาที่ดีที่สุด
แต่วิธีการทั้งหลายที่กล่าวมานี้ หากเราหันมาเข้าใจ วงจรพลังทั้ง 7 ระดับในธรรมชาติ เราก็จะลดความสับสนลง
เพราะแต่ละวิธีล้วนเป็นไปได้ขึ้นอยู่ว่าเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมระดับใด เป็นการบำบัด
พลังในร่างกายขั้น 3 ขั้น คลื่นจิตและสนามแม่เหล็ก ซึ่งยังห่างไกลจากพลังขั้น 7 ที่มีพลังเลือดที่ได้รับมาจากสารอาหารเป็น
พื้นฐานการฝึกสมาธิจะบำบัดได้ก็ต่อเนื่องเมื่อผู้ป่วยปรับปรุงเรื่องอาหาร
การกินเป็นหลักก่อนแล้วเสริมด้วยการฝึกสมาธิจึงจะเป็นผล คนไข้ปวดท้องเพราะอาหารเป็นพิษ ไม่มีจิตใจนั่งสมาธิ
คนเป็นโรคเบาหวาน หากไม่ลดน้ำตาล อารมณ์ยิ่งหงุดหงิด จะนั่งสมาธิคงจะไม่ได้ผลคนป่วยรับประทานยา หรือสมุนไพรก็ควรจะใช้เป็นวิธีการระยะสั้น ชั่ว คราว ไม่ควรใช้นานเกินไป เพราะจะมีผลข้างเคียงดังนั้น จะเห็นได้ว่า ไม่
ว่าการบำบัดรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม จะต้องเริ่มต้นที่การควบคุมและปรับ
ดุลอาหารก่อนเป็นหลักวิธีการอื่นจึงเป็นการบำบัดเสริมรวมไปด้วย จึง
จะได้ผลดีกว่า เริ่มต้นด้วยการรับประทานข้าวกล้อง หุงด้วยหม้อดิน แช่ค้างคืน
ใส่เกลือทะเลเล็กน้อยคลุกข้าวด้วยงาคั่วบดคลุกเกลือ (gomashid) เสริมด้วย
ต้มผัก จับฉ่าย สาหร่ายทะเล ถั่วแดงถั่วดำ ไชโป้ว ผักกาดดองเต้าเจี้ยว จิบน้ำชา อมบ๊วยเสริม
เดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้า นอนหันศีรษะไปทาง ทิศเหนือ เพื่อรองรับสนามแม่เหล็กโลกปรับตัวเอง
เหมือนเข็มทิศเพราะกระดูกสันหลังก็คือเข็มทิศที่ธรรมชาติให้ติดตัวมา ขั้วอวัยวะเพศกับขั้วสมอง
เป็นศูนย์รวมประจุไฟฟ้าสถิตในร่างกาย เมื่อเวลานอนตอนกลางคืนเราหันศีรษะขั้วเหนือใต้
เราจะได้รับพลังธรรมชาติบำบัดสูงสุด เหมือนเสาอากาศทีวี ใครนอนไม่
ตรงทิศก็พลาดโอกาส อดรับโบนัสที่ควรจะได้เครื่องอำนวยความสะดวก
ภายในบ้าน สิ่งใดใกล้หรือถูกตัวสัมผัสผิวหนัง เลี่ยงกระแสไฟฟ้าถูกร่างกาย
เตาอบไฟฟ้า อาหารแช่ใน ตู้เย็นนานให้หลีกเลี่ยง อาหารกระป๋องอย่าแตะ สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อประจุสังเคราะห์ ทำลายภูมิ
ต้านทานโรคของร่างกาย ทำให้เราอ่อนแอลง อ่อนเพลียง่าย ความจำเสื่อม ขี้ลืม
ผ้านุ่งห่มใช้ผ้าแพร ผ้าฝ้าย ฝ้าใยธรรมชาติ เลี่ยงใยสังเคราะห์
เลี่ยงการเปิดโทรทัศน์นานในห้อง เลี่ยงผลิตภัณฑ์พลาสติก เฟอร์นิเจอร์ ฟองน้ำ ปลูกต้นไม้ในกระถางนำ
มาตั้งในห้องเพิ่มความเขียวชอุ่ม เลี่ยงการอาบน้ำแบบรวดเป็นขัด
นานเกินไปอาบน้ำ แช่น้ำนานร่างกายจะสูญเสียเกลือแร่ไปทำให้
อ่อนเพลียง่าย ผมจะหงอกเร็วกว่าปกติ เปิดหน้าต่างให้ลมโกรกได้ ถ่ายเทสะดวกถึงแม้เปิด
แอร์ก็ให้เปิดช่องลมไว้ถ่ายเทอากาศเสีย นำอากาศบริสุทธิ์เข้ามาทดแทนใหม่ได้
ทุกครั้งหลังตื่นนอนให้ใช้ลิ้นดุนเพดานหมุนไปรอบๆ เพื่อช่วยขับน้ำลาย
ออกมา น้ำลายเหล่านี้เมื่อคืนได้สะสม ประจุจากศีรษะสมองลงสู่ลิ้นไก่
ชาร์จน้ำลายเรียบร้อยรอเป็นภูมิประจำตัวประจำวัน หากเราได้
รับพลังจากน้ำลายเคลือบผนังกระเพาะ จะช่วยให้กระเพาะแข็งแรง ย่อยอาหารได้ดี น้ำ
ย่อยก็เข้มข้นด้วย ช่วยเป็นวัตถุดิบอย่างดีที่จะสร้างเม็ดเลือดใหม่ในวัน
ต่อไป การนอนหันทิศเหนือ-ใต้เป็นการรักษาแบบเสริมด้วย
พลังขั้น 3 คือ สนามแม่เหล็กธรรมชาติที่เป็นระดับเดียวกับการฝึกสมาธิ
และการปล่อยวางลดความเครียด และประเด็นสำคัญก่อนนอน 3 ชั่วโมง
มิควรรับประทานอาหารหนัก เพราะร่างกายไม่สามารถย่อยได้เสร็จสมบูรณ์
สารอาหารไม่ได้ใช้ กลายเป็นส่วนเกิน นำไปสู่ต้นเหตุของการเกิดเศษส่วนเกิน
แปรรูปทุกระดับในร่างกาย ทั้งน้ำหนักตัว การนอนกรน
การนอนขบฟัน การนอนน้ำลายไหล การฝันร้าย
การนอนละเมอ ล้วนเป็นสภาวะการรับประทานอาหารผิดมากเกินไป จะ
เห็นได้ว่า ตัวเราหันมาประยุกต์ศาสตร์ของฮวงจุ้ย การหาตำแหน่งที่
เหมาะสมกับภูมิสถาปัตย์เข้ากับร่างกาย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสิ่งแวดล้อมของพลังในธรรมชาติทั้ง 7 ระดับ
เราจะเข้าใจและหันมาให้ความสำคัญแก่การเลือกรับประทาน และการปรุง
อาหารให้ถูกวิธี แทนที่จะปล่อยโอกาสนี้ คอยแต่หาซื้อยา ตามคำ โฆษณาชวนเชื่อของผู้ผลิต
ผู้หวังค้ากำไรโดยไม่คำนึงถึงผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นต่อชีวิตและสุขภาพของเพื่อนมนุษย์ส่วนรวม
เราจะเข้าใจธาตุแท้ของพื้นฐานระดับจิตใจของคนตะวันตก ต้นกำเนิด
แนวความคิดทุนนิยม ใครจะรักและรู้จักตัวเราดีเท่าเราเรียนรู้เท่าทัน
วิทยาการสมัยใหม่ก่อนจะสายเกินไป

