++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ความสุข ,


ความสุข ,
มีชาย 2 คน ทั้งคู่เป็นคนไข้ในโรงพยาบาลเดียวกัน อยู่ในห้องพักคนไข้รวม 2 เตียงในห้องเดียวกัน ทั้งคู่ต่างมีอาการเจ็บป่วยที่สาหัสพอๆกัน

คนหนึ่งเป็นโรคปอดบวมขั้นสุดท้าย หมอแนะนำให้เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงวันละ 1 ชั่วโมงในช่วงบ่ายทุกวัน เพื่อช่วยให้การละลายเสมหะจากปอดไหลลื่นได้ดีขึ้น เตียงคนไข้ปอดบวมตั้งอยู่ริมหน้าต่าง

ส่วนเตียงของเพื่อนร่วมห้องตั้งอยู่อีกฟากของห้อง คนไข้ต้องนอนราบบนเตียง ไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้ ทั้งสองคนฆ่าเวลาไปวันๆ ด้วยการพูดคุยกันในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้าน ครอบครัว การงานที่เคยทำก่อนล้มเจ็บ ชีวิตในระหว่างที่เป็นทหารในกองทัพบก ฯลฯ

ทุกๆ วันในช่วงบ่าย คนไข้โรคปอดจะลุกขึ้นนั่ง และมองไปนอกหน้าต่าง เพื่อระบายเสมหะตามคำแนะนำของแพทย์ เขาก็จะถือโอกาสบรรยายสิ่งที่มองเห็นข้างนอกหน้าต่างให้แก่เพื่อนร่วมห้องฟัง การได้รับฟังเรื่องราวจากภายนอกนี้ ได้กลายเป็นความสุขอย่างเดียวที่คนนอนเจ็บอีกฟากห้องจะมีโอกาสได้รับในแต่ละวัน เวลาหนึ่งชั่วโมงช่วงบ่าย จึงกลายเป็นเวลาแห่งการรอคอยของคนไข้ที่นอนเจ็บอยู่ เขาจะได้รับฟังข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นหรือได้สัมผัสโดยตรง

คนไข้โรคปอดที่อยู่ริมหน้าต่าง เล่าให้เพื่อนว่า สิ่งที่เขาเห็นนอกหน้าต่างเป็นสวนสาธารณะสวยงาม มีทะเลสาบกว้างขวางใหญ่โต มีเป็ดสีขาวระเริงเล่นในน้ำ มีสวนดอกไม้บานสะพรั่ง ปลูกเป็นหย่อมๆ ดูสวยงามทั่วไป ในทะเลสาบมีเรือพายล่องลอยไปมาดูผู้คนในเรือช่างมีความสุขยิ่งนัก หญิงสาวชายหนุ่มเดินคลอเคลียกันไปมาหลายคู่ ช่างดูมีความสุขสดชื่นกันเหลือเกิน ริมทะเลสาบมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไป ทำให้ทั่วทั้งบริเวณร่มรื่น และถ้ามองออกไปไกลๆ จะแลเห็นตึกรามบ้านช่องสวยงามอยู่ไกลออกไป ทุกอย่างล้วนดูสวยงามเป็นยิ่งนัก

ในขณะบรรยายความงดงามของธรรมชาติจากภายนอกอยู่นั้น คนเจ็บอีกฟากก็หลับตานึกสร้างมโนภาพตามเรื่องที่ได้รับฟัง ทำให้เขามีความสุขสดชื่นยิ่งนัก เสมือนหนึ่งตนได้เข้าไปอยู่ในสวนสาธารณะด้วยตนเองทีเดียว ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง คนไข้ริมหน้าต่างได้บอกเพื่อนร่วมห้องอีกฟากว่า กำลังมีขบวนแห่สวยงามเดินผ่านไป แม้ว่าคนนอนเจ็บจะไม่ได้ยินเสียงดนตรี แต่เพราะเพื่อนได้บรรยายความสวยงามของขบวนแห่อย่างละเอียดลออ จนเขาสามารถเห็นภาพในใจได้อย่างชัดเจนราวกับเห็นด้วยตาตนเองทีเดียว เหตุการณ์ในทำนองนี้ได้เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่า

เช้าวันหนึ่ง เมื่อนางพยาบาลเดินมาที่เตียงคนไข้ริมหน้าต่าง เพื่อเช็ดตัวให้ตามปกติ ปรากฏว่าคนไข้สิ้นลมเสียแล้ว เธอรู้สึกเสียใจ เพราะคนไข้ผู้นี้มีนิสัยที่ดี ไม่เคยทำตัวเป็นภาระแก่เธอโดยไม่จำเป็น เมื่อบุรุษพยาบาลนำร่างอันไร้วิญญาณออกไปแล้ว เตียงริมหน้าต่างก็ว่างลง คนไข้ที่นอนเจ็บอีกฟากจึงขออนุญาตนางพยาบาล ขอย้ายเตียงไปอยู่ริมหน้าต่าง เพื่อจะได้เห็นทิวทัศน์ภายนอก นางพยาบาลก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร เธอย้ายเตียงคนไข้ไปอยู่ริมหน้าต่างแทนเตียงเก่า หลังจากแน่ใจว่าคนไข้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เธอก็หันไปทำกิจอย่างอื่นในห้อง

คนไข้ที่ย้ายมาริมหน้าต่างรู้สึกดีใจมาก เขาพยายามยันตัวในท่านั่ง เพื่อจะได้เห็นทิวทัศน์จากภายนอกหน้าต่าง ในใจคิดว่าต่อไปนี้เราจะได้เห็นทุกอย่างด้วยตัวเองซะที เมื่อได้มีโอกาสมองไปนอกหน้าต่าง เขากลับเห็นแต่ฝาหนังทึบกั้นอยู่ ไม่ปรากฏมีทิวทัศน์สวยงามอย่างที่เคยได้ยินจากเพื่อนของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว

คนไข้จึงหันมาถามนางพยาบาลว่า เพื่อนเขาที่เพิ่งเสียชีวิตไป ได้บรรยายความสวยงามทั้งหลายตลอดระยะเวลาอันยาวนานได้อย่างไร นางพยาบาลกล่าวแก่เขาว่า ความจริงแล้วเพื่อนของคุณที่เสียชีวิตไปแล้วนั้น เป็นคนตาบอด เขาไม่มีทางเห็นแม้กระทั่งกำแพงที่กั้นอยู่ด้วยซ้ำไป

พยาบาลกล่าวยิ้มๆว่า "บางที เขาคงพยายามให้กำลังใจคุณมากกว่า"

บทสรุป การทำให้ผู้อื่นมีความสุข เป็นความสุขอย่างยิ่งสำหรับผู้ให้ ตัวเราจะเป็นอะไรไม่สำคัญ การร่วมทุกข์อาจทำให้ความทุกข์แบ่งเป็นสองส่วนได้ แต่การร่วมสุข ผลได้กลับเป็นสองเท่าเสมอ ถ้าอยากรู้สึกว่าตนเองรวย ก็ให้สำรวจสิ่งทั้งหลายที่คุณมีซึ่งไม่อาจซื้อได้ด้วยเงิน สิ่งที่คุณมีและเงินซื้อไม่ได้ก็คือ "การที่คุณมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันขณะนี้ไง"

ฉะนั้นจงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะปัจจุบันคือ "ของขวัญ" ที่คุณทุกคนล้วนได้มาและเป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้

1 ความคิดเห็น: