++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นผู้หญิง

ในหนังสือพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นผู้หญิง

ของ อาจาร์ยบารมี

จากกรรมที่พระโพธิสัตว์ทำผิดศีลกาเมสุมิจฉา แล้วตกนรก เป็นเวลานานแสนนาน

หลังจากนั้น ถือกำเนิดเป็น ลา เป็นโค เป็นคนพิการ เป็นตาบอด เป็นคนหูหนวก

เป็นกระเทย และเป็นสตรี อย่างละ 500 ชาติ เป็นการชี้ให้เห็นว่าเป็นมนุษย์ผิดศีล

อย่างเด็ดขาด ด้วยอำนาจแห่ง โทสะ และราคะ อย่างรุนแรงและติดต่อกันเป็นเวลานาน



หลังจากนั้นไม่ได้สร้างบุญกุศลกรรมที่ประกอบด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อ

ผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลพรตหรือต่อธรรมที่กำหนดให้รักษาศีล 5 อย่างศรัทธา ในภายหลังบาป

ที่ทำไปแล้วนั้นมีกำลังรุนแรง
ให้เป็นชนกกรรมคือจะส่งผลทันที่เมื่อได้ตายไปจากภพปัจจุบัน

สัตว์ใดที่ทำบาปอย่างรุนแรงเมื่อตกลงเบื้องต่ำอบายภูมิ
จะหลุดออกจากอบายภูมิโดยเร็วพลัน

นั้นยากยิ่ง

มากล่าวถึงพระโพธิสัตว์เสวยเศษกรรมชาติสุดท้าย ด้วยมีบุญเก่าหนุนนำ

จึงเกิดเป็นสตรีในวงศ์กษัตริย์ ทรงพระนามว่าเจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารีเป็นธิดา

ของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช และในกัปป์นั้นเป็นสารกัปป์ เพราะมีพระพุทธเจ้า

เสด็จมาอุบัติเพียงพระองค์เดียว ทรงพระนามว่าพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า

พระองค์เป็นราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราชแต่ต่างมารดากับเจ้าหญิงสุมิตตาเทวี

และพระพุทธเจ้ามีฐานะเป็นพี่ชายของพระนาง เมื่อพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น

พระองค์ทรงทำให้พระธรรมปรากฏขึ้นทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างได้รับรสพระธรรมนั้น

จำนวนมากมายเหลือคณานับ บังเกิดพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นพระรัตนตรัย

กระจายไปทั่วสากลจักรวาล

กล่าวถึงพระนางสุมิตตาเทวี
ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในพระเชษฐาเป็นทุนเดิม

เมื่อพระเชษฐาตรัสรู้เป็นพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้าความศรัทธาย่อมมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ

วันหนึ่งเวลาใกล้ค่ำพระนางยืนอยู่บนปราสาทมองลงมาเบื้องล่างก็เห็นพระภิกษุ

รูปหนึ่งมาบิณฑบาต อยู่ที่หน้าราชวังของพระนาง จึงคิดในพระทัยว่า " พระคุณเจ้ามา

บิณฑบาตอะไรหนอ ถึงได้มาใกล้ค่ำ" จึงทรงสั่งให้บุรุษรับใช้ไปถามพระภิกษุ

พระภิกษุรูปนั้นบอกว่า จะมาบิณฑบาตน้ำมัน เมื่อพระนางทรงทราบ

จึงได้อาราธนาพระผู้เป็นเจ้าขึ้นมา ณ อาสนะ อันสมควรแล้วพระนางทรงดำรัสถามว่า

"พระผู้เป็นเจ้า มีความประสงค์น้ำมันไปเพื่อทำอะไร?" พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า

" อาตมา บิณฑบาตน้ำมันเป็นอันมากเพื่อจุดประทีปมากมาย

ทำการสักการะบูชาแด่พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า จนสิ้นราตรียันรุ่งสางพร้อมทั้ง

มีเหล่าพระอริยะสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน อาตมารับทำภารกิจนี้เสมอมา"

พระนางสุมิตตาเทวีได้รับทราบดังนั้นมีศรัทธาเป็นอันมาก
ก็ดำริในพระทัยว่า

"พระเชษฐาของเรา ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวง

ต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายในกาลเบื้องหน้า ขอให้เราได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า

เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลกเหมือนพระองค์"