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548

" T- 2 " เทคโนโลยีการแพทย์ไทย รับมือโรคเขตร้อนที่ถูกประเทศตะวันตกละเลย

เทคโนโลยีฝีมือไทย
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ประเทศไทย เริ่มโครงการ "T-2" หลังมีความพร้อม ทั้งบุคลากร แหล่งข้อมูล และเงินสนับสนุนการวิจัย เพื่อรับมือกับโรคในเขตเมืองร้อน ไม่ว่าจะเป็นวัณโรค มาลาเรีย ไข้เลือดออก ซึ่งเป็นโรคที่ชาติตะวันตกไม่ให้ความสำคัญในการวิจัย เพื่อผลิตยารักษาโรคเหล่านี้ เหตุเป็นโรคที่เกิดกับกลุ่มประเทศที่ยากจน ไม่ทำกำไรการค้า
เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทผลิตยาเอกชนรายใหญ่รายหนึ่งของโลก ได้บริจาคยาตัวหนึ่งจำนวนหนึ่งล้านหน่วย เพื่อเป็นสาธารณกุศลแก่ชาวแอฟริกาผู้ยากไร้ ซึ่งโดยที่จริงแล้วเพื่อผลิตยาตัวนี้ เพื่อใช้รักษาโรคในสุนัข และยาดังกล่าวขายดีในยุโรปจนได้ผลกำไรมหาศาล แต่ด้วยเหตุบังเอิญ ทีมวิจัยของบริษัทดังกล่าว ได้ค้นพบว่า ยาตัวนี้สามารถออกฤทธิ์เป็นยารักษาโรคที่เกิดในประเทศเขตร้อน ชื่อโรคฟิลาเรียซิส ซึ่งเป็นโรคพยาธิชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ตาบอด ยารักษาสุนัขของคนรวย จึงบังเกิดผลพลอยได้ ช่วยรักษาโรคที่เป็นกับคนจนได้ด้วย
กลุ่มประเทศเขตร้อน ได้แก่ ประเทศในทวีปแอฟริกา และส่วนใหญ่ของทวีปเอเชีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทย กลุ่มประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ยารักษาโรคและเทคโนโลยีทางการแพทย์ เกือบทั้งหมดต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในเขตตะวันตกซึ่งมีอากาศแห้ง และค่อนข้างเย็นกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศดังกล่าว
ดังนั้น งานวิจัยที่ชาติตะวันตกทำขึ้นนั้น บางส่วนก็เป็นโรคที่เกี่ยวข้องแต่ในภูมิภาคตะวันตก บางส่วนก็เป็นโรคที่พบว่าเกิดทั่วโลกและมีผลกระทบในวงกว้างเช่นโรคเอดส์และ โรคมะเร็ง รวมถึงโรคที่สามารถทำรายได้อย่างงามให้แก่ผู้ผลิต ซึ่งมักเป็นยาสำหรับโรคที่เกิดกับผู้มีฐานะความเป็นอยู่ดี เช่น ยาแก้โรคหัวใจ ยาที่เกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ และยาบำรุงเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และมีอายุยืนยาว เป็นต้น
ขณะที่งาน วิจัยเกี่ยวกับโรคเขตร้อน รวมถึงยาและเทคโนโลยีสำหรับโรคเหล่านี้ กลับมีอยู่น้อยมาก นอกจากนี้โรคเขตร้อน เช่น มาลาเรีย วัณโรค ไข้เลือดออก และโรคหนอนพยาธิ เป็นโรคที่มักเกิดกับคนจนเป็นส่วนใหญ่ จึงขาดแรงจูงใจแก่บริษัทผลิตยาชั้นนำ ในการผลิตยาและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรักษาโรคเหล่านี้
ส่วนประเทศไทยของ เรา แม้จะจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น แต่โชคดีกว่าชาติอื่นๆ ตรงที่มีความพร้อม โดยมีองค์ประกอบที่จำเป็นต่อการพัฒนาทางสาธารณสุขอย่างยั่งยืนครบทั้ง 3 ประการ ประการแรก คือ นักวิทยาศาสตร์ไทย โดยเฉพาะแพทย์และนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดได้ว่าเป็นบุคลากรที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
ประการ ที่ 2 แพทย์และนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เปรียบนักวิทยาศาสตร์ หรือแพทย์ตะวันตก ที่แม้จะมีเทคโนโลยีทันสมัย แต่ก็ขาดทักษะความชำนาญในด้านโรคเขตร้อน เมื่อเทียบกับบุคลากรของเรา ซึ่งถือเป็นความพร้อม
ประการสุดท้าย เรามีแหล่งเงินทุนสนับสนุนการวิจัยถึง 3 แหล่งด้วยกัน ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ( ศช.) ในสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และองค์การอนามัยโลก (TDR/WHO)
ดังนั้น ไทยจึงได้จัดทำ โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อป้องกันและบำบัดโรคเขตร้อน (Thailand - Tropical Diseases Research Programme) ซึ่งมีชื่อเรียกย่อว่า " T - 2" ขึ้น เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น ยา น้ำยาที่ใช้ตรวจวินิจฉัยโรค รวมถึงวัคซีนสำหรับโรคเขตร้อนโดยเฉพาะโรคเขตร้อนที่กำลังมีการวิจัยกันอยู่ ในโครงการ T - 2 " ขณะนี้ ได้แก่ มาลาเรีย วัณโรค ไข้เลือดออก ไวรัสตับอักเสบ โรคหนอนพยาธิ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร และโรคแทรกซ้อนที่เกิดกับผู้ป่วยโรคเอดส์ ซึ่งหากทำสำเร็จจะสามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรค และลดต้นทุนการนำเข้าเวชภัณฑ์จากต่างประเทศได้เป็นจำนวนเงินมหาศาล
ส่วน ความก้าวหน้าของโครงการ "T - 2" ในขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการศึกษาและดำเนินการจดทะเบียนยากลุ่ม ไดไฮโดรอาธิมิซินิน (Dihydroarthimisinin) ซึ่งออกฤทธิ์เป็นยาต้านมาลาเรีย และใช้ชื่อทางการค้าว่า ทวิซินิน (TWISININ) ซึ่งถือเป็นการขึ้นทะเบียนยาอย่างเป็นสากลเป็นครั้งแรกของคนไทยอีกด้วย
ศ.ยอด หทัย เทพธรานนท์ ผู้อำนวยการโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อการป้องกัน และบำบัดโรคเขตร้อน กล่าวถึงความก้าวหน้าส่วนหนึ่งของโครงการ T - 2 " ว่า นอกจากการขึ้นทะเบียนยาแก้มาลาเรียตัวแรกที่เป็นลิขสิทธิ์ของคนไทยแล้ว โครงการ T - 2 " ยังให้การสนับสนุนการวิจัย ทั้งที่เป็นวิทยาศาสตร์พื้นฐานและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ รวมถึงการพัฒนาและสร้างนักวิจัยด้านโรคเขตร้อน และให้ทุนในระดับบัณฑิตศึกษาทางด้านระบาดวิทยาโรคเขตร้อน
นอกจากนี้ ยังจัดตั้งห้องปฏิบัติการพิเศษ เช่น ห้องปฏิบัติการเก็บรักษาและจำแนกสายพันธุ์เชื้อวัณโรคในประเทศไทย ห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาสารยับยั้งการเจริญของเชื้อมาลาเรีย รวมถึงสนับสนุนการตั้งโรงงานผลิตยาแคปซูลที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหิดล เป็นต้น
"โครงการ 'T - 2' นี้ เป็นการวิจัยโรคเขตร้อนที่เป็นโรคของคนจน งานวิจัยของเราจึงอาจถือได้ว่า เป็นการช่วยคนจนที่ไม่มีเงินซื้อยาแพงๆ ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ งานวิจัยนี้มีความยาก ตรงที่โรคเขตร้อนมักจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น ขณะนี้วัณโรคได้กลับมาเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของอัตราการตายสูงสุดอีกครั้ง สาเหตุเนื่องมาจากการกลายพันธุ์ของเชื้อวัณโรคที่ดื้อยา ซึ่งมักพบเป็นโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคเอดส์ และจากที่เคยเป็นโรคที่เกิดกับคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาดและกิน อาหารไม่ถูกสุขลักษณะ" ศ. ยอดหทัย กล่าว
โดยปัจจุบันพบว่า คนที่มีฐานะความเป็นอยู่ดีก็เป็นโรคนี้กันมากขึ้น ตัวอย่างเช่นพวกที่ติดเชื้อวัณโรคจากพนักงานขับรถประจำตำแหน่งของตัวเอง โรคเขตร้อน จึงมีผลกระทบในวงกว้างมากขึ้นทุกขณะ รวมทั้งงานวิจัยโรคเขตร้อน จึงเป็นงานที่หนักและยาก และต้องการการสนับสนุนด้านทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังต้องการความเสียสละ และความจริงใจ ทั้งจากนักวิจัยอาวุโส รวมถึงนักวิจัยรุ่นใหม่ด้วย
อย่างไรก็ตาม โครงการ 'T - 2' ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนักวิทยาศาสตร์ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ การประสานงานและการแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์ จึงไม่ได้จำกัดขอบเขตความร่วมมืออยู่แต่ในหมู่นักวิจัยชาวไทย และในขณะนี้ทางโครงการได้ริเริ่มการจัดตั้งเครือข่ายข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัย แพทย์ และบุคลากรของโรงพยาบาลทั่วประเทศ
รวม ไปถึงประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในเขตร้อนอื่นๆ ก็สามารถเข้ามาใช้เครือข่ายฐานข้อมูลนี้ร่วมกันได้ โดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อบำบัดโรคเขตร้อน ซึ่งถือได้ว่าการดำเนินงานของโครงการนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของความพยายาม ที่จะยืนหยัดอยู่บนลำแข้งของตัวเองของกลุ่มประเทศเขตร้อน รวมทั้งยังเป็นความหวังและความภาคภูมิใจของคนไทย ทั้งในแง่การสาธารณสุขของประเทศ โดยช่วยให้คนไทยมียาและเวชภัณฑ์ที่ผลิตได้เอง ไม่จำเป็นต้องซื้อจากต่างประเทศในราคาแพง และยังจะเกิดผลดีต่อการฟื้นฟูภาวะวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวต่อไป อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2548

วิธีมอมยามีอย่างไรบ้าง?

บทความทางการแพทย์ โดย น.พ.โกสินทร์ แจ่มเพ็ชรรัตน์ คัดลอกจากนิตยสาร Image
ฉบับเดือน มกราคม 2542
เพื่อเป็นวิทยาทานแก่บุคคลทั่วไปโดยเฉพาะสุภาพสตรี จะได้รู้ไว้ป้องกันตัวเอง

Q : สมัยนี้ได้ยินอยู่บ่อยๆว่า
มิจฉาชีพใช้วธีมอมยากับเหยื่อเพื่อประทุษร้ายต่างๆ
นานา จึงอยากทราบว่าวิธีที่เค้าเรียกกันว่า "มอมยา" นั้น
มีกี่อย่างคะและยาแต่ละชนิดมีอันตรายอย่างไรเผื่อผู้หญิงอย่างเราจะได้รู้ไว้ป้อ
งกัน
ตัวเอง สุนิศา/กรุงเทพฯ

A : เป็นคำถามที่ดีซึ่งผมอยากจะตอบมากเลยครับเพราะภัยใกล้ตัวเช่นนี้แพร่ระบาดหนักขึ้น
ทุกวันยาที่เหล่ามิจฉาชีพใช้ มีทั้งในรูปแบบ สูบ สูดดม อม และดื่มกิน
ชนิดสูบ พบได้บ่อยตามสถานบันเทิงต่างๆ
อาจเริ่มจากมีบริกรหรือคนแปลกหน้ามาแจกมวนบุหรี่ให้สูบ แสร้งสร้างมิตรภาพบ้าง
หรืออ้างเป็นการบริการของสถานบันเทิงบ้าง สารเสพติดที่ใช้อัดใส่มวนบุหรี่คือ
กัญชา
หรือ เฮโรอีน กลิ่นกัญชาจะเหมือนเชือกหรือหญ้าแห้งไหม้ไฟ หลังสูบใหม่ๆ
จะกระตุ้นประสาท ร่าเริง ช่างพูด หัวเราะง่าย
ต่อมาจะคล้ายคนเมาเหล้าอย่างอ่อน
เพราะออกฤทธิ์กดประสาท ง่วงนอน ซึม มีภาพหลอน หูแว่ว สับสน
ควบคุมตัวเองไม่ได้
คราวนี้ก็หมูขึ้นเขียงเตรียมถูกเชือดกันละ

ชนิดสูดดม พวกนี้มีลักษณะเป็นไอระเหยได้รวดเร็วในอากาศ
ที่แพร่ระบาดมีหลายชนิดเช่น
Ether , Ethyl chloride , Buthly nitrite , Nitrous oxide
ที่รู้จักกันดีในชื่อก๊าซหัวเราะหรือ Amyl nitrite
ที่บรรดานัดเล่นยาเรียกว่าป๊อปเปอร์ส (Poppers)
กลุ่มนี้มิจฉาชีพจะเข้ามาประชิดตัวเพื่อให้เหยื่อสลบได้ในเวลาอันรวดเร็ว
อาการที่เกิดขึ้นหลังได้กลิ่นสารระเหยเหล่านี้คือ ไอ จาม คลื่นไส้
จนอาจมีเลือดออกจากโพรงจมูกได้ จนกระทั่งหมดแรงในที่สุด
วิธีแก้ปัญหาคือกลั้นหายใจเพื่อหยุดการสูดดม นอกจากสารระเหยที่กล่าวมาแล้ว
ยังมียายอดฮิตที่นิยมใช้สูดดมคือยาบ้า(Methamphetamine) และยาเค (Ketamine)
ยาบ้ามีหลายลักษณะทั้งกลม แบน รูปเหลี่ยม สีต่างๆกันตามรุ่น ตามปี พ.ศ.
เลยทีเดียว
บ้านเราที่พบบ่อยมักมีตัวอักษร ฬ บ้างเขียนเป็นตัว M บ้าง
หรือไม่ก็เป็นตัวเลข 99
อยู่บนเม็ดยากลมออกฤทธิ์คล้ายยาม้า ยาขยัน แต่มีความรุนแรงมากกว่า
ทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอ เสพได้หลายวิธีทั้ง กิน ดองในเครื่องดื่มชูกำลัง
หรือนำมาบดแล้วนำไปลนไฟสูดดม นี่เหละครับที่นิยมเสพกัน สำหรับยาเค
ทางการแพทย์ใช้เป็นยาสลบก่อนการผ่าตัด มีทั้งเป็นผง น้ำ หรือ ผลึก กรณีผง
นักเสพยาจะใช้วิธีดมผงเล็กๆเหล่านี้เข้าทางระบบทางเดินหายใจ
หลังเสพยาจะรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ล่องลอย ตาพร่ามัว เสียสติ ประสาทหลอน
น่ากลัวที่สุดคือกดการหายใจได้
อาการประสาทหลอนอาจเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกได้แม้ไม่ใช้ยาเรียกว่า Flashback

