++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

ฝันกลางวัน




               "จิต...ผมรู้สึกสบายใจจังเลยที่ได้นั่งอยู่เคียงคุณบนสนามฟุตบอลนี้"ชายหนุ่มเอ่ยปากพูดกับหญิงสาวผมยาวเคลียไหล่ พร้อมกับเอื้อมมือจับผมยาวสลวยของเธอ มันช่างหอมอะไรเช่นนั้นเขาคิดและคิดต่อไปว่าเขาช่างโชคดีจังเลยที่กุมหัวใจของสาวสวยที่นั่งอยู่ต่อหน้าคนนี้ได้
               เธอช่างแสนอารมณ์ดีใจเย็น มีความสุขสงบเป็นอารมณ์ มองโลกในแง่ดีเสมอ อยู่ด้วยแล้วมีความสุข
                หญิงสาวหัวเราะร่วนเสียงอยู่ในลำคอ ด้วยความสุขไม่แพ้กัน แก้มสุกปลั่งไปด้วยเลือดฝาดสะท้อนกับผิวขาวของเธอให้ดูเปล่งปลั่่งขึ้น ตากลมโต ยิ้มเบิกบาน ฟันขาวสวย
               เธอพยักหน้าให้ชายหนุ่ม แล้วหันหน้าไปทางสนามฟุตบอล
               " ผมอยากมีครอบครัวกับคุณนะจ๊ะ ถ้าผมพร้อม เพียงแต่เรายังเรียนปีสุดท้ายอยู่ในมหาลัย จบแล้วค่อยคุยกัน แต่ผมรักคุณนะ และผมเชื่อว่าเราจะมีครอบครัวที่่น่ารักที่สุดในโลกเลย เพราะเรามีความรู้สึกที่ดีให้กันและกัน แม้เราจะไม่ค่อยพูดเรื่องนี้ก็ตาม
                แต่...........................ผมรักคุณที่สุดในโลกเลย"
               "สิบเอ็ดคน" หญิงสาวพูดเสียงใส
               "อะไรกันนะจ๊ะสิบเอ็ดคนน่ะ"
               "ลูกไงคะ สิบเอ็ดคน"
               ชายหนุ่มตาโตหันไปมองหน้าหญิงคนรักที่ตาโตคู่สวยมองจ้องอยู่ แล้วเธอก็หันหน้าหนีด้วยความอาย
               หัวเราะร่วนเสียงอยู่ในลำคออีก จนท้องกระเพื่อม แล้วพูดว่า
               "ก็ที่บ้านจิตเป็นฟาร์มหมูนี่คะ"
               "จ้ะ"ชายหนุ่มรับปาก แล้วก็หัวเราะ "สงสัยเราจะมีทีมฟุตบอลของเราเอง"ชายหนุ่มพูดต่อ
               "จริงๆนะวิทย์"
               "จ้ะ"

                 ..................................................

                " พี่วิชาคะ พี่เป็นสามีที่ดีที่สุดในโลกเลยรู้ไหม เป็นสามีในฝันที่เรย์อยากได้มาทั้งชีวิต"
                หญิงสาวกล่าวกับชายหนุ่มภายหลังรับช่อกุหลาบและกำไรทองข้อมือเป็นของขวัญวันเกิด
                มีเค้กชิ้นเล็กๆปักเทียนหนึ่งเล่มรอให้เธอเป่า เธอแทบจะกระโดดสวมกอดสามีด้วยความรักหวานซึ้ง หัวใจเธอวาบหวาม ทำให้ดวงตาเธอมีประกายสดใสใจสะท้อนความยินดี
                ภายหลังทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมากว่าสามปีและความรักยังคงผลิดอกออกผลอย่างสวยงาม ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม

                ..................................................

                "คุณปรีชา คุณเป็นคนมีความสามารถสูงมากเก่งในทุกๆเรื่อง ผมยินดีที่คุณจะมาร่วมงานกับเรา และทำให้องค์กรของผมเติบโต แข็งแรงเป็นระบบ แม้ตอนนี้เราจะอ่ออนแอ
                 หนี้สินมากไปหน่อย แต่ถ้ามีคุณมาช่วยผมเชื่อว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ซึ่งเราเคยเห็นฝีมือกันมาบ้างแล้ว แสดงฝีมือให้เต็มที่ อยากได้อะไรให้บอกผมยินดี ผมให้เงินเดือนคุณห้าเท่าจากที่เดิม โบนัสรับประกันสี่เดือนทุกปี รถประจำตำแหน่งหนึ่งคัน
                  คุณไปเลือกเอาเองจะใช้อะไรผมยินดี ผมผ่อนให้ ค่าใช้จ่ายรับรองลูกค้าแล้วแต่คุณ แต่..............ตอนนี้องค์กรของผมยังขาดสภาพคล่องอยู่ รอคุณมาช่วยนี่แหละ"

                  ....................................................

