++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Home is where the heart is

Home is where the heart is

ืื
                  บ้านเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งให้คนได้อยู่ร่วมกันในชุมชนอย่างเป็นสุข นอกจาก เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ยารักษาโรคแล้วหรือที่เรียกว่าปัจจัยสี่มานาน จนทุกวันนี้ปัจจัยหลักมันเพิ่มขึ้นมากมาย ไม่รู้จะคิดกันได้อย่างไรว่ามันจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ มือถือหรืออะไรที่มันใช้ออน์ไลน์ได้นั่นแหละค่ะ มันจำเป็นแก่คนรุ่นนี้ทั้งนั้น
                 จนกระทั่งทุกวันนี้ปัจจัยหลักมันเพิ่มขึ้นมากมายมากกว่าปัจจัยสี่ มากเสียจนไม่รู้จะคิดกันขึ้นมาได้อย่างไรว่ามันจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ มือถือหรืออะไรที่มันใช้ออน์ไลน์ได้นั่นแหละค่ะ มันจำเป็นแก่คนรุ่นนี้ทั้งนั้น แม้กระทั่งหมาที่เป็นสมาชิกจำเป็นและสำคัญของครอบครัวรุ่นใหม่กันมาก จนมีคลินิคหรือโรงพยาบาลสัตว์ก่อตั้งกันมากมาย ถ้าคนโบราณรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายยังไม่ตาย แล้วมาเห็นสังคมปัจจุบันแล้วคงตกใจหรือทำใจกับมันไม่ได้ ก็อาจจะเป็นได้นะคะ
                  ทุกอย่างมองไปที่วัตถุนิยมแทบจะสุดโต่ง จนผู้คนจิตใจว้าวุ่นหวั่นไหวง่ายหรือไม่สงบ เพราะมัวแต่รีบเร่งหาเงินไปซื้อวัตถุที่ตนเรียกว่าจำเป็นหรือจำเป็นมาก คนระดับล่างยังดิ้นรนหามือถือราคาแพงไว้ครอบครอง และอ้างว่ามันจำเป็น แล้วมันกินเข้าไปได้หรือคะ
                  หนี้สินหรือเงินในอนาคตมีใครไม่รู้จัก เพราะล้วนแล้วแต่เข้าใจด้านเดียวว่ายืมเขามาใช้ก่อน แต่ตอนใช้ก็คิดคล้ายๆกันว่า"ไปตายเอาดาบหน้า"
                  บุคคลากรที่เป็นหนี้ครัวเรือนมากตามตัวเลขของทางการและมีแนวโน้มเป็นหนี้เสีย ที่น่าตกใจมากก็คือ บุคคลากรที่มีอาชีพครู แล้วพวกอาชีพลูกศิษย์อย่่างเราๆท่านๆจะไปเหลือหรือคะ
                 จะเรียกว่าอินเทรนด์หรือแฟชั่นดีนะที่คนมีบ้านต้องผ่อนอยู่แล้วต้องมีคอนโดมีเนียมอาศัยอยู่อีกแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะจำเป็นหรือไม่ก็ตาม ที่จำเป็นคือบ้านไกลเดินทางลำบากหลายชั่วโมงกว่าจะส่งลูกหลานไปโรงเรียนได้แล้วมาทำงานแทบรากเลือด ซึ่งภาวะแบบนี้จะมีมากขึ้นทุกวันๆอย่างแน่นอน เพราะประชากรในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพหรือหัวเมืองหลักในต่างจังหวัดเช่นเชียงใหม่ที่อาจจะประสบปัญหาเดียวกันในอนาคต ส่วนคนอื่นๆอาจจะเห็นคนอื่นหรือเพื่อนฝูงซื้อ ตนเองมีเงินซื้อก็เลยซื้อบ้าง ให้เช่าก็มี อยู่เองสักวันในหนึ่งอาทิตย์ก็มี เก็งกำไรก็มีมาก
                   ไม่ทราบเคยคิดกันบ้างหรือเปล่าว่าหากสักวันหนึ่งที่มีหนี้ค่าบ้านล้นพ้นตัว แล้วผ่อนชำระไม่ได้ จะทำอย่างไร ผู้เขียนเชื่อว่ามีคนคิดอย่างนี้ไม่มากนัก จนกว่าจะเกิดปัญหานี้กับตนเองขึ้นมาจริงๆนั่นแหละค่ะ
                    อยู่อย่างเจ้าของบ้าน ทำงานอย่างทาส แต่รายได้ลูกจ้างที่รายได้ต่ำกว่าความรับผิดชอบของงานที่ทำ แล้วจะหมุนเงินกันอย่างไรก็ไม่รู้ที่จะนำมาดำรงชีพแะใช้หนี้
                   ที่เลยไปกว่านี้บางคนยังมีบ้านพักร้อนในต่างจังหวัด ที่นานๆทีจะได้ไปนอนพักสักที หรือแทบจะไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นได้เลยสักครั้งในชีวิต เพราะสารพัดปัญหา
