++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

“พิภพ”ชูพระราชดำรัส จี้ต่อมสำนึกรัฐบาล เลิกผลาญเงินชาติก่อนจะหายนะ

   วันนี้( 21 ส.ค.) เมื่อเวลา 21.22น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ สะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่า เชื่อว่านายเตช บุญนาค รมว.ต่างประเทศ เป็นคนดี เคยเป้นรุ่นน้องเป็นปลัดกระทรวงที่ดี แต่วันนี้ต้องมาเป็นนายของตัวเองที่กระทรวงต่างประเทศต้องมีมิติและความคิดท ี่จะต้องรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซี่งเชื่อว่านายเตชมีเต็มเปี่ยม แต่ปัญหาคือการที่ต้องมาอยู่ภายใต้นายที่ไม่ดีอย่างนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่เป็นนอมินีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อันนี้จะเป็นปัญหาของท่าน
      
       นายพิภพ ได้กล่าวย้ำข้อเตือนที่พันธมิตรฯได้เคลื่อนขบวนไปที่กระทรวงการต่างประเทศเม ื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา คือ อย่าทำตัวเหมือนเป็นทนายหน้าหอให้กับพ.ต.ท.ทักษิณเหมือนนายนพดล ปัทมะ และอย่าอ่อนข้อกับกัมพูชา ซึ่งมีเล่ห์เหลี่ยมจะเอาเขาพระวิหารไม่พอจะเอาปราสาทตาเมือนธมอีก
      
       ทั้งนี้นายพิภพ ได้กล่าวถึงกระแสพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมีกับคณะผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และคณะกรรมการบริหารสมาคมธนาคารไทยเมื่อวานนี้(20 ส.ค.) ว่า ทำให้เราต้องเกิดความสำนึกว่าจะทำอะไรเพื่อสนองพระราชดำรัส เมื่อก่อน 19 ก.ย.49 ระหว่างที่เราชุมนุมไปถึงจุดที่พ.ต.ท.ทักษิณโงนเงนแล้ว ก็ทรงมีพระราชดำรัสว่าประเทศชาติกำลังประสบปัญหามากที่สุดในโลก และพระองค์ทรงชี้แนะให้ตุลาการมาแก้ไขปัญหานี้ แล้วปรากฏว่าตุลาการ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลฎีกา ก็รับสนองพระบรมราชโองการประชุมประมุขศาลทั้งหมด แล้วผลตุลาการภิวัตน์ก็คือวันนี้มีคดีที่ตัดสินไปแล้วหนึ่งคดี พันธมิตรฯ ก็สนองพระราชดำรัสอย่างเต็มที่ ช่วยทำให้เกิดงานและตุลาการมั่นใจ รวมทั้งคตส.มั่นใจที่จะหาข้อมูลส่งอัยการและศาล ก็ได้ผลเห็นทันตาจนสองคนนั้นต้องหนีไปต่างประเทศ
      
       “อำนาจตุลาการเมื่อถูกใช้เพื่อแก้ปัญหาที่หนักที่สุดในโลกของประเทศไ ทย ก็จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสามารถเดินไปได้ ทำให้อำนาจตุลาการเป็นตัวของตัวเองและตรวจสอบสองอำนาจที่ฮั้วกันได้ คืออำนาจบริหารและนิติบัญญัติ โจทย์ของเราพันธมิตรฯและสังคมไทยคือต้องทำให้สองอำนาจนี้ฮั้วกันไม่ได้” นายพิภพ กล่าว
      
       นายพิภพ กล่าวต่อว่า ผลของการฮั๊วทำให้มีการใช้เงินงบประมาณอย่างมากมาย แล้วพยายามทำให้งบประมาณเหลือเศษ3หมื่นล้านบาท ไปขับไล่ร.ร.โยธินบูรณะและชุมนุมเกียกกายออกไป ทั้งๆที่ประเทศก็เป็นหนี้เป็นสิน เศรษฐกิจก็ตก
      
       ทั้งนี้ นายพิภพ ได้อัญเชิญพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตอนหนึ่งความว่า
       “..ขอให้ท่านทั้งหลายบริหารเงินไม่ให้หมด เพื่อให้ประเทศชาติมีเงินใช้ ขอขอบคุณที่มีความตั้งใจบริหารเงินของชาติไม่ให้หมดไป ให้มีใช้
       ขอบใจที่เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเงิน ซึ่งเป็นงานหนัก และสามารถปฏิบัติงานด้านการเงินเป็นที่เรียบร้อยไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้ว ซึ่งอาจใช้เงินไม่ระวัง เพราะใช้เงินไม่ระวัง..”
      
