คนส่วนใหญ่นึกถึงบทสวดอะไรสักบท
ซึ่งถ้าเป็นไปในทางอาคม
ก็มักออกในทางคำเสกเป่าที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์
มีอิทธิพลบางอย่าง
อย่างน้อยที่สุดสวดคำศักดิ์สิทธิ์
ก็ต้องชวนให้รู้สึกว่าใจมีความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นในตัว
ความหมายของคาถา ยังมีอีกความหมายหนึ่ง
คือเป็นคําประพันธ์ประเภทร้อยกรองในภาษาบาลี
๔ บาท เรียกว่า หนึ่งคาถา
โดยนัยนี้ไม่จำเป็นต้องศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์
เอาแค่พอเกิดการทรงจำที่เป็นประโยชน์
หรือได้แง่คิดดีๆก็นับว่าใช้ได้
หากพูดในเชิงใช้คาถาให้เป็นประโยชน์
ผมคิดว่าทั้งในเชิงอาคมและในเชิงปัญญาก็ผสมผสานกันได้
เพราะถ้าว่าในทางปฏิบัติแล้ว
คาถาก็คือการร้อยเรียงถ้อยคำ
ซึ่งเมื่อเปล่งเสียงออกมาเป็นวาจาแล้ว
ก็จะเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง
หรืออาจสัมผัสถึงกลุ่มพลังในทางมืดทางสว่างขึ้นมาได้
คนที่เชี่ยวชาญคาถา ท่องคาถาได้มาก
เข้าใจความหมายของภาษาได้ลึกซึ้ง
อาจจำแนกได้ทีเดียวว่าแต่ละคาถา
มีความสะเทือนถึงจิตต่างกันอย่างไร
ยกตัวอย่างเช่นถ้าคาถาไหนเปล่งเสียงแล้ว
ก่อให้เกิดศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ก็เอามาเป็นบทสวดสรรเสริญพระคุณในศาสนาของตน
หรือถ้าเปล่งเสียงแล้วก่อให้เกิดกำลังจิตกล้าแข็ง
ก็เอามาเป็นบทสวดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางฤทธิ์เดช
การสวดคนเดียวกับสวดหลายคนมีผลต่างกัน
เพราะคลื่นเสียงที่เกิดขึ้นนั้น
มาเดี่ยวกับมาคู่ก็แตกต่างแล้ว
และยิ่งถ้าผสมรวมเป็นหมู่คณะ
ก็ยิ่งแตกต่างมากขึ้นเป็นเงาตามจำนวน
ความสะเทือนอันศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ไปในอากาศ
ย่อมทำให้อากาศในย่านนั้นสว่าง
ความสะเทือนอันศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ไปกระทบวัตถุ
ย่อมก่อความสว่างเพิ่มขึ้นกับตัววัตถุ
นี่เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเล่นคาถา
จน "เห็น" ความสว่างของคาถา ย่อมเข้าใจดี
กับทั้งแยกแยะได้ ว่าอันไหนสว่างกว่ากัน
สวดเดี่ยว สวดคู่ หรือสวดเป็นหมู่คณะ
แล้วให้ผลผิดแผกแตกต่างได้เพียงใด
ผมเคยพูดถึงคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในความเห็นส่วนตัว
อันได้แก่บทสวดอิติปิโส
เพราะไม่เคยเห็นบทสวดไหนก่อความสว่างได้เท่า
วันนี้จะขอพูดถึงคาถาที่เป็นประโยชน์
เห็นผลเร็วที่สุดในโลก แล้วก็ไม่ต้องท่องจำมากมาย
เป็นอะไรสั้นๆ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องทำความเข้าใจประกอบไปด้วย
ไม่ใช่ท่องๆแล้วก็เกิดประโยชน์สูงสุดขึ้นมาได้เอง
อานิสงส์ของคาถานี้ ที่จะมีแก่ผู้สวดอย่างเข้าใจทันที ได้แก่
๑) ระงับใจให้เย็นลง
๒) แก้ฟุ้งซ่านได้
๓) แก้ทุกข์เรื้อรังทางใจได้
๔) ท่องบ่นแล้วฉลาดขึ้น
๕) ปัดเสนียดจัญไรไสยศาสตร์ได้
ฟังโฆษณาสรรพคุณแล้วอาจนึกว่ามาแนวขายยา
แต่ขอให้สังเกตว่าสรรพคุณที่ผมโฆษณาไว้นี้
เป็นเรื่องเห็นผลทันทีเดี๋ยวนี้เลย
ไม่ใช่รอชาติหน้าชาติไหน
ถ้าใครทดลองพิสูจน์ก็จะเห็นตามจริงได้ไม่ยาก
ผมพบคาถานี้ตั้งแต่ครั้งสวด
เมื่อบวชพระยี่สิบกว่าปีก่อน
แต่เป็นส่วนหนึ่งของบทสวดที่ยาวเหยียด
และคนก็ไม่ค่อยแยกเอามาท่องกัน
ช่วงหลังๆผมมีโอกาสใช้บ่อย
เลยอยากนำมาแบ่งปันกันครับ
คาถานี้เป็นพุทธพจน์ ว่าเต็มๆคือ
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ สังขารา ทุกขา
สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ความหมายคือ
สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายไม่เที่ยง
(เพราะ) สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
(และ) สิ่งทั้งหลาย อันรวมถึงสิ่งไม่ปรุงแต่งอย่างนิพพาน
ก็ไม่ใช่ตัวตนที่บังคับเอาหรือถือมั่นไว้ได้
บางแห่งพระผู้มีพระภาคก็กล่าวย่นย่อเฉพาะความไม่เที่ยง
และความไม่ใช่ตัวตน (อนิจจัง อนัตตา)
ผมพบว่าคนส่วนใหญ่ถ้าจับเอาแค่
สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
จิตจะยังมีกำลังเป็นอันเดียว
ทำนองเดียวกับพูดประโยคเดียว มีต้นมีปลายชัดเจน
ไม่เลื่อนลอยไปเสียก่อน
จึงเหมาเอาตามอัตโนมัติว่าใช้เป็นคาถาสั้นได้
และก็ได้ผลครับ คุณทดลองแล้วจะรู้ด้วยตัวเอง
เพราะพระคาถานี้เป็นพุทธพจน์ที่ท่องบ่นบ่อยๆ
หรือท่องบ่นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
จะมีอิทธิพลให้ปล่อยวางได้เร็ว
ลองใช้อุปเท่ห์แยกตามจุดประสงค์เป็นข้อๆ
๑) ถ้ากำลังโกรธจัด
ให้ยอมรับตามจริงว่าโกรธ กำลังเกิดโทสะร้อนแรง
รับรู้สภาพความร้อนนั้น
แล้วท่องว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
เพียงรอบเดียว คุณจะรู้สึกถึงความร้อนที่ลดระดับลงฮวบฮาบ
โดยเฉพาะถ้าประกอบด้วยความเข้าใจว่าโทสะเป็นสังขาร
เป็นของปรุงแต่ง ถ้าใจไม่ไปกระทบกับเรื่องขัดใจก็ไม่โกรธ
ความโกรธไม่เที่ยงเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวตน
๒) กำลังฟุ้งซ่านจัด
ให้ยอมรับตามจริงว่าปั่นป่วน จิตกำลังดิ้นพล่าน
รับรู้สภาพความพล่านไปนั้น
แล้วท่องว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
เพียง ๓ รอบ คุณจะรู้สึกถึงความฟุ้งที่เบาบางลง
โดยเฉพาะถ้าประกอบด้วยความเข้าใจว่าความฟุ้งเป็นสังขาร
เป็นของปรุงแต่ง ถ้าใจไม่ถูกปล่อยให้ซ่านไปก็ไม่ฟุ้ง
ความฟุ้งไม่เที่ยงเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวตน
๓) กำลังทุกข์เรื้อรังทางใจ
ให้ยอมรับตามจริงว่าเป็นทุกข์
รับรู้สภาพใจทั้งหมดที่รู้สึกเป็นทุกข์หนักนั้น
แล้วท่องว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
ท่องเรื่อยๆ ซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบรอบ
หรือถ้ายังไหวก็เป็นร้อยๆรอบ
คุณจะรู้สึกถึงความทุกข์ทางใจที่ลดระดับอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะถ้าประกอบด้วยความเข้าใจว่าทุกข์เป็นสังขาร
เป็นของปรุงแต่ง ถ้าไม่เอาใจไปผูกกับเหตุร้อนก็ไม่ทุกข์
ทุกข์ทางใจไม่เที่ยงเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวตน
๔) กำลังทึบโง่
ให้ยอมรับตามจริงว่ากำลังทึบๆ ตันๆ คิดอะไรไม่ออก
อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง หรือหัวช้าไม่แล่นเหมือนเก่า
รับรู้สภาพใจทั้งหมดที่ทึบตันนั้น
แล้วท่องว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
ท่องครั้งละรอบ แต่บ่อย
สังเกตว่าแต่ละครั้งที่ท่อง ใจจะโปร่งขึ้น
เมื่อใจจะกลับมาทึบก็ให้ท่องอีก สลับอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะรู้สึกโปร่งจริง เนิ่นนาน
คุณจะรู้สึกฉลาดขึ้น
โดยเฉพาะถ้าประกอบด้วยความเข้าใจว่าที่โง่
ก็เพราะยึดสิ่งที่ไม่ควรยึด พอเลิกยึดก็หายโง่
ความโง่เป็นของปรุงแต่ง ละเหตุแห่งความโง่ก็ไม่โง่ได้
ความโง่ไม่เที่ยงเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวตน
๕) กำลังสงสัยว่าโดนไสยศาสตร์ครอบงำ
ให้ยอมรับตามจริงว่าจิตใจมืดมัว คอยแต่จะคิดไม่ดี
รับรู้สภาพใจทั้งหมดที่แย่ๆนั้น
แล้วท่องว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ
หลับตาท่องสักสิบรอบยี่สิบรอบใส่น้ำสะอาดหนึ่งแก้ว
คือเอาน้ำหนึ่งแก้วมาอยู่ตรงหน้า
ในระยะที่สามารถรู้สึกถึงความสะเทือนจากปาก
จนกระทั่งรู้สึกด้วยใจว่าน้ำตรงหน้าใสสว่าง
จากนั้นเอาน้ำราดกระหม่อมตนเอง
เอามือลูบกระหม่อมและสวดต่อไปด้วย
คุณจะรู้สึกถึงความว่างโล่งที่เทียบกันได้ชัดกับตอนมืด
โดยเฉพาะถ้าประกอบด้วยความเข้าใจว่าคุณไสยเป็นสังขาร
เป็นของปรุงแต่ง เป็นของมืด ถ้าเอาแสงสว่างมาไล่ก็หายสูญ
คุณไสยไม่เที่ยงเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวตน
โดยย่นย่อ คาถานี้เป็นไปเพื่อใจ
มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน
เมื่อใจสุกสว่างเต็มดวงแล้ว
ก็ไม่มีอกุศลใดมาแทรกแซงได้ครับ
ดังตฤณ
พฤษภาคม ๕๓
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น