ชนิดอม ที่นิยมใช้กันบ่อยและคุ้นหูกันดีคือ เมจิก เปเปอร์ส (Magic papers)
มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆคล้ายแสตมป์ สารเสพติดคือ LSD
เดิมทีเดียวใช้เป็นยารักษาคนไข้โรคจิตบางประเภท
แต่ปัจจุบันเลิกใช้เนื่องจากมีฤทธิ์หลอนประสาทรุนแรง ก้าวร้าว
เพ้อฝันในสิ่งเป็นไปไม่ได้เช่น คิดว่าตนเองเก่ง เหาะได้
กล้ากระทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง อย่างกรีดแขนทำร้ายตนเอง ฆ่าตัวตาย
สารเสพติดชนิดนี้สังเกตได้ไม่ยาก
หากคนแปลกหน้าหยิบยื่นสิ่งที่ดูแปลกตาให้เป็นแผ่นบางเพื่ออมแล้วละก็
ต้องปฏิเสธไว้ก่อนเป็นดีครับ

ชนิดกิน มีหลายชนิดครับพบบ่อยในขณะนี้นอกจากยาบ้า ก็มียาอี ยาเลิฟ นี่เอง
ยาอี
(E=Ecstasy) กับยาเลิฟ
เป็นยาในกลุ่มเดียวกันแต่แตกต่างกันในแง่โครงสร้างทางเคมี
ผู้เสพอาจเรียกชื่ออื่นตามรุ่นหรือรูปแบบของยาเช่น Enjoy , Adam , Batman ,
Yin
Yang ยามีสีสันอ่อนๆและรูปภาพต่างๆบนเม็ดยาเช่น รูปนก รูปคน รูปหัวใจ
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทในช่วงเวลาสั้นๆ ออกฤทธิ์หลังเสพประมาณ 30-45
นาทีและอยู่ได้นาน 6-8 ชั่วโมง มองเห็นภาพและเสียงผิดปรกติ รู้สึกเคลิบเคลิ้ม
ควบคุมตัวเองไม่ได้ จนเป็นสาเหตุให้เกิดพฤติกรรมมั่วเพศ
ฤทธิ์ยาสั้นทำให้หัวใจเต้นเร็ว เกิดอาการสั่น
ชักได้ในบางรายกรณีรุนแรงทำให้การหายใจล้มเหลวจนตายได้
ผู้เสพยากลุ่มนี้ต่อเนื่องนานๆ
ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและมีแนวโน้มการฆ่าตัวตายสูงครับ

อีกชนิดที่อยากเล่าสู่กันฟัง หลายปีก่อนผมเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่เกาะสมุย
เป็นที่ทราบกันว่าในคืนพระจันทร์เต็มดวงจะมีงานปาร์ตี้นักท่องเที่ยวที่หาดริน
เกาะพงัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะสมุยมากนัก ใช้เวลาเดินเรือเพียงค่อนชั่วโมง
งานปาร์ตี้นี้เรียกว่า "Full Moon Party"
นักท่องเที่ยวจะมีการละเล่นที่ริมหาดร่วมกัน แลกของกัน นั่งดื่มกินกันจนเช้า
และมีฝรั่งขี้ยาบางกลุ่มใช้ยาเสพติดเพื่อกระตุ้นให้ตาสว่าง
หวังสนุกได้ทั้งคืนยันเช้า เช้าวันรุ่งขึ้นทีไรต้องมีเคสฝรั่งคลั่งอาละวาด
นำส่งโรงพยาบาลเสียทุกที ที่พบบ่อยคือผลของเมจิก เปเปอร์ส
และยาม้านี่แหละครับ
แต่บางรายไม่ได้เสพยาเหล่านี้
เพียงทานเช้ากับไข่เจียวแต่มีอาการคล้ายเมายาเอะอะโวยวาย
ทราบว่าไข่เจียวนั้นมีเห็ดขี้ควายผสมอยู่ นักท่องเที่ยวเรียกว่า Magic
Mushroom
เป็นเห็ดพิษขึ้นตามมูลควายแห้ง รู้จักกันในชื่อ เห็ดขี้ควาย
เห็ดชนิดนี้มีสารพิษหลอนประสาท เกิดอาการมึนเมาได้เช่นกัน

ชนิดดื่ม คงหนีไม่พ้นยานอนหลับ ตัวยาที่ถูกนำมาใช้อย่างผิดๆ
จนมีข่าวคึกโครมคือ
Triazolam ผสมกับน้ำดื่มเพื่อให้หลับม่อยเป็นนกกระจอกในเวลาอันสั้น
เกิดคดีรูดทรัพย์ ข่มขืน มากมาย
ต่อมามีรายงานว่ายานี้ทำให้เกิดการหลงลืมจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้(Amnesia)
จึงมีการควบคุมอย่างเคร่งครัดห้ามวางจำหน่าย
สำหรับแพทย์เองก็เลี่ยงไปใช้ยาตัวอื่นแทนเก็บยาชนิดนี้ใช้ในบางกรณีเท่านั้น

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในหลายวิธีที่มิจฉาชีพใช้ในการมอมยา
ทุกวันนี้เศรษฐกิจตกต่ำ
จริยธรรมถดถอย มิหนำซ้ำยังมีการแพร่ระบาดยาเสพติดแบบสวนกระแส
การป้องกันตัวเองเป็นสิ่งดีที่สุดอย่าไว้ใจคนแปลกหน้าจำให้ขึ้นใจนะครับว่า "
JUST SAY NO! "

/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/_/

โดยคุณ : น.พ.โกสินทร์ แจ่มเพ็ชรรัตน์

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2548

ข้อคิดเรื่องการแพทย์ทางเลือก

เรื่องเริมนี้ว่าที่จริงเป็นเรื่องยาว มากนะครับ ยิ่งเราเห็นวิถีชีวิตหรือพฤติกรรม ของคนสมัยนี้มากๆเข้า ทำนายล่วงหน้าไว้ได้เลยว่า เรื่องของเริมจะเป็นเรื่อง ร้ายแรงเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บของคนเรา

ทั้งนี้ เพราะพฤติกรรมในชีวิตคนเรานั้น ห่างไกลออกจากความเป็นธรรมชาติ มากขึ้นทุกที ผสมกับพฤติกรรมทางเซ็กซ์ ซึ่งมั่วกันมากเหลือ เกินขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างคนไทยกันเอง หรือคนไทยกับต่างชาติ จะเป็นการช่วยให้การติดต่อกัน ระหว่างโรคต่างๆ ซึ่งเกิดจากเพศสัมพันธ์กลาย เป็นโรคร้ายแรงยิ่งขึ้นๆ

ที่กล้าพูดอย่างนี้ก็เพราะระยะหลังๆนี้ ได้พบเห็นคนไข้จำนวนมากทั้งไทยและต่างประเทศ เมื่อได้ตรวจดูสภาพของการเจ็บป่วย ลักษณะของอาการ สภาพของแผลซึ่งเกิดจากการเจ็บป่วยชนิดต่างๆ เช่น เริมที่อวัยวะเพศ มะเร็งอวัยวะเพศ เห็นแล้วน่าตกใจ เคยนึกว่า แผลขนาดนี้ ลึกขนาดนี้ คงจะเจ็บปวด เหลือแสน เขาคงจะเจ็บปวดมากมาย น่าสงสารอย่างเหลือเกิน

เมื่อสมัยก่อนๆขณะที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลต่างประเทศ เคยพบโรคซึ่งเกิดจากเพศสัมพันธ์ จะเป็นอาการหรือลักษณะของบาดแผลไม่ได้ ร้ายแรงและดูน่ากลัวเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้

แต่ระยะหลังๆเพียงไม่ถึง 10 ปี การป่วยของชาวต่างประเทศ (ฝรั่ง) เปลี่ยนจากไม่น่ากลัว เป็นน่ากลัวสยดสยองรวดเร็วเหลือเกิน

และความน่ากลัวจากอาการและบาดแผลนั้น บัดนี้คนไทยเราก็น่ากลัวและสยดสยองอย่างนั้นเหมือนกับฝรั่งเหมือนกัน

อ่านข่าวหญิงไทยบางคนที่ติดโรคเอดส์ จากฝรั่ง แล้วฝรั่งยังแกล้งเอาโรคเอดส์ไปแพร่ หลายกับหญิงไทยอื่นๆอีกเป็นการแก้แค้นนั้น ฟังแล้วน่ากลัวเหลือเกิน

สิ่งที่อยากจะเตือนอย่างเหลือเกินขณะนี้ ไม่ใช่เตือนให้ระวังเรื่องโรค แต่ให้ระวังเรื่องพฤติกรรมโดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมทางเพศ และโดยเฉพาะอีกเหมือนกัน พฤติกรรมทางเพศกับพวกฝรั่งต่ำๆกุ๊ยๆเหล่านั้น

ขอย้ำอีกครั้งกับวิธีป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์เหล่านี้ วิธีแก้ได้เด็ดขาด คือ แก้ที่พฤติกรรม ไม่ใช่แก้ด้วยยา

ก่อนที่จะขอพักเรื่องงูกับเริม ก็ต้องขอขอบพระคุณคุณพี่และคุณน้ารวมทั้งคุณน้องหลายๆ คนด้วยที่ส่งตำรับยาแก้เรื่องงูสงัดและเรื่องเริมมาให้

ที่ต้องเรียกคุณพี่คุณน้าและคุณน้องนี้ก็ด้วยความเคารพและความรู้สึกใกล้ชิดเหมือนเป็นญาติ คุณพี่และคุณน้าเหล่านี้ หลายท่านอายุเท่าผม และ สูงกว่าผมเล็กน้อย ส่วนคุณน้องๆนั้นอายุก็คงไล่เลี่ยกัน เรียกกันอย่างนี้ เพราะรู้สึกใกล้ชิดและรู้สึกว่าเป็นญาติสนิทจริงๆครับ