                 ในสามเรื่องสามเหตุการณ์ข้างต้น ตอนจบมันเป็นอย่างนี้

                  สิบปีให้หลัง วิทย์ไปงานแต่งงานของจิต โดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าบ่าวและจิตไม่ได้เป็นเจ้าสาวของวิทย์ ภายหลังจากจบการศึกษา วิทย์ล้มป่วยด้วยโรคกระเพาะขั้นรุนแรงต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งตามลำพัง
                   ส่วนจิตคุณแม่เสียต้องกลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อไปร่วมงานศพและดูแลกิจการในเบื้องต้นแทนคุณแม่
                   เขาและเธอต่างถามใจตัวเองว่าคนรักหายไปไหน ติดต่อกันไม่ได้ จิตแต่งงานกับเพื่อนของวิทย์ที่คอยพะเน้าพะนอเอาใจตามรับตามส่งกันทุกวัน
                   มีลูกด้วยกันคนหนึ่ง แล้วก็เลิกร้างกันไป
                   ส่วนวิทย์แต่งงานกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งและก็มีลูกด้วยกันหนึ่งคน อยู่กันอย่างมีความสุข เพราะวิทย์เป็นคนรักใครรักจริง
                   ทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งในงานศพของเพื่อนคนหนึ่งที่ตายจากไปก่อนวัยอันควร
                   "เสียใจด้วยนะจ๊ะเรื่องชีวิตคู่ที่ล้มเหลว แต่ดีใจนะที่จิตมองหน้าผม ไม่เหมือนตอนงานแต่งงานของคุณ ที่เอาแต่มองหัวแม่เท้าสวยๆของคุณ
                    ผมจึงกล้าคุยกับคุณวันนี้ไง และขอโทษที่ดันป่วยแล้วลืมคุณอย่างไม่ตั้งใจ ดีใจที่คุณฝึกสมถะทำให้จิตของคุณสงบ"
                   "จิตก็เสียใจ ที่ปล่อยให้อารมณ์เหงาครอบครองแล้วแต่งงานหนีคุณไป และไม่เข้าใจว่าคุณหายไปไหน พอดีคณแม่เสียแล้วนึกว่าคุณทิ้งจิต
                    เบลอไปพักหนึ่ง ตอนนี้เข้าใจหมดแล้ว ขอบคุณสำหรับหนังสือการฝึกสมาธิ เรียกสติกลับมาได้เกือบหมดแล้ว เสียดายที่งานแต่งงานไม่ใช่คุณ"
                    "ใครบอกล่ะว่าไม่ใช่ เรามีลูกกันสองคนแล้ว แต่ขาดอีกเก้าคนต่างหาก"
                     หญิงสาวโผร่ำไห้ซบอกชายหนุ่ม สะอื้นอย่างเสียใจ ชายหนุ่มได้แต่ปลอบโยนอย่างเข้าใจแล้วพูดว่า
                     "ผมยังรักคุณเสมอนะจิต แต่เราจะเป็นคนดีของครอบครัวกันนะ แม้เราจะมีความรู้สึกดีๆต่อกันอยู่มากเหมือนเดิม"
                     หญิงสาวสะอื้นกอดชายหนุ่มแน่น

                     เรื่องที่สองจบแบบนี้
                     ห้าปีผ่านไป
                     "พี่วิชา พี่หนีไปกับหนูเถอะ ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ทิ้งทุกอย่างไปทั้งหนี้สินที่ทำให้ปวดหัว เครียด นอนไม่หลับ แล้วหนูจะทิ้งทุกอย่างไปเหมือนกัน"
                     "เรย์พี่ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก จะมีหลายคนเืดือดร้อน"
                     "ก็ช่างเขาเป็นไร พี่ลำบากมามากแล้ว หนูยังทำได้เลยแล้วพี่ทำไมทำไม่ได้ล่ะคะ
                     เถอะนะเราไปอยู่กันสองคนมีความสุขจะตายไป
                     หนูอยากอยู่กับพี่นะ สองคนเท่านั้น หนูรักพี่ที่สุดจริงๆนะคะ"
                     "เรย์ ถ้าผมทำอย่างนั้น ก็เท่ากับผมทำเลวกับทุกคนที่รักผมสิ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้"
                    "แต่เราอยู่กันได้นะ"
                    "พี่อยู่ไม่ได้ พี่เสียใจ คนเราต้องมีศักดิ์ศรีนะ"
                    "ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้ งั้นหนูจะไป"

                    เรื่องที่สามจบลงแบบนี้
                    สิบปีต่อมา
                   "คุณปรีชา ขอบคุณนะที่ช่วยเหลือผมมาตลอดจนผ่านวิกฤตหลายครั้งมาได้ ผมจะไม่ลืมเลยกับความดีของคุณ สำหรับโบนัสตอนนี้รายได้้เราตกลงมาเยอะ จึงจ่ายให้คุณไม่ได้ เรื่องแม่คุณป่วยมีอะไรขาดเหลือบอกผมนะ"
                   "ขอบคุณครับที่ให้ข้าวให้น้ำผมและครอบครัวตลอดสิบปีมานี้ ขอบคุณครับ นี่จะเป็นการคุยกันครั้งสุดท้ายระหว่างนายกับผม ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆผมจะเก็บเอาไว้ครับ ผมลาละครับ"แล้วเขาก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับไปอีกเลย

                     .......................................................

                     ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้เป็นเรื่องจริงแต่มันเหมือนความฝัน คุณผู้อ่านครับพวกเราต่างผ่านความฝันกันมามาทั้งยามหลับและยามตื่น
                     ยามตื่นเราเรียกว่าความคิด ที่เรียกกันว่าฝันกลางวันไงครับ แต่ทุกเรื่องราวในชีวิตล้วนเป็นแต่เพียงความฝันแล้วมันก็จากเราไป

                                                หนึ่ง

                     ตามหาแก่นธรรมตอนนี้คุณหนึ่งเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาและผ่านไปเหมือนฝัน และมันช่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเวลาที่ล่วงเลยไปถึงสิบปี พูดเป็นตัวหนังสือกันไม่กี่บรรทัด
                    เรื่องราวของเราทุกคนเปรียบได้กับความฝันที่มันผ่านไปผ่านมา
                    ความคิดนึกก็เป็นเรื่องฝัน มันล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องปรุงแต่งโดยสังขาร ที่แปลว่าอำนาจชนิดหนึ่ง
                    ฝันมันจะซ้อนฝันไปเรื่อยๆ จนเราแทบนึกไม่ออก จำไม่ได้เช่นเดียวกับกรรมและวิบากกรรมที่ตามมาจนหาเหตุกันแทบไม่เจอ
                    พุทธศาสนิกชนจะตื่นตัวในปัจจุบัน ดุจมีระฆังมาสั่นให้ได้ยินเสียงและมีสติคือความรู้ตัวทั่วพร้อมและเกิดปัญญาน้อยๆอันเรียกว่าสัมปชัญญะอันก่อให้เกิดปัญญาใหญ่ตามมา แล้วเราจะผ่านอดีตและอนาคตไปพร้อมกันครับท่าน ธรรมะสวัสดี

                                                        สะมะชัยโย

                    ใบโพธิ์แก่นธรรม
                    ๑.จงรักษาใจให้เหมือนนาฬิกา เพราะหน้าที่ของนาฬิกาคือการอยู่กับปัจจุบันขณะด้วยสัจจะและความเที่ยงตรง
                    ๒.ธรรมแท้เป็นกลางๆ ใครปล่อยวางได้สบาย
                    ๓.น้ำไม่ไหลขังไว้ย่อมเน่าฉันใด จิตที่รู้เรื่องอะไรแล้วไม่ยอมปล่อย ย่อมทุกข์ฉันนั้น
                                        หลวงพ่อชา สุภัทโท
                     หมายเหตุแก่นธรรม
                     ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง ขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดจากบทความนี้ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่บรรพบุรุษ อันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ รวมทั้งท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น