กรุณาส่งต่อๆกันด้วยเพื่อประเทศชาติและในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา
เมื่อวันที่20สิงหาคม2551
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัสกับคณะของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในโอกาสที่มีการเข้าเฝ้าฯ
ณพระ ตำหนักเปี่ยมสุขวังไกลกังวลอำเภอหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นสถานการณ์ เร่งด่วนที่สุดของชาติและคนไทยทั้งประเทศที่ต้องร่วมกันรับสนองกระแสพระราช ดำรัสนั้นอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
และโดยเร็วที่สุดทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัสว่า
“ขอให้ท่านทั้งหลายบริหารเงินไม่ให้หมดเพื่อให้ประเทศชาติมีเงินใช้ขอขอบคุณที่มีความตั้งใจบริหารเงินของชาติไม่ให้หมดไปให้มีใช้
ขอบ ใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงินซึ่งเป็นงานหนักและสามารถปฏิบัติงานด้านการ เงินเป็นที่เรียบร้อยไม่ให้บ้านเมืองล่มจมแม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว
ซึ่ง อาจใช้เงินไม่ระวังเพราะใช้เงินไม่ระวังเรารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อยลำบากใจ นอกจากเหน็ดเหนื่อยแล้วยังถูกหาว่าทำไม่ได้ดีทำไม่ถูกต้อง
ขอบใจทุกคนที่ มาในวันนี้และยังทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อให้ชาติบ้านเมืองมีเงินใช้ใครที่ บริหารการคลังควรรู้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญของชาติบ้านเมือง”
กระแสพระราช ดำรัสที่ได้อัญเชิญมาข้างต้นนี้มีความชัดเจนถูกตรงกับสถานการณ์บ้านเมืองที่ กำลังมีการใช้จ่ายเงินเกินตัวมีการใช้จ่ายเงินโดยไม่ระวังไม่คำนึงถึงการ บริหารการคลังซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดทรงเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่าชาติบ้าน เมืองขณะนี้
“ใกล้ล่มจมแล้วซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวังเพราะใช้เงินไม่ระวัง”
เป็น คำเตือนจากองค์พระประมุขของชาติพระมหาราชผู้เป็นเทพบิดรของชนชาวไทยทั้งผอง น้ำหนักของคำเตือนตามกระแสพระราชดำรัสนี้หนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครั้ง ที่พระราชทานกระแสพระราชดำรัสแก่คณะตุลาการ
ในครั้งนั้นทรงมีกระแสพระราช ดำรัสว่าประเทศไทยกำลังวิกฤตที่สุดในโลกจึงทรงวิงวอนขอให้ศาลช่วยแก้ไขปัญหา บ้านเมืองทรงตรัสถึง3ครั้ง3หนทำให้ศาลซึ่งทำการในพระปรมาภิไธยพระมหา กษัตริย์และเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้ามาช่วย แก้ปัญหาชาติบ้านเมืองดังที่เห็นๆ
กันอยู่มาคราวนี้น้ำหนักของคำตรัสล่วง พ้นสถานการณ์วิกฤตที่สุดในโลกมาถึงขั้นสุดท้ายแล้วคือขั้นที่ชาติใกล้จะล่ม จมแล้วทรงชี้สถานการณ์ให้ปวงพสกนิกรทั่วทั้งประเทศทุกหมู่เหล่าไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ
ทหารตำรวจพลเรือนหรือประชาชนทุกหนแห่งว่าชาติบ้านเมืองของเรา
“ใกล้ล่มจมแล้วซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวังเพราะใช้เงินไม่ระวัง”
และยังทรงเน้นว่า
“ใครที่บริหารการคลังควรรู้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญของบ้านเมือง”
กระแสพระราชดำรัสครั้งนี้ตรงกับความรู้สึกนึกคิดที่คุกรุ่นอยู่ในห้วง ดวงใจของคนไทยทั้งชาติปานประหนึ่งว่าทรงสถิตอยู่ในกลางใจของปวงชนทรงรู้ แจ้งกระจ่างถึงความรู้สึกนึกคิดของปวงชนชาวไทยในขณะนี้
กระแสพระราชดำรัส คราวนี้ตรงกับสถานการณ์ของบ้านเมืองที่เป็นไปในขณะนี้และเป็นคำเตือนครั้ง สำคัญที่สุดในรัชกาลว่าประเทศชาติใกล้ล่มจมแล้ว
ดังนั้นประชาชนชาวไทย ทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทหารตำรวจพลเรือนหรือประชาชนทุกชนชาติทุกศาสนา ทุกถิ่นที่จึงต้องตระหนักให้แน่วแน่ถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองที่ใกล้ล่มจม แล้วลองใคร่ครวญดูเถิดว่าทรงมีความทุกข์ในพระราชหฤทัยสักเพียงไหน!
