++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2548

อบเชย...ที่ไม่เชยอย่างว่า

โดย พัชรา อร่ามศรี
29 กรกฎาคม 2547 10:15 น.
คุณมะปราง ภาวดี วิเชียรรัตน์ คู่หูซึ่งจัดรายการสภาพสุข สุขภาพ อยู่ด้วยกัน หยิบยกเอาเรื่องสรรพคุณใหม่ล่าสุดของ "อบเชย" หรือที่เธอเรียกติดปากว่า "cinnamon" ที่มีการวิจัยกัน มาพูดในรายการเมื่อหลายวันก่อน ตั้งแต่นั้น คำถามที่มีเข้ามาในรายการแทบจะทุกวัน ก็คือ อบเชยมีประโยชน์ยังไงนะคะ?? กินยังไงดีครับ?? จดไม่ทันค่ะ ขออีกทีนะคะ!!

วันนี้ก็เลยเขียนลงคอลัมน์ซะเลย

สรรพคุณของ อบเชย แต่โบร่ำโบราณนั้นมีดังนี้ค่ะ

ส่วน ของเปลือกต้น มีรสหวานหอม ใช้ปรุงเป็นเครื่องเทศ ใช้ปรุงเป็นยาหอม ยานัตถุ์ ช่วยทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย แก้ปวดศีรษะ ขับลม แก้จุกเสียดแน่นท้อง น้ำมันที่กลั่นได้จากเปลือกใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรคและกันบูด

ส่วนรากและใบ ใช้ต้มดื่มแก้ไข้จากการอักเสบหลังคลอด

ที่ทันสมัยขึ้นมาหน่อย ก็บอกว่าอบเชยนั้นต้านมะเร็งได้ดี เพราะมีสารกลีเซอรีนเข้มข้น เป็นสารต้านแบคทีเรีย รักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้อาการท้องร่วง ขับปัสสาวะ สามารถช่วยเร่งปฏิกิริยาย่อยสลายไขมัน นอกจากนี้นักวิจัยญี่ปุ่นยังพบว่าอบเชยสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้

วิธี ใช้ก็คือ ซื้อผงอบเชยที่มีขายตามซูเปอร์มาเกต หรือจะซื้อที่เป็นแท่งมาบดเองก็ได้ ใช้ผงอบเชยหนัก 1 กรัม ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ ดื่มเช้า เย็น ก่อนอาหาร

แต่สรรพคุณของอบเชยที่จะกล่าวถึงในวันนี้ ก็คือ อบเชย ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งน่าจะเป็นข่าวดีของผู้ป่วยเบาหวานค่ะ

เว็บไซต์ด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ Newscientist.com ได้รายงานข่าวใหม่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง ว่าด้วยผลดีจากการกินอบเชย ว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ในข่าวเผยว่าการโรยผงอบเชยเพียงวันละ 1/4 ถึงครึ่งช้อนชาในอาหาร หรือจุ่มก้านอบเชยลงในชาหรือกาแฟ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมชวนดื่มนั้น จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีปัญหาเป็นเบาหวานอยู่หรือไม่ก็ตาม

การค้นพบนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ โดยริชาร์ด แอนเดอร์สัน จากศูนย์วิจัยด้านสารอาหารเพื่อมวลมนุษย์ ของกระทรวงเกษตรกรรมแห่งสหรัฐอเมริกา ที่เมืองเบลท์สวิลล์ รัฐแมรี่แลนด์ ที่กำลังวิจัยเรื่องผลของอาหารที่มีต่อระดับน้ำตาลในเลือด โดยเลือกเอาพายแอปเปิ้ล ซึ่งเป็นอาหารจานโปรดของคนอเมริกัน ซึ่งปกติแล้วจะมีการโรยผงอบเชยเพื่อเพิ่มความหอมอร่อย มาเป็นตัวอย่างในการวิจัย
ปกติเมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลและแป้งในอาหาร จะแตกตัวกลายเป็นกลูโคส และเข้าไปหมุนเวียนในระบบเลือด ซึ่งฮอร์โมนอินซูลินจะไปทำให้เซลล์ของร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้เป็นพลังงาน หรือเปลี่ยนให้กลายเป็นไขมัน ซึ่งในคนที่เป็นเบาหวานก็จะไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ หรือผลิตได้ แต่ร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้ รวมทั้งในคนที่ไม่ได้เป็นเบาหวานแต่มีน้ำหนักตัวมาก ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็มักจะมีกลูโคสในเลือดมาก ซึ่งถ้ามีมากติดต่อกันนาน ๆ ก็อาจมีผลต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น ตา ไต ประสาท ฯลฯ ได้

เมื่อแยกธาตุของอบเชยออกมา พบว่ามีสารประกอบโพลีฟีนอลชนิดละลายน้ำได้ตัวหนึ่ง เรียกว่า MHCP เมื่อทดสอบในหลอดทดลองพบว่า MHCP นี้ทำหน้าที่เลียนแบบฮอร์โมนอินซูลิน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกับอินซูลินในเซลล์มากขึ้น

ทีมงานของแอนเดอร์สันได้ทำการศึกษากับอาสาสมัครชาวปากีสถานที่ป่วย เป็นเบาหวาน โดยให้กินผงอบเชยบรรจุแคปซูล ขนาด 1, 3 และ 6 กรัมต่อวัน หลังอาหาร ผลที่ปรากฏในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา พบว่าคนกลุ่มนี้มีระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยต่ำกว่าคนในกลุ่มควบคุมซึ่งไม่ ได้กินอบเชย ประมาณ 20% บางคนถึงกับมีระดับน้ำตาลลดลงมาเป็นปกติ ซึ่งหากหยุดกินอบเชย ก็พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะกลับสูงขึ้นมาเหมือนเดิม

นอกจากนี้อบเชยยังช่วยเสริมการทำงานของอินซูลิน ในเรื่องการควบคุมระดับไขมันในเลือดและคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ให้มีระดับต่ำลง และผลที่ได้จากหลอดทดลองยังพบว่ามันช่วยทำลายอนุมูลอิสระ ที่มักจะเพิ่มจำนวนขึ้นในคนที่เป็นเบาหวานให้ลดลงด้วย

มี ข้อควรระวังเล็กน้อย ก็คือ งดใช้ในเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 2 ขวบ ผู้ที่มีปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัด เป็นโรคริดสีดวง อุจจาระแห้งแข็ง และหญิงมีครรภ์ ไม่ควรกินอบเชย และห้ามกินน้ำมันอบเชย เพราะจะเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และเป็นอันตรายต่อไตได้ น้ำมันอบเชยนั้น เขาไว้ใช้แต่งกลิ่นสบู่ ใช้เป็นส่วนผสมในยาทาถูนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยค่ะ

คนไทยคุ้นเคยกลิ่นอบเชยในน้ำพะโล้อยู่แล้ว หรือจะลองหาผงอบเชยมาเหยาะในอาหารหรือเครื่องดื่มในแต่ละวันดูบ้างก็ได้ อย่างเช่น ชา กาแฟ น้ำผลไม้ หรือแซนด์วิช ก็ไม่เลวนะคะ แล้วแต่จะดัดแปลง สูตรใครสูตรมันค่ะ

อย่างไรก็ตาม ย้ำกันอีกครั้ง เหมือนที่เราย้ำกันบ่อยๆ ในรายการว่า อะไรที่น้อยเกินไปก็ไม่ดี มากเกินไปก็ไม่ดี ดังนั้นกินเป็นส่วนปรุงในอาหารน่าจะดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน อบเชยอาจเป็นทางเลือกเสริม แต่ไม่ใช่ยารักษานะคะ การใช้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น