++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ถ้ารถเมล์ 4 พันคันจอดป้ายที่ครม.พุธนี้

โดย สุวิชชา เพียราษฎร์

สมมติว่า...โครงการรถเมล์เช่า 4,000 คันเจ้าปัญหาวิ่งเข้าจอดป้าย
ครม.ในสัปดาห์นี้ได้สำเร็จและครม.ทั้งขณะกระโดดขึ้นรถเมล์ลงมติให้ผ่านได้
โดยสะดวก ลองมาคิดเล่นๆ กันมั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้?

ข้อ 1 พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยจะโกยคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นหลังสามารถยุติภาพ
ความขัดแย้ง แสดงออกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพรรคร่วมรัฐบาล
รัฐบาลมีเสถียรภาพอย่างมาก ไม่เป็นอย่างที่คนภายนอกพยายามกล่าวหา

ข้อ 2 ประชาชนจะพากันสรรเสริญถึงความกล้าหาญในการกล้าตัดสินใจของครม.แม้ว่า
โครงการนี้ส่อพิรุธส่งกลิ่นทุจริตเหม็นเน่า แต่เพื่อประโยชน์ของประชาชน
และผลกำไรของ ขสมก. ตามที่กระทรวงคมนาคมเจ้าของโครงการบอกต่อสาธารณะ
อีกทั้งรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็อุตส่าห์การันตีว่า
ตราบใดโครงการยังไม่เกิดก็จะให้มีทุจริตนั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน
ข้อกังวล หวั่นวิตกว่า
โครงการนี้จะเป็นโครงการถอนทุนของนักการเมืองจึงเป็นเพียงแค่
'ความรู้สึก' ของประชาชนที่ยังไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอ
และผู้เสียผลประโยชน์จากโครงการนี้เท่านั้น

ข้อ 3 รัฐบาลนี้จะจบเห่

ข้อ 1 และข้อ 2 เท่าที่จับกระแสดูคงไม่มีใครคิดจะตอบ
เพราะไม่ว่าประชาชน สื่อ นักธุรกิจ นักวิชาการ
ไม่มีใครเลยที่จะยกมือสนับสนุน ตรงกันข้ามส่วนใหญ่เชื่อว่า
เมื่อไหร่ที่รถเมล์เช่า 4 พันคันนี้ผ่าน
ครม.ก็รังแต่จะพารัฐบาลวิ่งไปพลิกคว่ำตายทั้งคณะ!

ใครที่เลือกข้อ 3 น่าจะมองช็อตต่อไปว่า รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ หลีกเลี่ยงไม่พ้นพงหนาม
ต้องเผชิญชะตากรรมเตรียมรับมหกรรมแสดงออกถึงการคัดค้านอย่างไม่เคยเกิดขึ้น
กับโครงการใหญ่แบบนี้นานแล้วหลายต่อหลายกลุ่มที่รุมเร้าเข้ามาร่วมรบกับ
รัฐบาล

อย่างน้อยในวิถีรัฐสภาตามกรอบรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการก็ไล่ตั้งแต่
กลุ่ม ส.ว.ที่จะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) ตรวจสอบต่อ และแม้แต่จะยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
หากยังดื้อดึงจะเอาโครงการนี้

นี่ไม่นับรวมองค์กรเอกชน
เครือข่ายภาคประชาชนอีกนับไม่ถ้วนที่ลงชื่อรอจองกฐินยาวเป็นหางว่าว

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

โครงการเช่ารถเมล์ 4,000
คันนี้ผุดจากความคิดตั้งขึ้นเป็นโครงการมาตั้งแต่สมัยพรรคพลังประชาชน
ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะนั้นคนที่ผลักดันก็เป็นกลุ่มนายเนวิน ชิดชอบ
และพวกซึ่งเป็นคนสนิทใกล้ชิดนายสมัครหรือรู้จักกันดีในกลุ่ม
"แก๊งออฟโฟร์" ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ขณะนั้นก็คัดค้านโครงการนี้สุด
ฤทธิ์