หลังจากนั้นพระนางทรงเอาน้ำมันถวายพระคุณเจ้า

จนเต็มบาตรพร้อมทั้งกล่าววาจาปณิธานว่า

" ด้วยอานิสงส์ผลทานนี้ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนา

ของข้าพเจ้าจงสำเร็จผลตามที่ปรารถนาและขอให้พระคุณเจ้าจงมีจิต

ช่วย กราบทูล พระองค์ด้วยว่า พระน้องนาง ของพระพุทธองค์ซึ่งมีนามว่า

สุมิตตากุมารี มีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาท พระพุทธองค์

และขอตั้งความปรารถนาว่า ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัยในอนาคตให้ได้ตรัสรู้

เป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่าสิทธัตถะเหมือน

ด้วยชื่อเหมือนพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด "


หลังจากนั้นพระนางก็ส่งพระคุณเจ้ากลับไป ฝ่ายพระคุณเจ้า

ครั้งนี้ได้น้ำมันมากกว่าทุกวันที่แล้วมาจึงจุดประทีปได้สว่างไสว มากกว่าทุกวัน

ครั้นแล้วก็เข้าไปกราบทูลสมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้าว่า

" ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า คืนนี้ข้าพระองค์ได้จุดประทีปบูชา

ได้มากกว่าคืนก่อนๆด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันพระน้องนางสุมิตตาเทวีของพระองค์

ถวายมาและพระนางกล่าววาจาอธิษฐานว่า พระนางมีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบ

แทบพระบาทพระพุทธองค์ และขอตั้งความปรารถนา ด้วยผลบุญนี้จง เป็นปัจจัย

ในอนาคตให้ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่า

สิทธัตถะเหมือนด้วยชื่อนำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด ข้าพระองค์จึงขอโอกาสกราบทูล

ถามต่อพระองค์ว่าความปรารถนาของพระน้องนางจะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า ?"

พระพุทธองค์เมื่อได้สดับฟัง จึงตรัสว่า " พระน้องนางยังเป็นสตรีเพศอยู่

จึงยังไม่สมควรรับลัทธยาเทศพยากรณ์"

พระคุณเจ้าจึงทูลถามต่อ "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พระน้องนาง

ของพระองค์จักไม่มีโอกาสได้สำเร็จพระพุทธภูมิเลยหรือ พระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์จึงทรงพิจารณาดูในอดีตภาคของพระน้องนาง

ก็ทรงทราบว่าพระน้องนางสุมิตตาเทวี ได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้นานนักหนา

เมื่ออต้นอสงไขยตั้งแต่เป็นมานพแบกมารดาว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร

และมีทรงพิจารณาดูไปในอนาคต ก็ทรงทราบว่าพระน้องนาง อ

าจสำเร็จซึ่งพุทธภูมิตามความปรารถนา พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า


" กาลข้างหน้า นับจากนี้ไป 16 อสงไขยกับอีกแสนกัปป์

จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าทีปังกรซึ่งมีนามเสมอกับเรานี้

อุบัติขึ้นในโลกแล้วพระน้องนางจะได้รับลัทธยาเทศพยากรณ์ในสำนัก

ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"


เมื่อพระคุณเจ้าได้รับฟังคำตรัสของพระพุทธองค์ก็กราบทูลลา

หลังจากนั้นก็ได้ไปยังปราสาท ของพระนางสุมิตตาเทวี แล้วบอกข้อความแก่

พระนางตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทุกประการ นำความปีติแก่พระนางเป็นอย่างยิ่ง

จึงกล่าวปวารณา ให้พระคุณเจ้า จงมารับน้ำมันในสำนักของพระนางทุกวัน


ในวันถัดมาพระนางสุมิตตาราชกุมารีก็จัดแจงอาหารอย่างประณีตเป็นอันมาก

พร้อมทั้งเครื่องสักการะบูชาถวายบิณฑบาตแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

ด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งและพระนางทรงเบื่อหน่ายเพศสตรีเป็นกำลัง