ตำรายาที่ทุกท่านส่งมา ผมเชื่อว่ารักษาได้จริง โดยเฉพาะเรื่องงูสวัด ที่เชื่อก็เพราะสิ่งที่ท่านแนะนำมาเป็นยาโบราณ และท่านเหล่านี้เคยใช้ได้ผลมาแล้ว

ทั้งนี้ เพราะงูสวัดนั้นไม่ใช่โรคสมัยใหม่ แต่เป็นโรคเก่าแก่มีมานานหลายร้อยปี เมื่อเป็นโรคเก่าแก่ก็ต้องเคยมีคนป่วยมามากมาย และสมัยก่อนไม่มียาประเภทปราบไวรัสแรงๆอย่างสมัยนี้ ฉะนั้นโบราณแม้แต่ยากลางบ้านก็ต้องช่วยผู้ป่วยได้ เพราะยาที่ใช้ได้นั้นได้ผ่านการพิสูจน์จากผู้ป่วย หลายชั้น ตั้งแต่ชั้นปู่ ย่า ตา ยาย ลงมาจนถึงชั้นลูกหลาน จึงน่าเชื่อถือว่าเป็นยาที่มีคุณภาพรักษาโรคได้จริง

แต่ผมไม่สามารถจะลงตำรับต่างๆในคอลัมน์ นี้ได้หมด เพราะหน้ากระดาษไม่พอ และขณะเดียวกันยาบางอย่าง ผมอยากจะทดลอง จนมีหลักฐานแน่ใจ และก็คิดว่าเมื่อได้ทดลองแน่ใจแล้ว ก็จะรวบรวมไว้เป็นตำราออกเผยแพร่ต่อไป ต้องขอเวลาหน่อยครับ

แต่ยาแผนโบราณบางอย่างซึ่งบังเอิญตรงกันทั้งของไทยและของฝรั่ง ผมก็ได้เอาลงไว้ให้ แล้ว อย่างเช่น ว่านหางจระเข้ เปลือกลูกทับทิม และเปลือกทับทิมเป็นต้น

ที่กล้าลงของฝรั่งนั้นเพราะของฝรั่งดีอยู่ อย่าง เขาต้องทดลองทั้งฝ่ายที่ใช้และฝ่ายที่ไม่ ต้องใช้ยา (EXPERIMENTAL GROUP และ CONTROL GROUP) แล้วจึงเอามาเปรียบ เทียบกัน ถ้าอย่างนี้พอเชื่อถือได้

ที่ดีอีกอย่างก็คือ เมื่อทดลองได้ผล ทราบว่าเป็นหลักฐานนำมาใช้รักษาได้แล้ว เขาก็รู้จักปรับปรุงให้เข้ากับวิธีการวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คือ สกัดเป็นเม็ด เป็นแคปซูล หรือเป็นน้ำ สามารถทำตัวยาให้ เข้มข้น ควบคุมความแรงของยา (DOSE) ได้สูงต่ำตามต้องการ และเก็บยาไว้ได้คงทนเป็นอายุของยาได้นานๆ จะเก็บไว้หรือพกพาไปไหนก็สะดวก

นี่คือความดีของวิทยาศาสตร์ซึ่งทำของเก่าให้เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นมาตรฐานสากลเชื่อถือได้แน่นอน

ตรงนี้แหละครับที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นถึงระบบการแพทย์แบบขององค์รวมหรือการแพทย์ แบบผสมผสาน ซึ่งขณะนี้แนวการแพทย์แบบชีวจิตเป็นตัวนำอยู่ในประเทศไทยขณะนี้

ของโบราณเราก็เชื่อถือ และไม่เคยลบหลู่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยมองว่าหลักการของการแพทย์สมัยใหม่ เป็นการแยกตัวหรือยกตัวสูงจนเข้ากันไม่ได้

การแพทย์ปัจจุบันยังไม่มีจุดจบ โรคอีกหลายร้อยโรคยังไม่มีทางรักษาได้ ฉะนั้นถ้ามีการศึกษาแบบแผนการแพทย์ต่างๆอย่างละเอียดลึกซึ้ง แล้วนำมาผสมผสานกัน นั่นย่อมได้ประโยชน์สูงสุด

และนี่ก็คือหลักการของชีวจิต ซึ่งเป็นหลักการของการแพทย์ แบบผสมผสาน และขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ชีวจิตยึดเอาเรื่องการแพทย์ ปัจจุบันเป็นหลักและเป็นพื้นฐาน กลุ่มแพทย์ ชีวจิตมีทั้งแพทย์ปัจจุบัน และแพทย์ทางเลือกร่วมกันดูแลโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และการแพทย์ ทางเลือกไม่ว่าแผนใด ต้องพิสูจน์ว่ามีเหตุผล พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ จึงจะเอามาใช้ร่วมกันได้

ขอเตือนท่านผู้ที่เจ็บป่วยสักนิดครับ อยากจะเลือกการแพทย์แผนใด ระวังให้ดีหน่อย สอบสวนเบื้องหลังของแต่ละคนให้ดี เพราะเดี๋ยวนี้มีพวกจอมปลอมหลอกลวง อ้างตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญมากเหลือเกิน.

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2548

โรคมะเร็ง

คอลัมน์ ส่องโรคไขสุขภาพ

ขณะนี้โรคมะเร็งเป็นโรคที่ทำให้ประชาชนชาวไทยเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ ที่หนึ่ง โรคมะเร็งที่ปอด ต่อมลูกหมาก เต้านม ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน รังไข่ เป็นสาเหตุที่สำคัญของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั้งหมด

โรคมะเร็งคืออะไร สาเหตุมีอะไรบ้าง?

คน เราต้องมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เซลล์ในร่างกายก็มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายที่เป็นไปอย่างเป็นระบบเรียบร้อย การเกิดจะพอดีกับการตาย ฯลฯ ทำให้ร่างกายอยู่อย่างปกติ แต่ในบางกรณี เซลล์ในร่างกาย ในอวัยวะต่างๆ จะมีการเกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่เป็นไปตามระบบ เป็นโดยที่ร่างกายควบคุมไม่ได้ จนมีเซลล์มากมายเกินความจำเป็น เป็นก้อนขึ้นมา ก้อนนี้อาจจะกระจาย เร็วหรือช้า ไปยังบริเวณอื่นๆ ทั่วร่างกาย ไปทำลาย กดเซลล์ที่ดีอื่นๆ ทำให้อวัยวะที่ดีทำหน้าที่ดีตามปกติไม่ได้

สาเหตุของการเกิดมะเร็ง มีอะไรบ้าง? ทำไมจึงเกิดมะเร็ง? พอจะพูดได้ว่าขึ้นอยู่กับยีน(gene) หรือพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ถ้าคนเรามียีนหรือ "เชื้อ" ที่จะกลายเป็นมะเร็งได้ง่าย เมื่อพบสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง ผู้นั้นก็จะเป็นโรคมะเร็งได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่มีเชื้อหรือยีน แต่โรคมะเร็งทั้งหลายสามารถป้องกันได้ หลายชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้

ใน ภาพรวม การไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์มากไป ไม่ใช้ยาเสพติด ไม่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันสัตว์มากไป ไม่ทำให้ตัวเองอ้วน รับประทานอาหารเช่น ผัก ถั่ว เต้าหู้ อาหารที่มีกากมากๆ รับประทานผลไม้มากๆ ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และตรวจร่างกายเป็นระยะตามแพทย์แนะนำ เช่น เมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไปควรตรวจเต้านมตนเองทุกเดือน และไปหาแพทย์ปีละครั้ง(เพื่อตรวจหาโรคมะเร็งของเต้านม) หรือเมื่อสุภาพสตรีมีเพศสัมพันธ์ ควรไปตรวจภายในทุกปีเพื่อหาโรคมะเร็งของปากมดลูก มะเร็งทุกๆ ชนิดจะค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งของปากมดลูก ลำไส้ใหญ่ ที่เป็น "ว่าที่" มะเร็งอยู่นาน เมื่อไปตรวจภายในและแพทย์ตรวจพบ "ว่าที่" มะเร็งของปากมดลูก แพทย์ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยวิธีการที่ง่ายมาก

ฉะนั้น ท่านควรปฏิบัติตามคำแนะนำตามข้างบนนี้ และควรทำตามที่แพทย์ประจำตัวท่านแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับประทานอาหาร การไปตรวจเป็นระยะๆ และท่านสมควรอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติตนเองเพื่อไม่ให้เป็นโรค(คืออย่าหา เรื่องมาใส่ตนเอง) ด้วยการไม่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ นอกจากนำโรคต่างๆ มาสู่ตัวท่านแล้ว ยังนำอันตรายมาสู่คนใกล้เคียงท่าน ครอบครัวที่ท่าน(น่าที่จะ)รักอีกด้วย ถ้าท่านเพียงแต่หยุดสูบบุหรี่อย่างเดียว ท่านจะลดความเสี่ยงของมะเร็งทั้งหมดถึง 50% เพราะบุหรี่ไม่ได้ทำให้เกิดโรคมะเร็งของปอดเท่านั้น

ใครอยากทราบเกี่ยวกับปัญหาทางด้านสุขภาพ ติดต่อได้ครับ ที่ pinitkul@hotmail.com

ด้วยความปรารถนาดี

นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์

เลขาธิการแพทยสภา

เครือหมากแตก สมุนไพรอีสาน

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง


วันนี้พาเที่ยวอีสาน แต่ไม่ถึงกับต้องรอนแรมแบบนกขมิ้นเหลืองอ่อนค่ำไหนนอนนั่น แค่ต้องการเปิดโลกสมุนไพรพื้นบ้านไทย แบบอันซีนอีสานให้ฟังกันเด้อ...

