++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การถวายข้าวพระพุทธ

การถวายข้าวพระพุทธ
ในงานบุญแต่ละครั้งจะมีการถวายข้าวพระพุทธก่อน การถวายข้าวพระพุทธบางท่านไปตำหนิว่าเหมือนการเซ่นไหว้ของศาสนาพราหมณ์ แต่ความจริงแล้วเป็นการกระทำตามอย่างพระอานนท์

พระอานนท์ท่านอยู่อุปัฏฐากรับใชัพระพุทธเจ้ามาหลายปี แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ด้วยความเคยชินท่านก็ไปปัดกวาดเช็ดถูกุฏิ ตั้งน้ำใช้น้ำฉัน ตั้งภัตตาหารเอาไว้ เป็นการกระทำที่แสดงออกซึ่งความเคารพและกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ พอมารุ่นหลัง ๆ ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริง ท่านก็สอนให้ยึดในพุทธานุสติ อย่างเช่น การถวายข้าว ถวายน้ำ ก็เป็นการถวายเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า (พุทธานุสติ) โดยตรง ครูบาอาจารย์ท่านจึงแนะนำให้ทำ

ทีนี้มีปัญหาตรงที่ว่า ถ้าเป็นที่วัด บรรดาทายกมักเลือกอาหารที่ดีที่สุด จัดเป็นสำรับไปถวายพระพุทธเจ้า พอถึงเวลาประเคนภัตตาหารสงฆ์ พระท่านฉัน พระพุทธรูปท่านนั่งมองเฉย ๆ ไม่ได้ฉันด้วย พอเสร็จพิธีก็ลา 'เสสัง มังคะลา ยาจามิ' ทายกก็คว้าไปซัดเสียเอง

นั่นเป็นของสงฆ์เต็ม ๆ และไม่ใช่ใครอื่น อาตมาเองก็ร่วมมือกับเขามานาน พอดีวันนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเทศน์เรื่องนี้ ท่านถามว่า "ใครกินนรกลงท้องไปแล้วบ้าง ?" อาตมายกมือสุดแขนเลย ท่านก็หัวเราะ บอกให้ไปชำระหนี้สงฆ์เสีย ตั้งใจว่าที่เรากินไปคิดเป็นราคาปัจจุบันเท่าไร ก็ทยอยทำบุญใช้หนี้สงฆ์ไป จะได้ไม่ต้องติดหนี้ หรือไม่ใครเป็นเจ้าภาพสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าเป็นพระปิดทองก็ร่วมกับเขาไป

พระที่จะชำระหนี้สงฆ์ต้องหน้าตัก ๔ ศอกขึ้นไป ถ้าไม่ปิดทองได้แต่เจ้าภาพใหญ่คนเดียว ถ้าปิดทองจะมีเจ้าภาพร่วมกันกี่คนถือว่าชำระหนี้สงฆ์ได้ทั้งหมด

ต้องบอกว่าเป็น พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ทรัพย์สินสิ่งของเท่าไรก็ไม่สามารถเอามาประเมินเป็นราคา เพื่อจะไปวัดคุณของพุทธเจ้าได้

ดังนั้น การสร้างพระ...ถ้าปิดทอง...เขาถือว่าต่อให้คุณร่วมมาบาทเดียว ก็ได้อานิสงส์ในการชำระหนี้สงฆ์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าอย่าไปทำอีก ถ้าทำอีกก็ติดหนี้ต่อไปอีก

เป็นที่น่าเสียดายที่พระเณรสมัยนี้ไม่มีความรู้ ไม่สามารถแนะนำสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ญาติโยมได้ กลายเป็นว่าลงอบายภูมิไปทีละรุ่น ๆ จนกว่าจะมีใครมาบอกความจริงให้หูตาสว่างเสียที


เทศน์ ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันที่ ๓ พ.ค. ๕๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น