                    ( ในสมัยก่อนมีการเกร็งกำไรที่ดินกันมาก จึงมีโครงการสวนเกษตรเกิดขึ้นทั่วประเทศ สุดท้ายก็เจ๊งไม่เป็นท่ากันมากมาย ทั้งเจ้าของโครงการและผู้ซื้อโครงการ ทำให้มีคนล้มละลายมากจนเหลือเชื่อ )
                    แล้วคนที่มีบ้านตั้งแต่หนึ่ง สอง สาม ไม่นับภรรยานะคะ จะมีเวลาสักเท่าไรไปอาศัยจริงๆ หรือไปนอนได้สักกี่ชั่วโมงหรือกี่วันคะ
                    เท่าที่ได้ยินได้ฟังมาแทบทุกคนมีบ้านมากกว่าหนึ่งหลัง ไม่ต้องพูดไปถึงรถยนต์ที่มีกันมากมาย รถมันเลยติดจนแน่นถนนไปทั่วเมืองไงคะ ที่จอดรถก็หายาก และเป็นเงินเป็นทองให้กับเจ้าของที่จอดรถไปก็มีมาก
                     บ้านพ่อบ้านแม่หลังหนึ่ง บ้านแม่ยายพ่อตาหลังหนึ่ง บ้านลูกชายลูกสาวคนละหลัง สังคมสมัยนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างนี้มากขึ้นมาก อยู่กับพ่อแม่มานานแล้วอึดอัด ต้องไปมีบ้านอยู่เอง  ว่างๆก็แวะไปพาพ่อแม่ทานข้าวนั้นก็ดีมากแล้ว
                      สังคมครอบครัวเชิงซ้อนมันเป็นเช่นนี้คะ บ้านซ้อนบ้าน แล้วแต่จำนวนเงินที่หาได้ ทำใช้หนี้กันจนแก่หรือจนตายไปข้างหนึ่ง บางคนก็ผ่อนหมดตอนแก่ บางคนก็ตายก่อนผ่อนหมด ทิ้งปัญหาให้คนข้างหลังกลุ้มใจกันต่อไป
                      " ใครๆเขาก็ทำกัน "
                      นี่คือคำตอบจากผู้ตอบที่คิดว่ามีเหตุผลและฉลาดที่สุดในชีวิตกระมังคะเมื่อเจอคำถามข้างต้น
                      " ใครๆเขาก็ทำกัน "ในภาษาชาวพุทธเรียกว่า"สีลัพพตปรามาส " ทำๆตามกันมาอย่างไม่คิดว่าจะถูกหรือผิด ทำเอาไว้ก่อนค่อยคิดที่หลัง จะเรียกกันตรงๆก็คือทำตามกันมาแบบผิดๆนั่นเอง
                       ผู้คนในเมืองหลวงทั่วโลกจึงเป็นเหยื่อของโรคประสาทหรือโรคเครียดจนต้องไปพบจิตแพทย์เอายามาทานกันเยอะไงคะ เพิ่มรายจ่ายให้ตนเองเข้าไปอีก สถาบันต่างๆที่เป็นที่ทำงานของคนสมัยนี้เขาปฎิเสธการจ่ายเงินค่ารักษาโรคประสาท กับจิตแพทย์
                       ไม่ว่าโรคจะเกิดจากอะไรก็ตาม ในสวัสดิการรักษาจะไม่ครอบคลุม เพราะคิดว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของตน นายทุนที่แท้จริงก็อย่างนี้ละค่ะ
                      บางคนขยันทำงานแทบตาย ป่วยหนักก็โดนไล่ออกเสียงั้น เห็นมาเยอะมากเลยค่ะ เพราะว่าหมดความหมายจากนายทุนไงคะ
                      การทำงานไม่วาจะอยู่ในฐานะของลูกจ้างหรือนายจ้าง ในความเป็นจริงก็เป็นแค่การขายแรงงานที่มี ไม่ใช่การขายชีวิตที่เกิดมาจากการรวมตัวของขันธ์ห้าอันมีรูป เวทนา สังขาร สัญญา วิญญาณที่เรียกสั้นๆว่านามกับรูป นามคือสิ่งที่ใช้เรียกขานสิ่งต่างๆ รูปก็คือกายนี้ที่อยู่กับเรามานี้ตั้งแต่เกิด
                      กายที่เติบโตแข็งแรง แกร่งกล้า สามารถทำงานต่างๆจากเล็กไปหาใหญจนสำเร็จ สร้างวัตถุในชีวิตได้มากมายจนมีบ้านหลายๆหลังดังที่กล่าวหรืออะไรต่อมิอะไรมากมายเช่นมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองเป็นต้นน่ะค่ะไม่ว่าจะเป็นบ้านตามความหมายที่พี่หนูมะลิเขียนไว้ในตามหาแก่นธรรม  ตอน100.91 บ้านได้อย่างน่าอ่านมาก จนดังลือลั่นมานานหลายปี มีผู้อ่านตามอ่านกันมากมายเพราะเขียนได้น่าอ่านมาก