เครือหมากแตก (Celastrus paniculatus Willd.) มีชื่อเรียกทางภาคกลางว่า "กระทงลาย" หรือ "กระทุงลาย" แต่ชาวอีสานหมู่เฮาเรียกชื่อว่าเครือหมากแตก เนื่องจากว่าไม้ชนิดนี้มีลักษณะเป็นไม้เลื้อย ซึ่งคนอีสานเรียกไม้เลื้อยทั่วๆ ไปว่า "เครือ" ส่วนคำว่า "หมากแตก" ได้มาจากลักษณะของผล เมื่อแก่เปลือกที่มีสีเหลืองจะแตกออกเผยให้เห็นส่วนของเมล็ดที่เป็นสีแดงจัด หรือที่อีสานเรียกว่า "แดงจายวาย"

เครือหมากแตกเป็นไม้เลื้อยที่มีเนื้อไม้ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบอ่อนหยักเป็นซี่ถี่ๆ เมื่อเจริญเต็มที่ขอบใบจะเรียบขึ้น ดอกออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง กลีบดอกสีเขียวมีขนาดเล็กมาก ดอกเป็นดอกแยกเพศ และแยกต้น ผลค่อนข้างกลม เมื่อแก่เปลือกหุ้มผลจะแตกออกเป็น 3 กลีบ การออกดอกและผลอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนมีนาคม ใช้เมล็ดเป็นส่วนในการขยายพันธุ์

ในฤดูฝนเช่นนี้ คนอีสานนิยมเก็บเอายอดอ่อนมาลวกรับประทานร่วมกับป่นหรือแจ่ว แต่จะไม่นำยอดอ่อนมารับประทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริกเพราะจะทำให้เกิดอาการ ระคายเคืองที่คอ และเป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างยิ่งที่ภูมิปัญญาอีสานมักตรงกับงานศึกษาสมัยใหม่ เช่น กรณีการศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พบว่าพืชชนิดใดที่ภูมิปัญญาอีสานห้ามรับประทานดิบเพราะจะทำให้เกิดอาการ ระคายที่คอนั้น พืชชนิดที่ห้ามมักมีปริมาณแคลเซียมออกซาเลตเป็นจำนวนมาก

ถ้ารับประทานเข้าไปผลึกของแคลเซียมออกซาเลตจะเข้าไปเกาะตามผนังของหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่คอได้นั่นเอง

แต่สำหรับคนอีสานที่นำผักมาลวกกินกับน้ำพริกก็ดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีปัญหามาก อาจเป็นไปได้ว่าปริมาณแคลเซียมออกซาเลตในยอดอ่อนยังมีไม่มากนัก นอกจากนี้ การรับประทานยอดอ่อนลวกเชื่อว่าช่วยในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการท้องเสีย หรือเป็นบิด และยังมีส่วนช่วยในการระบายลมไม่ให้เกิดอาการท้องอืดด้วย

ในตำรายาไทยมีการใช้ส่วนต่างๆ ของเครือหมากแตกเป็นยาสมุนไพร เช่น ส่วนของราก แก้ปวดท้อง แก้บิด แก้ไข้ บำรุงน้ำนม เถา แก้ไข้มาลาเรีย แก้วัณโรค ใบ ใช้ถอนพิษ เบื่อเมา ผล แก้เหน็บชา บำรุงโลหิต เป็นต้น

ในตำรับยาอีสาน ถ้ามีผู้ป่วยที่เป็นบิดอย่างรุนแรงจะขูดเอาเนื้อด้านในของเปลือกเครือหมาก แตกมาตำกับมดแดงและเกลือ ให้ผู้ป่วยกินจะทำให้หยุดถ่ายได้

เครือหมากแตกเป็นสมุนไพรและอาหารของคนอีสานแล้ว ยังเป็นพืชพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนอีสานมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในช่วงออกพรรษา คนอีสานนิยมเก็บเมล็ดเครือหมากแตกที่แก่เต็มที่แล้วมาหีบเอาน้ำมันไปถวายพระ

เทคโนโลยีในการหีบน้ำมันจากเครือหมากแตก เป็นเทคโนโลยีที่มีความจำเพาะมากๆ โดยชาวบ้านจะทำการสานภาชนะด้วยไม้ไผ่ มีรูปทรงคล้ายหวดนึ่งข้าว ก่อนที่จะหีบหรือคั้นน้ำมันต้องตากเมล็ดเครือหมากแตกให้แห้งดี แล้วนำเมล็ดบรรจุลงในภาชนะใช้ไม้ม้วนขอบภาชนะจากส่วนปากเข้ามาหาส่วนก้น ภาชนะ น้ำมันจากเมล็ดจะไหลออกจากรูของภาชนะใช้กะละมังรองน้ำมันที่หีบได้

การนำน้ำมันจากเครือหมากแตกไปถวายพระ คนอีสานส่วนใหญ่จะนำไปถวายพร้อมกับ ผลตูมกาดิบ (Strychnos nux-blanda A.W.Hill) หรือทางภาคกลางเรียกว่า "ตูมกาขาว" ซึ่งแตกต่างจากต้นแสงเบื่อ (Strychnos nux-vomica L.) หรือที่ทางภาคกลางเรียกว่า "แสลงใจ" หรือ "ตูมกาแดง" ต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะค่อนข้างใกล้เคียงกัน ผู้ที่ไม่คุ้นอาจคิดว่าเป็นชนิดเดียวกัน

การถวายผลตูมกาดิบที่มีเปลือกแข็งมากไปทำอะไร คำตอบของคนอีสานแฟนพันธุ์แท้ คือ ใช้ทำตะเกียง เมื่อนำไปถวายพระต้องผ่าผลออกเป็นสองซีก แล้วควักไส้ในทิ้งเหลือเฉพาะส่วนที่เป็นเปลือกแข็ง พระจะนำเอาเปลือกผลตูมกาดิบนี้เป็นภาชนะใส่น้ำมันจากเครือหมากแตกนั่นเอง จากนั้นจะปั้นฝ้ายใส่ลงไปเพื่อใช้จุดไฟ

แต่ไม่ใช่เพียงแสงสว่างที่ได้ น้ำมันหอมระเหยจากเครือหมากแตกเมื่อถูกความร้อนจะมีกลิ่นหอม นับเป็นอโรมาเทอราปีในวงการสงฆ์ทีเดียว

และน้ำมันของเครือหมากแตกที่ถูกความร้อนแล้ว พระท่านยังนิยมนำไปทาถูกล้ามเนื้อเพื่อทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว และในตำรับยาพื้นบ้านอีสานพบว่าน้ำมันจากเครือหมากแตกใช้เป็นยานวดแก้ อัมพาตและอัมพฤกษ์ได้ด้วย

ต้องบอกว่าอีสานยังร่ำรวยพันธุกรรมและยังหลงเหลือพืชสมุนไพรดีๆ อีกมาก โดยเฉพาะต้นเครือหมากแตกนี้ยังพบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งนับเป็นโชคดีของคนไทยทั้งชาติด้วย ที่ยังมีภูมิปัญญาดีให้สืบค้นและพัฒนาต่อยอดได้



สําหรับต้นตูมกา แม้ดูเหมือนจะเป็นเพียงภาชนะรองน้ำมันให้ความสว่างและกลิ่นหอมนี้ แท้จริงแล้วมีสรรพคุณที่หลายชนิด แต่ควรรู้จักลักษณะต้นก่อนว่า เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูงประมาณ 15 เมตร พบได้ตามป่าเต็งรังทั่วไป ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่ เนื้อใบหนา ปลายใบเป็นติ่งแหลม

ลักษณะเด่นของใบคือมีเส้นใบสีขาวประมาณ 4-5 เส้น ตัดกับพื้นใบสีเขียวเข้มเห็นชัดเจน ลำต้นสีขาวเกลี้ยง ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกสีเขียวแกมเหลือง ร่วงหลุดง่าย ผลสดเป็นรูปทรงกลมใหญ่กว่าส้มเขียวหวานเล็กน้อย เปลือกแข็ง

เมื่อยังไม่แก่ผลมีสีเขียว แต่เมื่อแก่แล้วมีสีเหลืองจัด การออกผลจะออกครั้งละมากๆ เต็มต้น เมื่อผลแก่จะทิ้งใบหมดต้น เห็นแต่ผลสีเหลืองห้อยเต็มต้น

ผลแก่เนื้อข้างในเป็นสีเหลืองมีลักษณะเป็นเส้นใย รับประทานได้ มีรสหวาน แต่รับประทานมากไม่ได้ จะทำให้เมา เมล็ดแบนเหมือนกระดุม มีเปลือกหุ้มเมล็ดแข็งมาก คล้ายเมล็ดลูกหยี ส่วนของเมล็ดมีสารสำคัญคือ สตริกนิน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า "Strychnos" สารสตริกนินเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทย เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว นิยมใช้เป็นยาเบื่อสุนัขจรจัด แต่ปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปคนเราก็เลิกกำจัดสุนัขด้วยวิธีนี้กันแล้ว

ในตำรายาพื้นบ้านอีสานใช้ประโยชน์จากต้นตูมกาเป็นยาหลายส่วน ได้แก่ ใบ ใช้ตำพอกแก้ฟกบวม ราก ใช้ฝนทาแก้พิษงู ลำต้น ต้มดื่มแก่ปวดเมื่อยด้วย

หากได้ท่องเที่ยวอีสานหรือคนอีสานที่หลงอยู่ในเมืองนานเกินไป เมื่อได้กลับบ้านถิ่นอีสาน อย่าลืมไปใช้และพัฒนาสมุนไพรพื้นบ้านสองต้นนี้นะ

พยาบาลคืนถิ่น

หากลดระยะทาง ในการเดินทางไปโรงพยาบาล คนป่วยหลายคน ดูจะลดรายจ่าย ในการรักษาพยาบาลไปได้มาก นี่เป็นที่มาของ โครงการบริการ แบบเน้นประชาชน เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วที่โรงพยาบาลภูกระดึง จ.เลย พิษณุรักษ์ ปิตาทะสังข์ นำเสนอโครงการดีๆ ที่เพิ่มทางเลือก ให้กับคนในชนบทห่างไกล

หลายปีแล้วที่ พุทธธรรม เมืองแสน หญิงวัย 41 ปี ยิ้มแย้มแจ่มใสและมักพูดคุยกับคนรอบข้างได้มากขึ้น หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อหลายปีก่อนทำให้เธอตกจากบ้าน ไขสันหลังหัก กระทั่งร่างกายครึ่งท่อนล่างขยับเขยื้อนไม่ได้ ต้องนอนอยู่บนเตียงเพียงเท่านั้น

แต่หลังจากพยาบาล และนักกายภาพบำบัดจากโรงพยาบาลภูกระดึง อ.ภูกระดึง จ.เลย เข้ามาช่วยแนะนำวิธีดูแลตัวเองอย่างง่ายๆ และหมั่นแวะเวียนมาถามไถ่อาการอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนอาการของเธอในวันนี้สร้างความประหลาดใจให้คนรอบข้างไม่น้อย

"ไม่คิดว่ากำลังใจจะกลับมาอีก จากคนรอบข้าง จากหมอและพยาบาลจากโรงพยาบาลก็มาดูแล" หญิงวัย 41 บอกเล่าพร้อมรอยยิ้ม "ตอนนี้สามีก็หมดห่วง บางวันก็นั่งรถไปไร่กับสามี"

จากกิจวัตรเดิมๆ ที่ต้องไปโรงพยาบาลทุกอาทิตย์ เธอแทบไม่ต้องไปอีกแล้ว เพราะทีมพยาบาลลงพื้นที่มาดูแลด้วยตัวเองทุกอาทิตย์ มีการแนะนำวิธีการทำกายภาพบำบัดอย่างง่าย วันนี้เธอจึงออกไปไหนต่อไหนกับสามีได้สบาย