คนทั่วไปย่อมคาดหวังมาตรฐานจริยธรรมที่สูง
และรับไม่ได้หากพรรคประชาธิปัตย์จะกลับลำหนุนส่งโครงการที่ตัวเองสร้างความ
เข้าใจให้มวลชนว่า เป็นโครงการที่ส่อเค้าน่าสงสัย
และการที่ข้อมูลของโครงการนี้แพร่กระจายมีผู้รู้ในโครงการนี้อย่างกว้างขวาง
ขณะที่สื่อ คอลัมนิสต์ นักวิชาการ
ส.ว.พากันชำแหละตีแผ่ความไม่ชอบมาพากลออกมาเป็นระยะๆ

เมื่อประเมินแล้วใครๆ จึงพากันเข้าใจได้
(ยกเว้นรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย) ก็คือ โครงนี้ทั้งแพงเกินจริง
เชื่อได้ว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง เพราะมีข้อพิรุธให้จับผิดได้แทบทุกจุด

อาทิ ค่าตัวรถ ค่าซ่อม ตัวเลขรายได้ ผลกำไร
รวมถึงสัญญาที่ผูกพันนานเกินเหตุ รวมๆ แล้วไม่มีเหตุผลสักข้อที่พอฟังขึ้น

อุปมาเหมือนกับสินค้ามีตำหนิมาตั้งแต่ต้นแล้วพ่อค้ารายนี้ยังหน้า
ด้านจะมายัดเยียดเสนอขายในราคาแพง ...เป็นใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น!!

สมัยที่โครงการนี้เพิ่งเกิดและถูกดันเข้า ครม.สมัคร และนายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ที่ไม่เคยได้ทำงานในทำเนียบฯ ในเวลาต่อมา
เรื่องนี้พอถูกทักเข้าก็ถอยหลังใหม่
รัฐมนตรีที่รับผิดชอบก็นำกลับไปแก้ไขใหม่ ปรับลดตัวเลขให้ตัวเงินลดลง
เพื่อให้ดูว่าใช้งบประมาณน้อยลง

เดิมทีโครงการมีมูลค่าสูงมากนับแสนล้าน ปัจจุบันจึงลดลงเหลือ 67,000 ล้านบาท

ทว่า แม้เปลี่ยนเนื้อหาใหม่ แต่ไส้ในก็ยังเหมือนเดิม
ไม่ต่างอะไรเลยกับบทเพลงที่แม้แปลงเนื้อร้องใหม่แต่หากยังใช้ทำนองเดิม
ใครๆ ก็ฟังออกว่านี่คือ โครงการหวังกิน
ตะกรุมตะกรามแบบไอ้เสือเอาวาตามแบบฉบับของนักการเมืองยุคเก่า!

ทางออกโครงการนี้ในสายตาประชาชนดูตีบตันมาก
แต่สำหรับนักการเมืองยังพยายามผลักดันงัดวิชาก้นหีบทุกท่าออกมาใช้
และไม้ตายที่นิยมใช้กันคือ บีบคอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง
กรณีนี้คือ ขสมก ออกมาพูดชี้นำให้เห็นประโยชน์ของโครงการ

ดังนั้น เราจึงได้เห็นนายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานบอร์ด ขสมก.
ออกแถลงข่าวด่วนเมื่อวันจันทร์ (1 มิ.ย.) ทันที

เขาระบุว่า การจัดเช่ารถเมล์ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด
และจำเป็นต่อการฟื้นฟูสถานะของ ขสมก. ที่ขณะนี้ขาดทุนสูงกว่า 6,000
ล้านบาท และจะมีผลขาดทุนสะสมมากกว่า 100,000 ล้านบาท
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

การจัดเช่ารถทำให้องค์กรไม่ต้องแบกรับภาระค่าซ่อมบำรุง ตลอดอายุ
10 ปีของสัญญา แต่การจัดซื้อจะมีหลักประกันซ่อมบำรุงเพียง 3 ปีแรก
ขณะที่ตัวเลขที่มีการเช่ารถ 4,657 บาท/คัน/วันก็เป็นราคาที่เหมาะสม

คำพูดของประธานบอร์ด ขสมก. ก็บังเอิญไปสอดรับกับนายโสภณ ซารัมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เปิดเผยในวันเดียวกันว่า ในวันที่ 3
มิถุนายนนี้ ยังยืนยันนำเรื่องโครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน
เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตามที่ ครม.ได้เคยตั้งเวลา 2
สัปดาห์ในการทบทวนโครงการ ทั้งนี้แม้
ครม.จะไม่อนุมัติโครงการก็ยอมรับได้แต่อยากให้ทุกฝ่ายยอมรับว่า
โครงการดังกล่าวจะเป็นการช่วยฟื้นฟู ขสมก.
ที่ขณะนี้มีปัญหาหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก

สรุปเหลือเหตุผลเดียวที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้คือ ขสมก.จะขาดทุน
เงินภาษีของประชาชนจะถูกปูยี้ปูยำ นักการเมืองจะโกงจะกินก็คุ้ม? งั้นหรือ

ว่าไปแล้ว ...ละครซี่รีส์นี้เดินมาถึงฉากสำคัญ
เหตุการณ์ก็กำลังสุกงอมเพียงพอแล้วล่ะที่จะให้ผู้กำกับได้เลือกฉากจบว่าจะ
ให้เป็นอย่างไร จะจบแบบทิ้งปริศนาเอาไว้ให้คิดอีกว่า รถเมล์ 4,000
คันจะยังมีภาคต่อให้ดูอีก รอกระแสซาแล้วค่อยกลับเข้า ครม.ใหม่แบบเงียบๆ
หรือว่าจบแบบชัดเจน
ล้มเลิกโครงการแล้วหาวิธีใหม่ที่ชาติและประชาชนได้ประโยชน์

3 มิถุนายนนี้ คำตอบอยู่ที่คนชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000061517


ถ้าผมเป็นนายกฯ ในนาทีนี้
จะสั่งปลด นายปิยะพัฒน์ จำปาสุต ก่อนเลย สาเหตุเพราะให้สัมภาษณ์ในรายการ
คน คอข่าว ว่าถ้าไม่ได้รถเมล์ NGV
ใหม่ก็จะปล่อยให้ขาดทุนอยู่อย่างนี้จนถึงแสนล้าน
นายคนนี้ใช้วาจาที่ข่มขู่ สามหาว ไม่น่าเป็นผู้นำในองค์กรใดๆเลย
พูดออกมาแสดงถึงความขาดวุฒิภาวะ
แถมยังอวดอ้างว่าตนเองทำงานเก่งเต็มความสามารถ แต่ไม่ยอมมองถึงองค์กรอื่น
เช่น รถร่วม รถมินิบัส รถตู้ ฯ ว่าเขาบริหารอย่างไรถึงอยู่ได้
มีรายได้คุ้มทุน โดยที่เขาไม่ต้องเช่ารถใหม่เลย

ที่นายโสภณ ซาเล้ง อ้างว่า ปกติเราเช่ารถนำเที่ยววันละหมื่นกว่าบาท
แต่โครงการนี้เช่าได้ในราคาถูกกว่ามากนั้น อยากถามว่า
รถนำเที่ยวมีใครเช่าเป็นสิบปีบ้าง
ถ้ามีคนเช่าถึงสิบปีจริงราคาอาจะเหลือวันละสองพัน
โดยไม่ต้องจ่ายค่อซ่อมบำรุงทุกวันก็ได้

อยากให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าไป ตรวจสอบ ขส.มก. ให้ละเอียด เพราะเมื่อวันก่อน
รองบอร์ด ขส.มก. คนที่พูดไปเลียริมฝีปากไป
ตอบคำถามครั้งแรกว่าค่าซ่อมวันละพันสอง
แล้วรีบกลับคำเป็นสองพันสาม-สองพันสี่ร้อยบาทต่อคัน
ให้ผู้มีหน้าที่ช่วยตรวจสอบ การซ่อมบำรุงและการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันของ
ขส.มก.ที่ผ่านมาด้วย เพราะอาจจะถ่ายน้ำมันจริง 1 ครั้งแต่ทำเบิกจ่าย 5-10
ครั้งก็ได้ จึงกล้าใช้ข้อมูลว่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 1500 โล)
ให้ตรวจสอบการเปลี่ยนอะไหล่ และอุปกรณ์ทุกอย่าง
เพราะคิดว่าเป็นจุดที่เกิดการรั่วไหลมาก
อีกอย่าง การเบิกจ่ายน้ำมัน ให้ดูว่าใช้น้ำมันเกินจริงมากใหม
อาจจะมีการลักดูดน้ำมันออก หรือมีบิลผีมาเบิกก็ได้
ถ้าทำให้ ขส.มก.ขาดทุนมาก ก็ไม่สมควรอยู่เป็นเหลือบเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น