++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

เชื่อหรือไม่ว่า พฤติกรรมและอุปนิสัยของเรามีผลต่ออนาคตของตัวเราเอง




ปีใหม่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ และมีการตั้งปณิธาน และเป้าหมายของชีวิตในปีใหม่นี้ หลายคนวาดฝันไว้อย่างสวยงามว่าเราจะต้องประสบความสำเร็จแบบนั้นแบบนี้ จะต้องได้นั่นได้นี่ ฯลฯ ทุกคนล้วนต้องการในสิ่งที่ดีขึ้นเสมอ บางคนก็เขียนเป้าหมายที่ตนต้องการลงในกระดาษ และติดไว้ที่หัวเตียงเพื่อที่จะได้เห็น ได้อ่านทุกคืน ก่อนนอน เพราะเชื่อว่า ถ้าเราฝังความเชื่อว่าเราจะต้องมี จะต้องได้ เข้าไปทุกคืน เราก็จะได้ในสิ่งที่เราต้องการเข้าสักวัน
บางคนก็เฝ้ามองทุกวัน อ่านทุกวัน อ่านจนจำได้ขึ้นใจหมดแล้ว แต่วันแล้ววันเล่า สิ่งที่เราต้องการ เป้าหมายที่เราตั้งไว้ ก็ไม่เห็นจะเข้ามาในชีวิตเราสักที ทั้งๆ ที่เราก็ตั้งเป้าหมายไว้แล้วอย่างชัดเจน คนที่ประสบความสำเร็จต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จอย่างเขา สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และยึดมั่นเป้าหมายนั้นให้มั่น ทำให้เราเห็นทุกวัน จำให้ขึ้นใจ ฯลฯ เราก็ทำแล้ว แต่ทำไมเราถึงไปไม่ถึงไหนเลย
สาเหตุที่ทำให้หลายคนไปไม่ถึงเป้าหมายทั้งๆ ที่มีการตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจน คืออะไร ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ครับ
คำตอบก็คือ เราตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้ว แต่สิ่งที่เราไม่ได้ตั้งเลยก็คือ วิธีการที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น ว่าจะต้องทำอย่างไร มีวิธีการอย่างไร มีขั้นตอน ต้องเริ่มต้นอย่างไร และต้องทำอะไรต่อบ้างในแต่ละขั้น ฯลฯ นี่คือสิ่งที่เราไม่ได้ทำ เราคิดแต่เพียงว่า เมื่อมีฝัน มีเป้าหมายแล้ว ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตของเรา ซึ่งผิดถนัด
มันมีตรรกะของชีวิตง่ายๆ อยู่ข้อหนึ่งก็คือ เหตุเป็นอย่างไร ผลก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย
ถ้าเราตั้งเป้าหมายในชีวิตเรียบร้อย แล้วเราใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ตื่นเช้ามาก็ทำเหมือนเดิม คิดเหมือนเดิม เชื่อเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิมหมด แล้วเราจะได้ชีวิตใหม่ ได้เป้าหมายใหม่ ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะประสบความสำเร็จโดยการปฏิบัติตนแบบเดิม แล้วอยากให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะถ้าเรามีพฤติกรรม และอุปนิสัยแบบเดิม แล้วคิดว่าจะประสบความสำเร็จได้ มันก็คงประสบความสำเร็จไปตั้งนานแล้วล่ะครับ ไม่ต้องมานั่งตั้งเป้าหมายกันทุกปีให้เสียเวลา
ดังนั้นใครที่ตั้งเป้าหมายไว้สูง หรือตั้งเป้าหมายแบบก้าวกระโดด สิ่งที่เราจะต้องปรับและเปลี่ยนมากหน่อยก็คือ พฤติกรรมและอุปนิสัยของเราเองก่อนเลย โดยเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับวิธีการที่เราจะสามารถไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการได้ ลองมาดูตัวอย่างกันง่ายๆ
• ถ้าเราอยากเก่งภาษาต่างประเทศ เราตั้งเป้าไว้ว่า ปีนี้เราจะต้องได้ภาษานั้น ภาษานี้ และต้องสามารถที่จะสื่อความได้จริง จากนั้นเราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมแบบที่เคยเป็น คือ ไม่คิดจะเริ่มต้นศึกษา ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของตนให้เริ่มอ่านหนังสือ หรือหาที่สมัครเรียน หรือสมัครไปแล้ว ก็ไม่จัดเวลา ไม่แบ่งเวลา ไม่มีวินัยที่จะต้องเข้าเรียนอย่างต่อเนื่อง แล้วแบบนี้เป้าหมายของเราได้ไปถึงได้อย่างไร
• บางคนอยากมีสุขภาพที่แข็งแรง มีหุ่นที่ดี สัดส่วนที่สวยงาม เราก็สามารถตั้งเป้าหมายไว้ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ เราก็ยังคงกินอาหารแบบเดิม ตื่นสายเหมือนเดิม ขี้เกียจออกกำลังกายเหมือนเดิม บางคนลงทุนสมัครฟิตเนส แต่ก็ไปใช้บริการได้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ แล้วก็เลิก แบบนี้เราจะมีหุ่น และมีสุขภาพตามที่เราต้องการได้อย่างไร