สถานการณ์ที่ชาติใกล้จะล่มจมย่อมส่งผลกระทบกับทุกผู้คนในราชอาณาจักร แห่งนี้ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องไม่เพิกเฉยหรือละเลย ปล่อยให้ชาติต้องล่มจมจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของ ชาติเพื่อกอบกู้ชาติบ้านเมืองไม่ให้ล่มจมเพื่อสนองกระแสพระราชดำรัส
เพื่อพิทักษ์รักษาชาติบ้านเมืองเพื่อตอบแทนคุณบรรพบุรุษไทยและเพื่ออนาคตของตนเองและบุตรหลานสืบไปแล้วใครเล่าที่ทำให้ชาติล่มจม?
ก็เป็นที่แน่นอนว่าคนที่มีอำนาจใช้จ่ายเงินแผ่นดินหรือที่ทรงใช้คำว่า
“ผู้บริหารการคลัง”
ซึ่งก็คือรัฐบาลนั่นแหละที่เป็นต้นตอตัวการทำให้ชาติใกล้ล่มจมและหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปชาติก็ต้องล่มจมแน่
ดังนั้นจึงต้องกำจัดเหตุที่ทำให้ชาติล่มจมตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่าเมื่อจะดับผลอันใด
ก็ต้องกำจัดเหตุหรือดับเหตุที่ทำให้เกิดผลอันนั้นมื่อเหตุดับผลก็ดับ
นั่นคือเมื่อกำจัดรัฐบาลที่เป็นต้นตอตัวการทำให้ชาติล่มจมได้สำเร็จก็จะสามารถหยุดยั้งไม่ให้ชาติล่มจมได้
นี่คือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ที่มีเกียรติยศยิ่งของทหารตำรวจพลเรือน
และ ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศเพราะนอกจากจะเป็นการกู้ชาติแล้วยังเป็นการสนอง กระแสรับสั่งด้วยความจงรักภักดีเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านอย่างสมบูรณ์ อีกด้วย
การใช้จ่ายเงินให้หมดไปโดยไม่ระวังมีอะไรบ้าง?
เมื่อได้ตรวจดูการผลักดันใช้จ่ายเงินของรัฐบาลที่มีลักษณะล้างบ้านผลาญเมืองขนาดใหญ่และสำคัญๆ
ก็สามารถประมวลได้ในเบื้องต้นดังนี้
โครงการที่หนึ่ง
คือ โครงการประชานิยมที่ใช้จ่ายเงินงบประมาณถึง46,000ล้านบาทไปหว่านละลายแม่น้ำ เพื่อหาเสียงทางการเมืองโดยไม่สร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ที่ถาวรใดๆ
แก่ชาติและประชาชนเลย
โครงการที่สอง
คือโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ที่กระเหี้ยนกระหือรือเร่งรัดผลักดันกันโดยที่ยังไม่มีโครงการไม่มีแบบแผนการก่อสร้าง
และไม่ได้ตั้งงบประมาณเอาไว้เลยแต่กลับเร่งรัดจะเริ่มทำให้ได้ในปีนี้
ด้วยวงเงินงบประมาณถึง30,000ล้านบาททั้งๆที่รัฐสภาเดิมก็มีความสมบูรณ์พร้อมและใช้การได้ดีอยู่แล้ว
โครงการที่สาม
คือโครงการเช่ารถบัสใช้ก๊าซเอ็นจีวีจำนวน6,000คันซึ่งใช้เงินงบประมาณถึง110,000ล้านบาท
ทั้งๆ ที่กำลังมีโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่ถึง9สายและทั้งๆที่ปริมาณรถของขสมก.ก็มี มากพออยู่แล้วหรือหากจะใช้กันจริงๆก็สามารถซื้อได้ในราคาเพียง24,000ล้านบาท เท่านั้นแต่กลับทำโครงการที่ต้องใช้จ่ายเงินมากกว่าราคาซื้อถึง
86,000ล้านบาทเป็นการล้างผลาญชาติบ้านเมืองที่หน้าด้านที่สุด
โครงการที่สี่
คือโครงการผันน้ำจากเขื่อนน้ำงึมของประเทศลาวผ่านอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังภาคอีสานของประเทศไทย
ด้วยวงเงินถึง120,000ล้านบาท
ทั้งๆที่ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนน้ำ
หากยังมีภาวะน้ำท่วมที่รุนแรงทุกปีทั้งภาคอีสานภาคกลางและกรุงเทพฯความจำเป็นจริงๆ
คือการขุดลอกหรือสร้างแหล่งน้ำเพื่อเก็บน้ำในฤดูฝนให้เพียงพอที่จะใช้สอยในฤดูแล้งต่างหาก
ซึ่งใช้เงินราว20,000ล้านบาทก็เหลือจะพอ
โครงการที่ห้า
คือโครงการสร้างทางหลวงพิเศษซึ่งวางแผนใช้เงินงบประมาณถึง170,000ล้านบาท
โดย ไม่จำเป็นและแพงเกินจริงมหาศาลและยังเป็นการเพิ่มรายจ่ายด้านพลังงานให้กับ ประเทศชาติขึ้นอีกมากมายทั้งๆที่ยังมีโครงการรถไฟรางคู่ซึ่งเคยมีแผนที่จะ ให้ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหลักทางบกอยู่แล้วและใช้เงินเพียงไม่เกิน
70,000ล้านบาทหรืออาจไม่ต้องใช้เงินเลยหากคิดอ่านให้สัมปทานที่เป็นธรรมแก่ชาติบ้านเมือง
โครงการที่หก
คือโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟสที่สองซึ่งต้องใช้เงินประมาณ70,000ล้านบาท
ทั้งๆที่สนามบินสุวรรณภูมิปัจจุบันก็ยังมีพื้นที่กว้างขวางเป็นแต่มีการบริหารจัดการที่ห่วยแตก
และ ยังโกงกันไม่เลิกนอกจากนี้ยังมีสนามบินดอนเมืองที่เคยเป็นสนามบินนานาชาติ ของประเทศซึ่งปล่อยให้ทิ้งร้างว่างเปล่าอยู่เฉยๆหากจำเป็นก็สามารถปรับปรุง ใช้ได้
โดยใช้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โครงการที่เจ็ด
คือโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินที่มีแผนงานจะสร้างถึง9สายและต้องใช้เงินกว่า400,000ล้านบาท
ขณะนี้ได้ใช้เล่ห์กลหลอกลวงให้ผู้คนไปหลงสาละวนอยู่กับการทะเลาะเบาะแว้งกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แต่แอบผลักดันเรียบร้อยไปแล้ว1สายคือสายสีแดงและกำลังจะเร่งรัดผลักดันอีก3สายในเร็ววันนี้
ซึ่งเป็นการก่อหนี้มหาศาลโดยมิได้คำนึงถึงฐานะการเงินการคลังของประเทศเลย
โครงการที่แปด
คือโครงการสารเลวจิปาถะโดยแฝงไว้ในงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนเงินกว่า200,000ล้านบาท
เพื่อใช้ในการซื้อเสียงตามนโยบายประชานิยมที่ไร้แก่นสารกระทั่งเอาเงินไปแจกส.ส.คนละ60ล้านบาท
ภาย ใต้ชื่อว่า งบ ส.ส. ทั้งๆที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและยังแฝงอยู่ในงบกลางที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจใช้ จ่ายเงินโดยไม่มีโครงการใดๆรองรับอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ชาติบ้านเมือง ก็ต้องล่มจมเงินกำลังหมดจากคลังแผ่นดินจึงดิ้นรนที่จะเอาเงินในคลังหลวงมา เล่นแร่แปรธาตุล้างผลาญกันอย่างสนุกสนานต่อไปภายใต้โครงการจัดตั้งกองทุน มั่งคั่งแล้วเอาเงินจากคลังหลวงโอนมาเข้ากองทุนนี้จากนั้นก็นำไปลงทุนเล่น หุ้นเก็งกำไรและเล่นแร่แปรธาตุฉ้อฉลปล้นชาติไม่ให้เหลือหรอแม้แต่นิดเดียว
นี่ คือภยันตรายที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทยมีผลกระทบอย่างใหญ่ หลวงต่อคนไทยทั้งประเทศเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าการเสียกรุง ศรีอยุธยาทั้งสองครั้งรวมกันเสียอีก
เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าฯที่ทรงเตือนคนไทยให้ตื่นรู้มหันตภัยอย่างทันท่วงทีในคราวนี้
ขอจงทรงพระเจริญ
ขอจงทรงพระเจริญ
ขอจงทรงพระเจริญ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น