ทำงานใกล้บ้าน

หากไปตามพื้นที่เขต อ.ภูกระดึง และกิ่งอำเภอหนองหิน จ.เลย หลายคนอาจจะแปลกใจที่เห็นทีมพยาบาลและสหวิชาชีพทางการแพทย์มาดูแลชาวบ้าน ถึงที่ พร้อมกับการดูแลให้คำปรึกษาไม่ต่างอะไรจากญาติสนิทคนหนึ่งในชุมชน

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เน้นการบริการแบบใกล้บ้าน-ใกล้ใจ ให้บริการโดยเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยมีตัวจักรสำคัญอยู่ที่พยาบาลวิชาชีพจำนวนหนึ่งคอยให้บริการตามเขต พื้นที่ห่างไกล ตามโครงการ 'พยาบาลคืนถิ่น' ซึ่งสอดคล้องกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค

พยาบาลคืนถิ่นหลายคนล้วนแต่ผ่านการทำงานจากพื้นที่อื่นมาทั้งนั้น ดังเช่น ภิรมณ โสดาจันทร์ หญิงวัย 28 ปี ซึ่งเคยทำงานในต่างจังหวัดมาก่อน แต่วันนี้เธอเลือกกลับมาทำงานในโรงพยาบาลใกล้บ้านในอำเภอภูกระดึง ความที่เป็นโรงพยาบาลในภูมิลำเนา บวกกับความหวังอยากทำงานกับชุมชนคนยากจน

"แรกๆ ก็ไม่รู้จักหรอกว่าต้องทำงานชุมชนอย่างไร" ภิรมณ บอก "จริงๆ ก็คือ ต้องดูแลผู้ป่วยมากกว่าที่เราเคยทำในโรงพยาบาล เพราะสถานีอนามัยไม่พร้อม สิ่งที่ให้มากขึ้น คือ คำปรึกษากับชาวบ้าน ซึ่งสำหรับพวกเขาจำเป็นมาก"

ในแต่ละวัน หมอ พยาบาล และทันตแพทย์ เริ่มทำงานตั้งแต่ 9 นาฬิกาถึงบ่ายสามโมง หลังจากนั้น ต้องกลับไปทำต่อที่โรงพยาบาลภูกระดึง ส่วนสถานีอนามัยจะมีพยาบาลวิชาชีพประจำอยู่กระทั่งถึงเที่ยงคืน ซึ่งสามารถให้บริการได้คล้ายกับหมอ โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเวชปฏิบัติอย่างง่ายๆ

"เราไม่ทำหน้าที่เกินไปกว่าที่พยาบาลควรทำ การรักษาบางอย่างเป็นหน้าที่ของหมอ เราก็ต้องส่งต่อให้หมอดู แต่ถ้าอยู่ในขอบข่ายของเราก็ต้องช่วย เช่น กรณีการช่วยปั๊มหัวใจอย่างถูกวิธี ก็สามารถยื้อชีวิตคนป่วยให้รอดตายได้มาหลายรายแล้ว"

หลังจากสัมผัสงานพยาบาลชุมชนมาระยะหนึ่งแล้ว ภิรมณ ยอมรับว่า มุมมองในการทำงานพยาบาลเปลี่ยนไป โดยเฉพาะความอิสระในการทำงาน เธอได้ตัดสินใจด้วยตัวเองมากขึ้น โดยกลั่นจากประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมา

"ปกติทำงานแค่ตามคำสั่ง ไม่ได้เจออะไรมากมาย แต่ที่นี่ได้เจอกับคนจริง เห็นความไม่เท่าเทียมกันของคนหลากหลาย อย่างน้อยๆ เราคิดว่า พยาบาลก็ทำงานได้มากมายกว่าที่เคยคิด เช่น ได้ช่วยลดปัญหาคนไข้ โดยการแนะนำให้เขาดูแลตัวเองให้ถูกวิธี ชาวบ้านเขาเชื่อเรา และพร้อมจะทำตาม เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีโอกาสเท่านั้น"

ถัดไปจากสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ ประนอม ศรีหาภูธร พยาบาลวิชาชีพจากสถานีอนามัยหนองหมากแก้ว ก็กลับมาทำงานในบ้านเกิดเช่นกัน ผิดแต่ว่า สถานีอนามัยแห่งนี้เล็กกว่าและยังไม่มีบุคลากรมากมายนัก

"อยู่ที่ทำงานเก่ารู้สึกว่าเป็นแต่ฝ่ายรับงานอย่างเดียว แต่ที่นี่เราได้ทำงานบุกเบิกใหม่ๆ ได้ลงพื้นที่" เธอเล่าในวันที่ทำงานพยาบาลมา 6 ปีแล้ว

ประสบการณ์ในพื้นที่สอนให้เธอรู้ว่า ชาวบ้านในถิ่นห่างไกลยังพึ่งพายาจากร้านขายของชำเป็นหลัก แม้ว่าตัวเองจะเผชิญกับโรคร้ายอย่างความดัน หรือโรคหัวใจก็ตาม นั่นเพราะขาดคนคอยให้ความรู้และเตือนถึงภาวะเสี่ยงในการดูแลสุขภาพ เมื่อชาวบ้านรู้สึกป่วยหนักจึงต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างเดียว

บ่อยครั้งที่ประนอม เห็นว่า คนไข้หลายรายไม่จำเป็นต้องส่งถึงมือแพทย์ก็ได้ เพียงแต่ว่าดูแลสุขภาพให้เหมาะสม เช่น งดการกินของสุกๆ ดิบๆ หรือการรับประทานผงชูรสให้น้อยลง ซึ่งต้องใช้เวลาให้ความรู้กับชาวบ้านอย่างเป็นขั้นตอน

"ตอนแรกๆ เขาก็ไม่ชิน เพราะเขาคิดว่า คนที่จะรักษาเขาได้ คือ หมอเท่านั้น จริงๆ มันไม่ใช่เสมอไป ยกเว้นบางเคสที่เกินหน้าที่ เช่น ความดันโลหิตสูง เราก็ส่งให้ถึงโรงพยาบาลเลย"

เมื่อถามถึงสิ่งที่ประนอมได้รับจากงานในชุมชน เธอตอบทันทีว่า "อยู่ที่โรงพยาบาลเราซ่อม แต่อยู่ที่นี่เราสร้าง โรคบางโรคไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็ได้ แต่ใช้วิธีบำบัด เราสอนให้เขาพึ่งยาให้น้อยที่สุด แต่เปลี่ยนมุมมองในการดูแลตัวเองให้ดีขึ้น"

ในวันนี้ หากใครถามพวกเธอว่า อยากกลับไปอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือไม่ พวกเธอจึงมีคำตอบไว้ในใจแล้วว่า "ขออยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ดีกว่า เพราะทุกคนก็เหมือนญาติเรา"

สหวิชาชีพร่วมมือ

นอกเหนือจากพยาบาลจำนวนหนึ่งที่ทยอยกลับสู่ถิ่นของตนเอง วิชาชีพอื่นๆ เกี่ยวกับสุขอนามัยก็ได้รับการผลักดันให้กลับสู่ภูมิลำเนา และร่วมมือกันปฏิบัติงานในชุมชนต่างๆ ตามโครงการ Family Manager ดังตัวอย่างของ สุนันทา โสกัณทัต เจ้าหน้าที่เภสัชประจำสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ และกลุ่มเพื่อนๆ ในสายงานเดียวกัน

สุนันทา ก็เช่นเดียวกับพยาบาลและหมอคนอีกหลายคนที่ทำงานในโรงพยาบาลภูกระดึง และสลับกับสถานีอนามัยแห่งนี้ โดยทำงานควบคู่ไปกับเภสัชกรหลักซึ่งเวียนมาเพียงแค่อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งไม่เพียงพอต่อการรักษาพยาบาลในชุมชน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เภสัชอย่างเธอ

"มันใกล้บ้านดี" เธอตอบตรงๆ "เห็นเล็กๆ อย่างนี้แต่ก็มีระบบเหมือนกับโรงพยาบาลทุกอย่าง พวกเรารู้สึกว่าได้ทำงานกับคนที่ในชุมชนของเรา เหมือนทุกๆ คนเป็นญาติ ใครไม่สบายก็กล้ามารักษา เคยคุยกับคนไข้บางครั้ง เขารู้สึกเป็นมิตรกับเรามากกว่าไปโรงพยาบาลบางแห่งด้วยซ้ำ"

ส่วน พรรณี ศรีบัวรินทร์ นักกายภาพบำบัด วัย 26 ปี ซึ่งลงพื้นที่ในกิ่ง อ.หนองหิน เล่าให้ฟังว่า หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำงานที่จังหวัดมุกดาหาร ระยะหนึ่งก่อนจะกลับมาทำงานใกล้บ้านที่โรงพยาบาลภูกระดึง และได้ลงพื้นที่ในฐานะนักกายภาพบำบัดชุมชน

ภายในโรงพยาบาลภูกระดึงมีนักกายภาพบำบัด 3 คน แต่ละคนต้องผลัดเปลี่ยนกันลงพื้นที่และดูแลชาวบ้านคนละประมาณ 50-70 คน ส่วนใหญ่ใช้เวลาช่วงบ่ายของวันลงพื้นที่เพื่อพบปะและพูดคุยกับชาวบ้าน เหมือนอย่างวันนี้เธอได้มาดูแลหญิงสูงวัยซึ่งป่วยเป็นอัมพาต

"กรณีของหญิงคนนี้ จากเดินไม่ได้เลย เขาเริ่มขยับและเดินได้ด้วยเครื่องมือช่วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่า คนไข้มีสุขภาพดีขึ้น ทำให้ญาติพี่น้องก็รู้สึกดีขึ้นด้วย"

ก่อนหน้านี้ พรรณี ก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเมื่อลงพื้นที่ เพราะการลงพื้นที่สำหรับนักกายภาพบำบัดนั้น ห่างไกลกันนัก เธอนึกว่า น่าจะมีเครื่องไม้เครื่องมือเหมือนที่เคยเรียนมา แต่ในความจริง พวกในพื้นที่ไม่มีเครื่องมือมากมายขนาดนั้น

"ดีใจที่สุดก็ตอนที่เราช่วยให้ชาวบ้านอาการดีขึ้น บางคนเคยคิดจะฆ่าตัวตายก็กลับตั้งใจทำงาน ไปทำงานกับสามีได้ มาทำงานตรงนี้จึงได้เห็นชีวิตคนที่มันแย่สุดๆ กับดีสุดๆ มันสอนอะไรกับเราหลายอย่าง"

"ในบางครั้งก็มีปัญหา เช่น ญาติคนไข้บางครั้งไม่เข้าใจเรา เขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร จะมาช่วยเขาได้หรือ แต่ก็ต้องใช้เวลา เราก็ต้องทำให้เขาเห็นว่า พวกคุณดูแลตัวเองได้ แต่ต้องเหมาะสม บางคนเป็นอัมพาต ก็ทำกายภาพบำบัดได้ ซึ่งอาจจะทำให้ดีขึ้น" เธอเล่า

ใกล้ใจ ใกล้บ้าน

การทำงานที่เน้นกับชุมชนเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่โครงการบริการแบบใกล้บ้านใกล้ใจจะได้รับการคัดเลือกผลงาน นวัตกรรมด้านหลักประกันสุขภาพดีเด่นระดับทอง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ประสบความสำเร็จ

น.พ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูกระดึง จ.เลย กล่าวว่า แนวคิดเรื่องพยาบาลคืนถิ่นเน้นให้พยาบาลครึ่งโรงพยาบาลออกพื้นที่เพื่อ บรรเทาการเข้ามารับรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้รู้ว่า การทำงานกับประชาชนในเชิงรุกเป็นอย่างไร ซึ่งไม่เหมือนกับการทำงานเชิงรับ แบบที่คนไข้มานอนในโรงพยาบาล ถือว่าได้เรียนรู้งานซึ่งกันและกัน

ผอ.คนเดิม กล่าวว่า ได้เปลี่ยนแปลงหลักคิดใหม่ว่า คนที่อยู่ไกล เช่น หมู่บ้านหนึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาล 60 กิโลเมตร เราต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่าจะเข้ามาถึงโรงพยาบาล นี่ถือเป็นความโชคร้ายของคนชายขอบ บางหมู่บ้านก็ถนนหนทางไม่สะดวก บางหมู่บ้าน 20 กิโลก็จริง แต่เป็น 20 กิโลแม้ว มันก็ยาก ช่วงหน้าฝนไม่ต้องพูดถึง นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น จึงเกิดแนวคิดว่า บางครั้งไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาลก็ได้

กรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ กิ่ง อ.หนองหิน จ.เลย ซึ่งเคยเป็นสถานีอนามัยเล็กๆ ที่ถูกมองข้ามมานาน ภาพในใจของชาวบ้านในย่านนั้นไม่ให้ความสนใจในมาใช้บริการมากนัก

"เป็นการลดระยะเวลาที่จะไปเจอแพทย์ จากเดิมเคยเดินทางนาน 70 กิโลเมตร แต่ที่นี่ร่นระยะเวลาได้ คนจนๆ ก็ได้รับการรักษาพยาบาลที่ดี แม้อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าโรงพยาบาลแต่ก็เป็นการลดปัญหาเก่าๆ ได้"

สำหรับแนวคิดเรื่องสหวิชาชีพ เช่น นักกายภาพบำบัดจะเข้ามาช่วยลดปัญหาเก่าๆ เช่น การบำบัดด้วยการเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆ หรือการใช้ยาผิดๆ บางคนปวดคอก็ใช้วิธีการนวดได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาบวดหาย หรือทัมใจ ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์ และกลับมีโทษที่ตามมาด้วย

นักกายภาพบำบัดจะออกอาทิตย์ละ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยแต่ละครั้งจะกำหนดเป้าหมายว่าจะทำอะไร ที่ไหน รักษาใครเป็นพิเศษ เช่น คนพิการในแต่ละหมู่บ้าน

สถานีอนามัยดังกล่าวถือเป็นการยกสถานะสถานีอนามัยให้เป็นแหล่งบริการที่ ใหญ่ขึ้น พัฒนาจากรูปแบบเก่าที่ไม่เคยมีแพทย์ หรือนางพยาบาลเลย แต่เลียนแบบโรงพยาบาลชุมชน ทำให้มีศักยภาพมากขึ้น

จุดเด่นคือ มีการดึงสหวิชาชีพหมุนเวียนมาประจำการ นอกจากนักกายภาพบำบัดแล้ว ยังมีหมอ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ แล้วเจ้าหน้าที่ด้านเภสัชกร ในอนาคตจะพยายามเพิ่มทันตแพทย์เพื่อเป็นการทำงานอย่างสหวิชาชีพ โดยดึงบุคลากรจากโรงพยาบาลภูกระดึง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอผลัดเปลี่ยนมาทำหน้าที่

"คนที่ทำงานได้ดี คือ คนที่มีบ้านอยู่ที่นั่น เป็นพยาบาลที่เกิดที่นั่น ผลที่เห็นได้ชัด คือ ชาวบ้านพอใจ เพราะสามารถทำงานกับชาวบ้านได้ดี บางคนอยู่ในหมู่บ้านก็ไม่ต้องแต่งฟอร์ม อยู่บ้านตัวเองก็คุยกับชาวบ้านได้ ผมเรียกว่าเป็นจิตวิทยาในการทำงานแบบที่ได้ผลดี"

สำหรับนักกายภาพบำบัดเราก็ส่งไปลงพื้นที่เพราะว่า เป็นการลดทอนอาการป่วยขั้นพื้นฐานได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยาอย่างเดียว เป็นการช่วยชาวบ้านบางรายที่ป่วยจนกระทั่งไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ คนพิการหลายคนที่อยู่ในชนบทห่างไกลที่ไม่เคยได้รับการบำบัดมาก่อนก็ได้รับ โอกาส อย่างนี้ใช้เงินไม่มาก ปีหนึ่งตกสามแสนบาท ใช้นักกายภาพ 3 คน แต่ให้บริการประชาชนได้เป็นหมื่นเป็นพันคน

"อย่างน้อยจะทำให้ประชาชนไม่หวาดระแวงเมื่อมาใช้บริการที่นี่ เราเปลี่ยนวิธีคิดการทำงานให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น"

ในมุมมองของผู้ป่วยอย่าง สุด พรมเขียว วัย 43 ปี เธอคิดว่า การมีพยาบาลประจำที่สถานีอนามัยทำให้อุ่นใจมากขึ้น ตามมาด้วยความมั่นใจในการรับคำปรึกษา ที่สำคัญ ไม่ต้องเดินทางไกลเหมือนแต่ก่อน

"บ้านอยู่ไกลออกไป 20-30 กิโลเมตร จะไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งต้องเหมารถ 300 บาท กว่าจะมาถึงที่นี่บางทีก็ปวดหัวหนักกว่าเก่า คิดว่าอยากให้ขยายสถานีอนามัยแบบนี้มากขึ้น ตอนนี้ขับมอเตอร์ไซค์มาแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว" เขาเล่า

ที่ผ่านมา ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยในการรักษาพยาบาลดูจะห่างไกลกันมาก เพียงเพราะตัวแปรสำคัญอย่างเงินของคนรวย สามารถซื้อบริการที่ดีกว่า

ขณะที่การให้บริการทางสุขภาพตามโครงการหลักการประกันสุขภาพทั่วหน้าเน้น เรื่องของความเท่าเทียมกันเป็นหลัก โครงการบริการแบบใกล้บ้านใกล้ใจ จึงยังทำให้เห็นว่า เงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะแบ่งแยกคนในการรักษาพยาบาล ดังเช่นที่ผ่านมา

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2548

ชุบสาวใหญ่ให้คืนกลับ เป็นสาวน้อย

นักวิจัยประเทศเยอรมัน รายงานในวารสาร "การแพทย์นิว อิงแลนด์" ว่าได้ประสบความสำเร็จ อย่างน่าประทับใจ ในการทดลองบำบัด ด้วยการฉีดฮอร์โมนเสริมประจำวันให้แก่ผู้หญิง ด้วยฮอร์โมนสเตียรอยด์ ซึ่งผลิตจากต่อมหมวกไต และมีบทบาทกับการรู้สึกกลับเป็นสาวขึ้นอย่างสำคัญ ฮอร์โมนชนิดนี้ร่างกายสตรี จะผลิตโดยธรรมชาติ ในช่วงอายุ 20-29 ปี แล้วจะค่อยลดน้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น

นักวิจัยของโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยแพทย์ ได้ทดลองฉีดฮอร์โมน ให้แก่กลุ่มผู้หญิงที่มีวัยเฉลี่ย 42 ปี ติดต่อกันเป็นเวลา 4 เดือน ปรากฏว่า เกือบทุกคนค่อยรู้สึก มีความหวาดกังวลและเศร้าซึมน้อยลง และชักรู้สึกคึกคักขึ้น และถึงจะเลิกฉีดให้แล้ว อาการก็ยังคงดีอยู่ ผู้ที่รับการทดลองหลายรายรู้สึกมีอาการผิวเลื่อม เป็นมัน สิวขึ้นและผมร่วงมากขึ้น แต่บางคนกลับชอบ เพราะปรกติผิวมักจะแห้งและผมร่วงอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบอกว่าการบำบัดด้วยฮอร์โมนแบบนี้ก็ต้องระวัง อาจแสลงกับผู้หญิงที่ เป็นมะเร็งทรวงอก ที่อาจมีความเกี่ยวพันกับฮอร์โมนได้ ดังนั้น จึงต้องควรอยู่ในความดูแลของแพทย์

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2548

คนแก่ที่ซึมเศร้าโรคหัวใจจะรุมเร้า

นักวิจัยในอเมริกา พบว่าคนแก่ที่มีอาการซึมเศร้า มักจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจ หัวใจวาย และโรคลมปัจจุบัน ได้มากวารสาร ของสมาคมโรคหัวใจ อเมริกัน รายงานผลการวิจัยของ ดร.เคิร์ต เฟอร์-เบิร์ก ศาสตราจารย์ ด้านสาธารณสุข มหาวิทยาลัยเวค ฟอร์เรสต์ ว่า ในการศึกษาซึ่งใช้เวลา 10 ปี ได้วิจัยกับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 4,493 คน พบว่า กลุ่มคนที่มีอาการซึมเศร้า สลดหดหู่ หวาดกลัว โกรธง่าย นอนไม่ค่อยหลับ จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะกินอาหารไม่ค่อยถูกสุขลักษณะ หรือรู้สึกไม่ค่อยอยากออกกำลังกาย หรือเป็นด้วยองค์ประกอบอื่น ทางร่างกายที่เป็น เหตุให้เกิดทั้งการซึมเศร้าและโรคหัวใจตามมา โดยที่ในช่วงแรก ไม่ได้ตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจ แต่เมื่อติดตามศึกษาเป็นเวลา 10 ปี ก็พบว่าคนที่มีอาการดังกล่าว มักจะมีอาการที่เกี่ยวกับโรคหัวใจ

นัก วิจัยกล่าวว่า คนที่ซึมเศร้า มักจะมีแนวโน้มออกกำลังกายน้อย สูบบุหรี่มาก และกินอาหารที่ไม่ค่อย เป็นประโยชน์ต่อ สุขภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้สูง การที่สุขภาพจิตเคร่งเครียด อาจจะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันได้ด้วย

