พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภราโชวาท จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ควนฺเจ ตรมา
นานํ ดังนี้
เรื่องปัจจุบันจักมีแจ้งใน สกุณชาดก
ส่วนในชาดกนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร แม้พระราชาครั้งแต่ก่อน ทรงสดับถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลายแล้ว
ครองราชสมบัติโดยธรรม บำเพ็ญทางไปสวรรค์ให้บริบูรณ์ไปแล้ว อันพระราชาทรงอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว
เรียนศิลปะทั้งปวงเสร็จแล้ว บวชเป็นฤาษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดแล้ว มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่ในหิมวัน
ตประเทศอันน่ารื่นรมย์.
ในกาลนั้น พระราชาทรงรังเกียจโทษ มิใช่คุณความดี ทรงพระดำริว่า ใครๆ ผู้กล่าวโทษใช่คุณของเรา มีอยู่หรือ จึงทรงแสวง
หาอยู่ มิได้พบเห็นใครๆ ผู้มักกล่าวโทษของพระองค์ทั้งในอันโตชนและพาหิรชน ทั้งในพระนครและนอกพระนคร ทรงพระดำริว่า ใน
ชาวชนบทจะเป็นอย่างไรบ้าง จึงปลอมพระองค์ เสด็จเที่ยวไปตามชนบท แม้ในชนบทนั้น ก็มิได้ทรงเห็นคนผู้กล่าวโทษ ได้ทรงสดับ
แต่คำสรรเสริญคุณของพระองค์นั้น จึงทรงดำริว่า ในหิมวันตประเทศจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเสด็จเข้าไปยังป่าเที่ยวไปจนถึงอาศรม
ของพระโพธิสัตว์ ทรงอภิวาทพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ทรงทำปฏิสันถารแล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์นำผลนิโครธสุกจากป่ามาบริโภค. ผลนิโครธสุกเหล่านั้นหวานมีโอชะ มีรสเสมอด้วยจุรณน้ำตาลกรวด.
พระโพธิสัตว์นั้นทูลเชิญพระราชา แล้วทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก เชิญท่านบริโภคผลนิโครธสุกนี้ แล้วดื่มน้ำ. พระราชาทรงกระทำอย่างนั้น
แล้ว ตรัสถามพระโพธิสัตว์ ว่า
ท่านผู้เจริญ เพราะอะไรหนอ ผลนิโครธสุกนี้ จึงหวานดีจริง.
พระโพธิสัตว์ทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก พระราชาทรงครองราชสมบัติโดยธรรม โดยเสมอ เป็นแน่ เพราะเหตุนั้นแหละ ผล
นิโครธสุกนั้น จึงหวาน.
พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ในเวลาที่พระราชาไม่ดำรงอยู่ในธรรม ผลนิโครธสุกย่อมไม่หวานหรือหนอ.
พระโพธิสัตว์ทูลว่า ใช่ ท่านผู้มีบุญมาก เมื่อพระราชาทั้งหลายไม่ดำรงอยู่ในธรรม น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้นก็ดี ราก
ไม้และผลไม้ในป่าเป็นต้นก็ดี ย่อมไม่หวาน หมดโอชะ.
อีกอย่างหนึ่ง มิใช่สิ่งเหล่านี้อย่างเดียว แม้รัฐทั้งสิ้นก็หมดโอชะ ไร้ค่า แต่เมื่อพระราชาทั้งหลายนั้นทรงดำรงอยู่ในธรรม แม้
สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมหวานมีโอชะ รัฐแม้ทั้งสิ้นก็ย่อมมีโอชะเหมือนกัน.
พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญคงจักเป็นอย่างนั้น ทรงไม่ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระราชาเลย ทรงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วเสด็จไป
ยังนครพาราณสี ทรงดำริว่า จักทดลองทำตามคำของพระดาบส จึงทรงครองราชสมบัติโดยไม่เป็นธรรม. ทรงดำริว่า จักรู้ความจริงใน
บัดนี้ จึงให้เวลาล่วงไปเล็กน้อยแล้ว เสด็จไปที่สำนักของพระโพธิสัตว์นั้นอีก ทรงไหว้แล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็กล่าวเหมือนอย่างนั้นแหละ แล้วได้ถวายผลนิโครธสุกแก่พระราชานั้น ผลนิโครธสุกนั้นได้มีรสขมแก่
พระราชานั้น พระราชาทรงรู้สึกว่าไม่มีรสหวาน จึงถ่มทิ้งพร้อมกับเขฬะ แล้วกล่าวว่า ขม ท่านผู้เจริญ.
พระโพธิสัตว์ทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก พระราชาจักไม่ทรงประพฤติธรรมเป็นแน่ เพราะในกาลที่พระราชาทั้งหลายไม่ทรง
ประพฤติธรรม สิ่งทั้งหมดตั้งต้นแต่ผลาผลในป่า ย่อมหารสหาโอชะมิได้
แล้วได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
ถ้าเมื่อโคทั้งหลายว่ายข้ามแม่น้ำไป โคหัวหน้าฝูงว่ายคด เมื่อโคผู้นำฝูงว่ายคดอย่างนี้ โคทั้งหมดก็ย่อมว่ายคดไปตามกัน.
ในมนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับสมมติแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้าผู้นั้นประพฤติไม่เป็นธรรม ประชาชนนอกนี้ก็
ประพฤติไม่เป็นธรรมโดยแท้ ถ้าพระราชาผู้เป็นใหญ่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม รัฐก็ย่อมอยู่เป็นทุกข์ทั่วกัน.
ถ้าเมื่อโคทั้งหลายว่ายข้ามแม่น้ำไป โคหัวหน้าฝูงว่ายข้ามไปตรง เมื่อโคหัวหน้าฝูงว่ายข้ามไปตรงอย่างนั้น โคทั้งหมดก็ย่อม
ว่ายข้ามไปตรงตามกัน.
ในหมู่มนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับสมมติแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้าผู้นั้นประพฤติเป็นธรรม ประชาชนนอกนี้ก็ย่อม
ประพฤติเป็นธรรมโดยแท้ ถ้าพระราชาเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม รัฐก็ย่อมอยู่เป็นสุขทั่วกัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ควญฺเจ ตรมานานํ ความว่า เมื่อโคทั้งหลายว่ายข้ามแม่น้ำ. บทว่า ชิมฺหํ ได้แก่ คด คือ โค้ง. บทว่า
เนนฺเต ความว่า เมื่อโคผู้หัวหน้าโค คือ โคจ่าฝูงผู้เป็นหัวหน้าโค นำไปคือพาไป. บทว่า ปเคว อิตรา ปชา ความว่า สัตว์ทั้งหลายนอกนี้ ก็
ย่อมประพฤติไม่เป็นธรรมตามๆ กัน. บทว่า ทุกฺขํ เสติ ความว่า มิใช่จะอยู่เป็นทุกข์อย่างเดียว ย่อมได้ประสบทุกข์ในอิริยาบถแม้ทั้ง ๔
ด้วย. บทว่า อธมฺมิโก ความว่า ถ้าพระราชาประพฤติไม่เป็นธรรม โดยลุแก่อคติ มีฉันทาคติเป็นต้น. บทว่า สุขํ เสติ ความว่า ถ้าพระ
ราชาทรงละการลุอำนาจอคติ ดำรงอยู่ในธรรม รัฐทั้งหมดย่อมจะถึงความสุขอย่างเดียว ในอิริยาบถทั้ง ๔.
พระราชาทรงสดับธรรมของพระโพธิสัตว์ จึงให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระราชา แล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อน ข้าพเจ้า
เองกระทำผลนิโครธสุกให้หวาน แล้วได้ทำให้ขม บัดนี้ จักกระทำให้หวานต่อไป แล้วทรงไหว้พระโพธิสัตว์ เสด็จกลับพระนครครอง
ราชสมบัติโดยธรรม ได้ทรงกระทำสรรพสิ่งทั้งปวงให้กลับเป็นปกติตามเดิม.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดก ว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์
ส่วนดาบสได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาราโชวาทชาดกที่ ๔
....................................
(ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt06.php)
ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภโอวาทของพระราชา ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระฤๅษีนำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์ มีรากไม้และผลไม้เป็นอาหาร ในสมัยนั้น
พระเจ้าพรหมทัตขึ้นครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี พระองค์เป็นผู้รังเกียจความไม่ดี วันหนึ่งทรงดำริว่า "เราปกครองเมืองมานี้ มีใคร
เดือนร้อนและกล่าวโทษของเราหรือเปล่าหนอ" จึง ทรงแสวงหาอยู่ทั้งในวังและนอกวังก็ไม่พบเห็นใครกล่าวโทษพระองค์ ทรงปลอม
พระองค์ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ก็ไม่พบเห็นจึงแวะเข้าไปในป่าหิมพานต์เข้าไปสนทนากับฤๅษีด้วยทำทีเป็นคนหลงทาง
ฤๅษีได้ทำการต้อนรับด้วยผลไม้ป่านานาชนิด พระราชาปลอมได้เสวยผลไม้ป่ามีรสหวานอร่อยดี จึงถามถึงสาเหตุที่ทำให้ผลไม้มี
รสหวานอร่อยดี ฤๅษีจึงทูลว่า "ท่านผู้มีบุญ เป็นเพราะพระราชาครองราชย์โดยธรรมเป็นแน่ ผลไม่จึงมีรสหวานอร่อยดี" พระราชา
ปลอมสงสัยจึงถามอีกว่า "ถ้าพระราชาไม่ครองราชย์โดยธรรม ผลไม้จะมีรสชาติเป็นเช่นไรล่ะพระคุณเจ้า "ฤๅษีตอบว่า "ผลไม้ก็จะมีรส
ขมฝาด หมดรสชาติไม่อร่อยละโยม" พระราชาปลอมสนทนาเสร็จแล้วก็อำลาฤๅษีกลับคืนเมืองไป ทรงทำการทดลองคำพูดของพระฤๅษี
ด้วยการไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นปีแล้วกลับไปหาฤๅษีอีก ฤๅษีก็ทำการต้อนรับด้วยผลไม้ พอผลไม้เข้าปากเท่านั้นก็ต้องถ่มทิ้งไป
เพราะผลไม้มีรสขมฝาด
ฤๅษีจึงแสดงธรรมว่า "โยม..คงเป็นเพราะพระราชาไม่ครองราชย์โดยธรรมแน่เลย ธรรมดาฝูงโคว่ายข้ามแม่น้ำ จ่าฝูงว่ายคดฝูง
โคก็ว่ายคดตามกันไป เหมือนหมู่มนุษย์ถ้าผู้นำมนุษย์ประพฤติไม่เป็นธรรม ประชาชนก็ประพฤติไม่เป็นธรรมเช่นเดียวกัน พระราชาผู้
ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ทวยราษฎร์ก็เป็นทุกข์ทั่วกัน
ถ้าจ่าฝูงโคง่ายน้ำตรง ฝูงโคก็ว่ายตรงเช่นกัน เหมือนหมู่มนุษย์ถ้าผู้นำประพฤติเป็นธรรม ประชาชนก็ต้องประพฤติเป็นธรรมเช่น
กัน พระราชาผู้ตั้งอยู่ในธรรม ทวยราษฎร์ก็อยู่ร่มเย็นเช่นกัน"
พระราชาสดับธรรมของพระฤๅษีแล้วจึงแสดงพระองค์เป็นพระราชาให้พระฤๅษีทราบ ไหว้ฤๅษีแล้วกลับคืนเมืองประพฤติตั้งตน
อยู่ในทศพิธราชธรรมเช่นเดิม ทำให้สรรพสิ่งทั้งปวงกลับเป็นปกติตามเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น