       จากนั้น นายพิภพ ได้ระบุว่า เหตุที่อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสตอนนี้มา ก็เพื่อจะบอกว่า ที่เราจะไปร.ร.โยธินฯ วันจันทร์นี้(25ส.ค.) ก็เพื่อชี้ประเด็นนี้ให้เห็นว่า คุณฮั๊วงบประมาณแผ่นดิน พยายามจัดงบฯให้เหลือเศษ 3หมื่นล้านบาท แทนที่จะเก็บเศษเหลือนี้ถนอนไว้ใช้ต่อไป กลับไปพยายามไล่เด็กนักเรียน และชุมนุมเกียกกายออกไปโดยไม่จำเป็นต้องสร้างรัฐสภาใหม่ นี่เป็นการใช้เงินอย่างไม่ระมัดระวัง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ชาติล่มจมได้
      
       นายพิภพ ยังได้ยกตัวอย่างเมื่อครั้งรัชกาลที่ 3 ที่มีการใช้เงินอย่างระมัดระวังและมีเงินถุงแดงที่ส่งต่อมาจนถึงรัชกาลที่ 5 และเป็นเหตุให้เราสามารถรักษาแผ่นดินไว้ได้เมื่อครั้งที่ตะวันตกมารุกราน ฉะนั้นวันนี้เราจะต้องออกมาดำเนินตามแนวพระราชดำรัส ซึ่งทรงมีผ่านคณะผู้ดูแลเงินคือคณะผู้ว่าธปท. ถ้าคณะผู้ว่าธปท.ดำเนินตามพระราชดำรัส ก็อาจไม่มีพลังพอจะไปขวางการดำเนินงานและโปรเจคใหญ่ๆของรัฐบาล พลังฝ่ายพันธมิตรฯจะต้องรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนแนวพระราชดำรัสนี้อีกครั้งแล ะเพื่อให้ผู้ว่าธปท.มีกำลังใจและพลังงานที่จะไม่ให้รัฐบาลใช้เงินอย่างไม่ระ วัง แต่ตราบใดที่รัฐบาลนี้ยังอยู่ เราเชื่อไม่ได้ว่าเขาจะใช้เงินอย่างระวัง
      
       “ดูอย่างโครงการประชานิยม แทนที่จะคิดอ่านโครงการใหม่ที่ทำให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้อย่างยั่งยืนทดแทน กลับใช้โครงการประชานิยมโปรยไปแล้วก้หายไป แล้วประชาชนก้ได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่สุดท้ายก็อยู่ในสภาพไม่มีงานทำ ที่มีงานก็มีรายได้น้อย อย่างนี้เรียกว่าใช้เงินประชานิยมเพื่อการหาเสียงและไม่ระวัง การใช้เงินในการสร้างรัฐสภาใหม่ 3หมื่นล้านบาท เป็นตัวอย่างความไม่จำเป็นและไม่เหมาะสม ในยุคที่เศรษฐกิจกำลังมีปัญหา เอาเงินนี้ไปสร้างงานให้ประชาชนยังดีกว่า”นายพิภพ กล่าว
      
       อย่างไรก็ตาม นายพิภพ ยังได้ยกตัวอย่างนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลนี้เตรียมจะดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นแถมยังมีโครงการเช่ารถเมล์ 6พันคัน ที่ใช้งบประมาณถึง 1.1แสนล้านบาท นี่ก็มีเหตุให้สงสัยว่าจะใช้เงินอย่างไม่ระมัดระวังและจะเกิดกำไรจากการซื้อ รถชุดนี้เข้ากระเป๋านักการเมือง นอกจากนั้นยังมีโครงการดึงน้ำจากเขื่อนน้ำงึม โครงการทางหลวงพิเศษประมาณ 1.7แสนล้านบาท แต่การเปลี่ยนรถไฟรางคู่แทนที่จะทำให้ประหยัดงบประมาณได้มากกลับไม่ทำ การขยายสนามบินสุวรรณภูมิ ฯลฯ
      
       นายพิภพ กล่าวต่อว่า ฉะนั้นวันนี้หน้าที่ของเรา จะต้องทำว่ารัฐบาลนี้ใข้เงินอย่างระมัดระวังอย่างไร ไม่ใช่ไม่ต้องการให้รัฐบาลพัฒนาประเทศ แต่งานพัฒนาประเทศประชาชนจะต้องตรวจสอบได้ และไม่มีข้อสงสัยว่าจะมีเงินใต้โต๊ะและเป็นโครงการที่เหมาะสมกับระบบเศรษฐกิ จและใช้เงินอย่างระมัดระวัง เช่นต้องเปิดเผยข้อมูลโครงการที่งบประมาณเกิน 5,000ล้านบาท อย่างกว้างขวาง ให้ประชาชนตรวจสอบได้ รวมทั้งมีการควบคุมงานประมูลที่โปร่งใส ซึ่งต้องถามว่ารัฐบาลนี้จะทำไหม นอกจากนั้น ยังจะมีโครงการและงบประมาณตามร่างกฎหมายงบฯสำหรับโครงการที่ไม่จำเป็นหรือไม ่สุจริตหรือเป็นไปเพื่อหาเสียงทางการเมือง รวมทั้งต้องยกเลิกงบส.ส.คนละ 60ล้านบาททันทีด้วย
      