• นักเรียน นิสิต นักศึกษา บางคนตั้งใจไว้ว่า ปีหน้าเราจะต้องได้เกรดที่ดีขึ้น เราจะต้องทำเกรดเฉลี่ยให้สูงขึ้นให้ได้ วาดฝันไว้อย่างสวยงาม พอถึงเวลาปฏิบัติจริง ก็ยังคงมีพฤติกรรมและอุปนิสัยแบบเดิมๆ ก็คือ ไม่เข้าเรียน หรือเข้าเรียนก็ไม่ตั้งใจเรียน กดโทรศัพท์ไปเรื่อย คุยกับเพื่อนตลอดเวลา กลับถึงบ้าน ก็ไม่เคยแบ่งเวลาทบทวนบทเรียน ปล่อยไปเรื่อยๆ ใกล้ๆ สอบก็ค่อยมานั่งอ่านหนังสือ หรือยิ่งไปกว่านั้น บางคนไม่อ่านเลยก็มี ฯลฯ แล้วเราจะได้เกรดที่ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าเรายังคงทำนิสัยเดิมๆ ผลที่ได้ก็คือเกรดแบบเดิมๆ เช่นกัน
• พนักงานบางคนอย่างที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน อยากมีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานในบริษัท ฝันไว้ชัดเจนมากว่าจะต้องได้เงินเดือนขึ้น ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ แต่พฤติกรรมในการทำงาน ยังคงเหมือนเดิม คือ ตื่นสาย มาสาย ติดเน็ต ติดfacebook เล่น Line กับเพื่อตลอดเวลา ฯลฯ จนเวลาทำงาน และสร้างผลงานจริงๆแทบจะไม่เหลือ แล้วเราจะเอาผลงานอะไรไปอวดหัวหน้าเราได้ สุดท้ายเป้าหมายที่เราตั้งไว้ มันก็เป็นได้แค่เพียงฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
ยังมีตัวอย่างอีกมากมายครับ ที่ยกให้อ่านข้างต้นก็น่าจะพอทำให้เราเห็นภาพว่า การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรได้นั้น มันไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วก็แปะไว้ที่หัวเตียงเพื่อดึงดูดมันเข้ามาในชีวิตของเราโดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผิดธรรมชาติมาก
สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ การพิจารณาตัวเองก่อนเลยว่า ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรสักอย่าง สิ่งที่แรกที่จะต้องคิดก็คือ เราจะต้องทำอะไรเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมายนั้นได้ คล้ายเป็นแผนประจำวันของเราเอง เช่น ทบทวนหนังสือทุกวัน ออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ฯลฯ
เมื่อได้แผนงานที่ชัดเจนแล้วสิ่งถัดไปที่ต้องทำก็คือ การพิจารณาถึงอุปนิสัยและพฤติกรรมของตนเองในแต่ละวันว่าเรามีพฤติกรรมอะไรที่ไม่สอดคล้องกับแผนงานที่เรากำหนดไว้บ้าง จดมันออกมาเป็นรายการ แล้วมาพิจารณาต่อว่า ถ้าเราอยากจะได้ตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้นั้น เราจะต้องเลิก หรือเปลี่ยนนิสัยอะไรบ้าง เขียนออกมาให้ชัดเจน
เมื่อรับทราบแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดต่อไปก็คือ “การลงมือทำ” “ลงมือเปลี่ยนนิสัยตัวเอง” ให้ได้ โดยยึดเอาเป้าหมายที่เราต้องการไว้ให้มั่น ถ้าเราต้องการมันจริงๆ หรือถ้าเรามีความอยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างสุดๆ เราจะเต็มใจเปลี่ยนพฤติกรรมของเราอย่างแน่นอน แต่ถ้าเราเปลี่ยนได้สักพักแล้วกลับมาเหมือนเดิม ก็แปลว่า เป้าหมายนั้นเราไม่ได้ต้องการมันจริงๆ เราแค่อยากได้ อยากมีเฉยๆ (แบบว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร) ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ พฤติกรรมของเราก็จะกลับมาแบบเดิมอีก แล้วเราก็ไม่ประสบความสำเร็จไปอีกปี
แต่ถ้าเรามุ่งมั่นจริงจัง เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา แม้ว่าช่วงแรกๆ อาจจะยากหน่อย แต่ถ้าเรามีวินัยในตนเอง บังคนตนเองให้ทำให้ได้ทุกวัน เริ่มต้นจากวันละนิดหน่อย ค่อยๆ เพิ่มเวลามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เกิน 2 เดือน มันจะกลายเป็นนิสัยใหม่ของเรา และนิสัยใหม่นี้ก็จะเป็นนิสัยที่เอื้อต่อความสำเร็จที่เราตั้งใจไว้นั่นเอง
ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จจริงๆ ก็อย่าลืมสำรวจพฤติกรรมและนิสัยที่ไม่ดีของเรา และปรับเปลี่ยนมันซะตั้งแต่วันนี้
ไอน์สไตน์ยังเขียนไว้เลยว่า “Insanity: doing the same thing over and over again and expecting different results.(Albert Einstein) แปลเป็นไทยแบบง่ายๆ ว่า
“จะมีก็เพียงคนบ้าเท่านั้น ที่เชื่อว่าการทำสิ่งเดิมๆ ทุกวัน วันแล้ววันเล่า และคาดหวังว่าจะเกิดผลที่ดีขึ้นกว่าเดิมในชีวิตของเรา”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น