ครั้นสิ้นอายุขัยก็ได้เสวยทิพยสมบัติในดุสิตเทวโลก


คำุถาม เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี
มานพหนุ่มช่างทอง

กาลต่อมาพระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นบุตรของช่างทอง
และเป็นมานพหนุ่มช่างทองมีรูปสิริเลิศงดงาม ในเมื่องแห่งนั้น
มีฝีมือในการทำทองนั้นยอดเยียม ชื่อเสียงในการทำทองขจรไปไกล
เพราะความมีฝีมือนี้เอง ได้มีเศรษฐีของเมื่องมาทำการว่าจ้างให้ทำทองรูปพรรณ
ให้บุตรสาวที่จะเข้างานวิวาห์มงคล เมื่อเห็นรูปร่างของหนุ่มช่างทองก็เกิดรังเล
แต่ไม่สามารถหาช่างทองที่ฝีมือดีกว่านี้ได้อีกเลย จึงกล่าวกับหนุ่มช่างทองว่า
ถ้าท่านเห็นมือ และเท้าของบุตรสาวของเราอย่างเดียวท่านสามารถทำทอง
ได้สวยสดงดงามหรือไม่? หนุ่มช่างทองก็บอกว่าทำได้ เหตุผลของท่านเศรษฐีทำแบบนี้
เพราะบุตรสาวเป็นหญิงที่สวดสดงดงาม
เมื่อเห็นหน้าตากันจะทำให้ทั้งสองเกิดหวั่นไหว
มีปัญหาในการแต่งงานของลูกสาวกับบุตรชายของเพื่อนเศรษฐี
ที่หมั่นหมายไว้แล้วเป็นการตัดไฟเสียต้นลม

เมื่อถึงวันที่หนุ่มช่างทอง ทำการตรวจวัดมือและเท้าของบุตรสาวเศรษฐี
ที่บ้านของเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้ทำฉากกั้น
ให้บุตรสาวยื้นเฉพาะมือและเท้าออกมาเท่านั้น
แต่บุตรสาวเกิดความสงสัยว่าทำไม่บิดาจึงทำอย่างนี้
ในขณะที่หนุ่มช่างทองกำลังตรวจวัดอยู่ บุตรสาวเศรษฐี
ก็แอบดูตามช่องที่มองเห็นได้ เมื่อเห็นรูปร่างหนุ่มช่างทองเกิดหลงรักทันที
จึงทำการเขียนอักษร นัดแนะหนุ่มช่างทองทันที่
ว่าในค่ำคืนนี้นัดเจอกันที่ส่วนหลังบ้านที่เป็นต้นไม้ใหญ่
ฝ่ายหนุ่มช่างทองเมื่อเสร็จภารกิจ ก็กลับไปยังเรือนของตน ทำงานทำทองตลอด

เมื่อตกค่ำก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปตามนัด ที่
กาญจนวดีกุมารีบุตรสาวเศรษฐีได้เขียนอกษรไว้
แต่มานพหนุ่มช่างทองมาถึงต้นไม้ใหญ่ก่อน นั่งรออยู่ เพราะทำงานมาทั้งวัน
เมื่อเจอบรรยากาศร่มรื่นจึงเผลอหลับไป
เมื่อนางกาญจนวดีกุมารีมาถึงก็เห็นหนุ่มช่างทองหลับไปแล้ว
ซึ่งในสมัยนั้นมีการถือกันว่า
ถ้าผู้ใดนอนหลับอยู่ห้ามปลุกขึ้นมาเพราะจะเป็นบาป นางจึงนั่งรอเป็นเวลาพักใหญ่
เห็นว่าไม่ตื่น จึงว่าขันใส่ดอกไม้ไว้ แล้วเขียนอักษรไว้ว่า
นางได้มาแล้วแต่ท่านหลับอยู่ จึงว่างขันดอกไม้ไว้ให้ทราบ
และในราตรีต่อไปขอนัดเจอที่เดิม แล้วจากไป
เมื่อหนุ่มช่างทองตืนขึ้นมาเห็นขันดอกไม้
จึงรู้ว่านางได้มาแล้วและได้อ่านข้อความที่นางเขียนไว้

ตกค่ำวันต่อมาหนุ่มช่างทองก็ออกไปตามนัดเหมือนเดิม ก็ไปถึงต้นไม้ใหญ่ก่อนอีก
ด้วยความอ่อนแรงจากการงานจึงเผลอหลับไปอีก
นางกาญจนวดีกุมารีเมื่อมาถึงก็เห็นหลับเหมือนเดิม
จึงเขียนอักษรนัดแนะเหมือนเดิม หนุ่มช่างทองเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบอักษรที่นัดแนะ
ก็ให้นึกโกรธตนเองที่เผลอหลับมาสองวันแล้ว
พอตกค่ำวันที่ 3
ครั้งนี้หนุ่มช่างทองพยายามเตือนตนเองอย่างเต็มที่ไม่ให้เผลอหลับ
แต่ต้านไว้ไม่อยู่เลยเผลอหลับไปอีก เมื่อกาญจนวดีกุมารี มาเห็น ก็คิดว่า
บุญไม่ต้องกันที่จะได้อยู่ร่วมกัน เพราะตนจะเข้างานวิวาห็
นางจึงวางขันดอกไม้ไว้อย่างเดียว ให้รู้ว่านางได้มาตามนัดแล้ว
แต่ครั้งนี้ไม่ได้เขียนอักษนัดแนะประการใด เมื่อหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมา
ก็โกรธตนเองที่เผลอหลับ
จึงกลับบ้านด้วยความผิดหวังที่จะดูหน้าและรูปร่างเพียงสักครั้ง