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2547

ฝังตับอ่อนเทียมให้คนไข้เบาหวาน




ฝังตับอ่อนเทียมให้คนไข้เบาหวาน

(37 คำในบทความ)
(6 คนอ่าน) หน้าเอกสารสำหรับเครื่องพิมพ์




ศาสตราจารย์วิชาศัลยกรรมฝรั่งเศส ได้ผ่าตัดใส่เครื่องตับอ่อนเทียมให้แก่คนไข้เบาหวาน แบบที่ต้องคอยฉีดอินซูลินให้ตนเอง เพื่อคอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อยู่เป็นประจำ เครื่องตับอ่อนเทียม จะคอยวัดระดับน้ำตาลในเลือด และขับอินซูลินในเครื่อง เข้ากระแสโลหิตของผู้นั้น จึงจะต้องคอยเติมอินซูลินใหม่ให้แก่เครื่องทุกๆ 3 เดือน และคาดว่าเครื่องจะสามารถใช้งานได้นานสองปี
การ ทดลองผ่าตัดใส่เครื่องตับอ่อนเทียมให้ในช่องท้อง กำหนดจะทำกับคนไข้เบาหวานด้วยกัน 50 ราย เป็นในฝรั่งเศส 10 ราย และในอเมริกา 40 ราย คนไข้รายแรกยังจำเป็นต้องนอนโยงอยู่กับระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อหมอจะได้คอยติดตามการทำงานของเครื่องได้ แต่ต่อไปเชื่อว่าคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดใส่เครื่อง จะสามารถไปไหนมาไหนได้
โดยคุณ : วิทยาการ

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2547

เซีย-ฮั้ง-หลุง คุณไม่จำเป็นต้องป่วย

ศิลปะการป้องกันตัวเบื้องต้น การวินิจฉัยอาการผิดปกติของตนเอง
ตามหลักปรัชญาแพทย์จีนแบบหยิน-หยาง
คนจีนเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติของตนเองนานแต่อดีตกาลว่าทุกสิ่งในธรรม
ชาติล้วนหมุนเวียนปรับเปลี่ยนตามวงโคจร จากวันเป็นคืน จากเดือนเป็นปี จากอากาศร้อนเป็นหนาว จากเมล็ดกลาย
เป็นต้น จากร้อนเป็นเย็น หรืออีกนัยหนึ่งจากสภาวะหยินสู่หยาง และหยางสู่หยิน
ร่างกายและสุขภาพก็เช่นกัน จากปกติสู่อาการผิดปกติ จากอาการผิดปกติเช่น อาการโรครุนแรงและเรื้อรังในที่สุด
ดังนั้น โรคภัยไข้เจ็บย่อมมีวงจรพัฒนาเหมือนกับสิ่งอื่น ไม่มีการยกเว้น
กว่า 1,800 ปีที่แล้วมา แพทย์จีนชื่อ จาง จง จิง ผู้เขียน
คัมภีร์เซีย-ฮั้ง-หลุง บัญญัติจากประสบการณ์การตรวจอาการของผู้ป่วยนับ
ร้อยสรุปได้ความว่า อาการผิดปกติของร่างกายคนเรา เมื่อเริ่มจะพัฒนาไปสู่การเป็นโรค
ล้วนมีอาการขั้นแรกคล้ายคลึงกัน และ โรคต่างๆ ก็ล้วนพัฒนาตามวงจรเหมือนกัน
โดยท่านระบุแบ่งเป็นภาษาหยิน-หยางว่า โรคทุกโรคพัฒนาจากอาการที่เป็นหยางสู่หยินและ
ในที่สุดหยินสุดคือ เสียชีวิต ในหยางและหยินแบ่งอีกเป็นหยาง 3 ช่วงก่อน
และต่อด้วยหยินอีก 3 ช่วง โรคพัฒนาจากหยาง 1 สู่หยาง 2 สู่หยาง 3
โรคสามารถบำบัดและบรรเทาได้ก็จะหายได้ในขั้นหยาง 3 แต่ถ้าอาการหยาง
ขั้น 3 เราไม่สามารถบรรเทาหรือแก้ไขได้ โรคจะพัฒนาเข้าสู่วงจรหยิน ซึ่งยากแก่การรักษาและ
ยิ่งหยิน 2 สู่หยิน 3 ยิ่งยากแก่การเยียวยาแก้ไข หากกินเวลาหยิน 3 การเสียชีวิตก็ เป็นไปได้สูง ดังนั้น ท่านจึงเขียนตำราอธิบายลักษณะของแต่ละขั้นตอนของ
อาการและการพัฒนาของโรค เพื่อเป็นความรู้และหลีกเลี่ยงการสูญเสียสุขภาพที่ไม่
สามารถรักษากลับคืนให้ดีเหมือนเดิมได้

การสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายในเบื้องต้นให้ดูว่า
เป็นอาหารหยิน-หยาง และอยู่ในช่วงใดของการพัฒนา
และภูมิต้านทานของร่างกาย เราอยู่ในระดับใดที่จะปรับดุลกับโรคได้
ทุกโรคเริ่มต้นด้วยการหยาง เพราะหยางคืออาการของการป้องกันตัว
โดย ธรรมชาติของระบบในร่างกาย และหยางก็คือ พลังชีวิตหรือ ภูมิต้านทานที่เราทุกคนมีอยู่แล้วในตัว เมื่อเริ่มผิดปกติ ทุกคนล้วนยังมีภูมิ
ต้านทาน มีพลังความร้อนต่อสู้ปรับตัวกับความผิดปกติทุกระดับ อาการหยางจึงเป็นอาการที่เรายังได้
เปรียบและมีโอกาสที่จะรักษาตัวหรือบรรเทาให้ลุล่วงกลับมาสู่สภาพปกิติได้
ไม่ยาก แต่หากเราปล่อยปละละเลยหรือไม่สนใจ ทั้งยังทำความผิดในเรื่อง
อาหารการกิน การอยู่ ฝืนธรรมชาติเพิ่มหนักขึ้น ร่างกายจะเริ่มอ่อนแอลงจนถึงจุดที่โรคพัฒนาเข้าสู่
วงจรของหยิน ซึ่งมีอาการที่ยากแก่การแก้ไขหรือต้องใช้เวลานานกว่า และต้องใช้ยาที่แรงกว่า ดังนั้น การหมั่น
สังเกตและทำความเข้าใจของอาการผิดปกติของร่างกาย ย่อมทำให้เราไม่ตั้ง
อยู่ในความประมาท ทั้งยัง การเป็นหมอประจำตัวเราเองก่อน ที่จะรอพึ่งผู้อื่น
การใส่ใจในสุขภาพจึงต้องเริ่มต้นนับแต่วันนี้ด้วยการเริ่มแบ่งอาการแบบหยิน-หยาง ง่ายๆ
ที่ต้องใช้เวลาและทำให้เราหันมาเข้าใจให้คุณค่าสุขภาพของตัวเราเองมากขึ้น
การทำความเข้าใจระดับขั้นของอาการของโรคจำเป็นต่อการตัดสินใจในการ
เลือกสรรหายาหรือสมุนไพร หรือวิธีการบำบัดให้ถูกโรค ถูกเวลาแต่ละขั้น
แต่ละอาการล้วนมีแนวโน้มและวงจรของอาการแฝงอยู่การเฝ้าสังเกตและรวบรวมข้อมูลของอาการย่อมเป็นการ ง่ายต่อการบำบัดให้
ถูกโรค และเป็นการเลี่ยงที่จะซ้ำเติมอาการที่กำลังจะทุเลากลับเป็นทรุดหนักลงไปอีก
แต่ละขั้นตอนของอาการของโรคนั้น แพทย์จีนได้บัญญัติรายละเอียดของส่วน
ประกอบต่างๆ ของตัวยาสมุนไพรหรืออาหารการกินเพื่อแก้พิษหรือเสริม
บำรุงไว้อย่างละเอียด และสรรพคุณน่าเชื่อถือ ได้ผลเป็นที่ยอมรับกันมา
หลายร้อยหลายชั่วคน จึงน่าเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนยุคปัจจุบันที่ไม่ประสงค์
จะพึ่งยาแผนปัจจุบันที่นับ วันมีแต่ผลข้างเคียงอันไม่พึงปรารถนา
โดยคุณ : ภูมิปัญญาตะวันออก -

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2547

พบวิธีใหม่ตรวจเลือดแม่ หาลักษณะปัญญาอ่อนลูก

วารสารการแพทย์แลนเซ็ทของอังกฤษ รายงานผลการวิจัยเบื้องต้นของทีมนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งใช้หน่วยถ่ายพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ของทารกที่พบในเลือดของแม่ มาตรวจหาลักษณะอาการปัญญาอ่อนหรือ ดาวน์ ซินโดรม ของลูกในท้องได้สำเร็จแล้ว ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มักจะมีความเสี่ยงที่จะคลอดลูกออกมา กลายเป็นคนปัญญาอ่อนสูง

ใน ปัจจุบัน วิธีตรวจสอบอาการปัญญาอ่อนของทารกในครรภ์ จะอาศัยวิธี "แอมนิโอเซนทีซิสิ" (Am-niocentesis) โดยใช้เข็มจิ้มดูดของเหลว จากถุงน้ำคร่ำในท้องแม่มาตรวจ แต่บางรายแม่อุ้มท้องมาหลายเดือนแล้ว ทำให้แทบไม่มีเวลาตัดสินใจทำแท้ง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวเตือนว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไป ที่จะด่วนสรุปว่า จะสามารถนำวิธีการใหม่นี้ ไปใช้แทนวิธีการเดิม และเสนอให้มีการทดสอบกลุ่มใหญ่กว่านี้ เพื่อประเมินผลความแม่นยำ ในการวินิจฉัยของวิธีตรวจสอบแบบล่าสุด

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2547

ควานสมองหาจุดหรรษา

นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ โรงเรียนแพทย์ โรเชสเตอร์ของสหรัฐฯ เผยว่า สมองส่วนน้อยทางด้านหน้า เป็นส่วนที่รับรู้ เรื่องตลก และเชื่อว่าอารมณ์ขันของคนเรา เท่ากับเป็นตุ้มถ่วงอารมณ์ อันไม่พึงปรารถนาต่างๆ อย่างเช่น ความกลัว เป็นต้น
เขา และคณะได้ทดสอบกับอาสาสมัคร โดยใช้ เครื่องคลื่นแม่เหล็ก ตรวจค้นหาสมองส่วนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ขัน ที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยมีการศึกษาเกี่ยวกับอารมณ์ขันนัก การเข้าใจพื้นฐานของอารมณ์ดี อาจจะช่วยให้เข้าใจในอารมณ์เสียด้วย ทำให้รู้ว่า เหตุใดอัมพาต ของสมองส่วนหน้า ถึงทำให้บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไปได้ อย่างเช่นการหมดอารมณ์ขัน สมองส่วนเดียวกัน ยังเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทางสังคม และอารมณ์ กับการคิดอ่านล่วงหน้าด้วย