                      อย่างเช่นที่พี่หนูมะลิเขียนไว้ว่า" ฝรั่งมีคำเปรียบให้ฟังว่า house เป็นแค่ที่ซุกหัวนอน แต่ home เป็นที่อาศัยของคนอันเป็นที่รักเช่นพ่อ แม่  ลูก และเมีย หากมาพิจารณากันดูก็น่ารับฟังไม่น้อย"
                      ผู้เขียนเอาคำว่าบ้านมาเขียนให้ท่านได้อ่านอีกครั้งในอีกมุมมองหนึ่งเท่านั้น แต่ก็มีแรงบันดาลใจจากประโยคที่พี่หนูมะลิเขียนไว้ข้างบนนี้ละค่ะ
                      แต่บ้านที่ผู้เขียนตั้งใจสื่อความหมายก็คือร่างกายนี้เป็นบ้านที่มีใจเป็นผู้อาศัย เพื่อการงาน เพื่อดำเนินชีวิตไปตามสังคมหรือเพื่ออยู่ไปวันๆ แล้วมันก็เสื่อมลงๆจนไม่สามารถจะซ่อมแซมได้
                      สิ่งที่ดีหรือไม่ดีที่บ้านหรือกายเราสร้างขึ้นมานั้นก็จะต้องทอดทิ้งกันไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง
                      กายเป็นบ้านหลังชั้นนอก แต่ใจนั้นเป็นบ้านหลังชั้นในที่อยู่เข้ามาอีกชั้นหนึ่ง โดยมีสติเป็นกุญแจไขเข้าสู่ใจ ใจที่จะกำหนดชะตากรรมของผู้คน ใจที่เป็นใหญ่ ใจที่วนเวียนเกิดดับๆอยู่ร่ำไป ใจหรือจิตที่เป็นที่อาศัยของเจตสิก กิเลส ตัณหา อุปทาน อวิชชา
                      ใจที่ร่ำร้องจะหาแต่สุขที่ซ่อนทุกข์เท่านั้น
                      พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านรู้ความจริงเหล่านี้ดี ท่านจึงเร่งสลัดคืนกายและใจที่เป็นบ้านในแต่ละภพแต่ละชาติไปสู่ธรรมชาติในความสงบแล้วดับทั้งหมด จบสิ้นที่เรียกว่าอวสานหรือไม่มีต่อ เพราะท่านรู้ว่าชีวิตนี้มีแต่ทุกข์หรือสุขอันหยาบ แต่อทุกขมสุขหรือบ้านที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขแต่คนไม่ชอบซื้อกัน
                       เราทุกคนจะสามารถซื้อบ้านอทุกขสุขหลังนี้กันได้ ก็ด้วยความเพียรแห่งการล่วงไปจากทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่แค่เกิด แก่ เจ็บ ตายไปชาติหนึ่งๆ
                       พุทธศาสนาสอนให้เรารู้ถึงความตื่นที่จะพัฒนาศักยภาพแห่งใจที่หลับใหลในบ้านหลายหลังให้ตื่นชั่วกาลนิรันดร์ได้ เพียงแต่ท่านทั้งหลายสนใจหรือตั้งใจจะตื่นหรือเปล่าเท่านนั้นเองค่ะ ธรรมะสวัสดีค่ะ

                                                                    สุธิดา รัตนวงศ์บัณฑิต

                        นานแล้วนะครับที่ไม่ได้อ่านตามหาแก่นธรรมในรูปแบบธรรมแท้ๆถึงใจที่ซ่อนในเรื่องชีวิตทั่วๆไป ขอขอบคุณคุณสุธิดา ผู้เขียนขออนุโมทนาและสาธุการครับ
                        ในสังคมที่กระตือรือร้นช่างสะสมวัตถุกันนี้ มาสะสมอริยทรัพย์เจ็ดแล้วละทิ้งอนุสัยเจ็ดกันบ้างนะครับ ตัวจะได้เบาแล้วถึงบ้านสักที
                        บทความตามหาแก่นธรรมปีนี้เข้าปีที่ห้าแล้วนะครับ ขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกๆท่าน และขอให้มีความเจริญในธรรมยิ่งขึ้นๆไป เจริญสุขสวัสดิ์นะครับ

                                                                     แทนสะมะชัยโย

                         Happiness is when what you think, what you say, and what you do are in harmony.
                         “ความสุข เกิดขึ้นเมื่อ สิ่งที่เธอคิด สิ่งที่เธอพูด และสิ่งที่เธอทำประสานกลมกลืนกัน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น