แล้วนางกาญจนวดีกุมารี ก็เข้าวิวาห์กับบุตรชายเศษรฐี ตามกำหนดการ
ฝ่ายหนุ่มช่างทองก็คล่ำครวญถึงนางกาญจนวดี
ว่าสมควรจะอยู่ร่วมภิรมณ์กับตนและควรเป็นของเรา เพราะหญิงก็มีใจกับตน
จึงคิดหาอุบาย ได้ทำเครืองทองที่ดีเลิศขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วนำไปถวาย มหาอุปราช
มหาอุปราชทรงพอพระทัย จึงทรงถามหนุ่มช่างทองว่า
มีประสงค์อันใดที่นำเครื่องทองอันดีเลิศมาถวาย หมุ่นช่างทองจึงบอกจุดประสงค์
มหาอุปราชจึงรับปากและจะออกอุบายช่วยเหลือ
หลังจากนั้นก็ให้หนุ่มช่างทองแต่ตัวเป็นสตรี ปลอมเป็นน้องหญิงของมหาอุปราช
แล้วทรงกระบวนช้างผ่านไปยังบ้านเศรษฐีแล้วตรัสบอกกับท่านเศษรฐีว่า
จะเอาน้องหญิ่งมาฝาก ที่บ้านเศรษฐี เพราะออกไปปราบข้าศึกที่ชายแดน
และห็นว่าท่านได้สร้างเรื่อนใหม่ ที่พอจะฝากน้องหญิงได้

แล้วมหาอุปราชถามอีกว่า "เรือนนั้นเป็นเรื่อนของใครของใครหรือ? "
เศรษฐีจึงตอบว่า "เป็นเรือนของบุตรสาวที่พึ่งแต่งงาน"

มหาอุปราชกล่าว "อย่างนั้นก็ดีสิ ! จะได้ให้น้องหญิงพักอยู่ที่นั้น
และจะได้ให้บุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพื่อนของน้องหญิง
ให้นางงดการอยู่ร่วมกับสมามีชั่วคราว
ห้ามผู้ชายแม้กระทั้งสามีของบุตรสาวท่านเข้าไปในส่วนของชั้นเรือนที่น้อง
หญิงพักอยู่ โดยมีบุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพือน
แล้วเราจะกลับมารับหนึ่งหญิงในภายหลัง"

เศรษฐีด้วยความเกรงในอำนาจของอุปราช
และเห็นว่าท่านอุปราชทรงห่วงใยน้องหญิงคนนี้มาก
จึงรับทำตามที่มหาอุปราชกับชับด้วยความเต็มใจ

หลังจากนั้นหนุ่มช่างทองได้อยูร่วมกับนางกาญจนวดี เป็นเวลา 3
เดือนโดยไม่มีใครรู้เรื่องเลย จนมหาอุปราชมารับกลับไป

ด้วยผลกรรมที่พระโพธิสัตว์
ผิดลูกผิดเมียของผู้อื่นเมื่อสิ้นอายุขัยของตกนรกทันที่
เวียนเกิดตายระหว่างอบายภูมิ(ภพต่ำ)เป็นเวลานาน
แล้วเกิดเป็นกระเทยและเป็นผู้หญิง เป็นพันชาติ รวมเวลา ถึง 14 มหากัป

เมื่อทำกรรมหนักเพียงชีวิตเดียว
ก็ตกลงในภพภูมิที่ต่ำจะทำให้สร้างบุญกุศลนั้นยาก เพราะใจจะตกต่ำไปด้วย
ย่อมกระทำกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไปเรี่อยกว่าจะหลุดพ้นมาได้ก็ใช้เวลาหลายมหากัป
นับประสาอะไรกับผู้ที่ไม่ปรารถนาสร้างบารมี(อย่างใดอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา)
จะวนเวียนอยู่โดยไม่รู้ทิศรู้ทางเป็นเวลานานนับแสนแสนอสงไขย จนประมาณไม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น