       นายพิภพ กล่าวอีกว่า พระราชดำรัสทำให้เรามีข้อคิดและมองเห็นประเด็นที่รัฐบาลกำลังดำเนินงานใช้เง ินอย่างฟุ่มเฟือยและไม่ระมัดระวังซึ่งอาจจะทำให้ชาติใกล้ล่มจมได้ ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของเราชาวไทยที่จะต้องสนองพระราชดำรัส จะต้องจัดการรัฐบาลชุดนี้ไม่ให้ใช้เงินจนชาติจะล่มจม ทางเดียวก็คือ พูดยังไงไม่ฟังก็ต้องไล่ท่าเดียว
      
       ทั้งนี้ นายพิภพ ได้กล่าวถึงกรณีร.ร.โยธินฯ เพิ่มเติมว่า การกระทำของโรงเรียนที่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของนักเรียนคือใช้อำนาจนิยม ต้องถามโรงเรียนว่าจะมีนโยบายอย่างไร จะฝึกเด็กให้ชินกับอำนาจนิยมหรือให้ชินกับระบอบประชาธิปไตยที่มีการตรวจสอบแ ละมีกระบวนการการมีส่วนร่วม ไมว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มิฉะนั้น ถ้าโรงเรียนทั่วประเทศใช้วิธีการจัดความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็กแบบอำนาจน ิยม เราจะไปหวังให้เด็กที่เติบโตมาแบบนี้ออกมาเป็นนักประชาธิปไตยที่กระตือรือร้ นได้อย่างไร ในเมื่อกระบวนการเรียนการสอนมันนำไปสู่การเชื่อฟังผู้ใหญ่ การเชื่ออำนาจของผู้อำนวยการ การเชื่ออำนาจของนายกฯ การเชื่ออำนาจสั่งการของประธานสภาฯ เด็กซึ่งพยายามจะแหวกจากการใช้อำนาจนิยมของผู้ใหญ่ก็จะตั้งคำถามกับตัวเองว่ าระบอบประชาธิปไตยดีจริงหรือ หรืออำนาจนิยมดีกว่า นี่คือการสร้างคุณค่าผิดๆให้กับเด็กแทนที่จะส่งเสริมกระบวนการรับฟังความคิด เห็น เกิดการไดอะล็อค ถกเถียงกัน
      
       นอกจากนั้นนายพิภพ ยังได้กล่าวย้ำด้วยว่า การตีเด็กนักเรียนนั้น นอกจากจะเป็นการใช้อำนาจนิยมแล้วยังใช้ความรุนแรงด้วย ซึ่งในทางจิตวิทยาสมัยใหม่วิเคราะห์แล้วว่าจะมีผลเสียมากกว่าดี เพราะการตีของครูเกิดจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล และถ้าเด็กที่ถูกตีรู้สึกไม่ผิดจะกลายเป็นปมที่เกลียดผู้ใหญ่ต่อไป ครูควรจะใช้วิธีพูดคุยกันด้วยเหตุผล ว่าการขาดเรียนไปประท้วงที่รัฐสภาถูกผิดอย่างไร ที่สำคัญกระทรวงศึกษาได้ออกระเบียบมานานแล้วว่าห้ามตีเด็กเด็ดขาด แล้วเรื่องนี้รมว.ศึกษาธิการจะว่ายังไง
      
       นายพิภพ กล่าวต่อว่า เด็กที่ร้องเรียนมาที่พันธมิตรฯเมื่อวานนั้น เขาต้องการข้อมูลเหตุผล แต่ไม่ใช่ไปปิดบังข้อมูลแล้วบอกเด็กว่าไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น จริงอยู่เด็กอยู่ 6ปีแล้วก็ไป แต่ชุมนุมเกียกกายล่ะเขาอยู่กันมานานแล้ว โรงเรียนก็ต้องไปอยู่ที่บริเวณที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปหมด ไม่ปลอดภัย มียาเสพติด มีที่เผาศพ รัฐบาลและรัฐสภายังละเลยไม่ให้ทำศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม อยู่ดีๆก็ให้เซ็นเอ็มโอยู ให้ผ.อ.ต้องยอมรับว่าย้ายโรงเรียนโดยไม่ถามความเห็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น