++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สงครามข่าวฟรีทีวี

โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


ผมเพิ่งได้อ่านนิตยสาร Positioning ฉบับเดือนมิถุนายน 2552 ...

Positioning ฉบับครบรอบปีที่ 5 ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 6
นำเสนอประเด็นข่าวปกเป็นเรื่องราวของความเปลี่ยนแปลงในแวดวงข่าวสารบนจอ
โทรทัศน์โดยทางกองบรรณาธิการ ระบุไว้บนปกว่า

"News Wars Episode II : หมดยุคเล่าข่าว ... สู่ยุคเรียลลิตี้ข่าว"

ซึ่งประเด็นหลักคือ สงครามรายการข่าวระหว่างฟรีทีวี ช่อง 3 และ
ช่อง 7 ค่ายโทรทัศน์เชิงพาณิชย์สองค่ายใหญ่ของประเทศที่พยายามขับเคี่ยวกันในทุกแง่
มุมไม่ว่าจะเป็นละครหลังข่าว รายการวาไรตี้ การถ่ายทอดสดกีฬา
รวมไปถึงสนามข่าวที่หลังจากในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ช่อง 3
ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับกลยุทธ์ "ครอบครัวข่าว" ทั้งช่วงเช้า ช่วงเย็น
รวมไปถึงตอนค่ำ ซึ่งบีบให้ช่อง 7 ต้องปรับตัวตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การปั่นกระแสความนิยมของรายการเล่าข่าว
ที่หยิบเนื้อหาจากหนังสือพิมพ์-เว็บไซต์-นิตยสาร
มาเล่าผ่านจอโทรทัศน์แบบเป็นวรรคเป็นเวร
พุ่งขึ้นไปสูงถึงขั้นที่ว่าแม้เพื่อนสื่อมวลชนและนักวิชาการด้านสื่อจะกล่าว
เตือน ตำหนิ หรือกระทั่งด่าแรงๆ ในทำนองว่า
สื่อโทรทัศน์กำลังเอาเปรียบสื่อสิ่งพิมพ์ เพราะ "การเล่าข่าว"
ไม่ต้องลงทุนหรือมีต้นทุนอะไร
เพียงแค่หาเงินจ้างพิธีกรชื่อดังมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าสัก 5
ฉบับ 10 ฉบับ ก็สามารถคิดค่าโฆษณาได้นาทีละ 2-3 แสนบาทแล้ว
แต่เหล่าฟรีทีวีก็ไม่สนใจ

พูดง่ายๆ ว่า นอกจากฟรีทีวีจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เอาเปรียบ
กินแรง เพื่อนสื่อด้วยกันแล้ว ยังเป็นการเอาเปรียบผู้ชม-ผู้บริโภคอีกด้วย
เพราะเหมือนเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวานนี้ มาเล่าให้ฟังวันนี้
และใส่ทัศนะของผู้อ่านข่าวเข้าไปเพิ่มเติมเท่านั้นเอง

ณ วันนี้ การเคลื่อนตัวของ "สงครามข่าว"
ในฟรีทีวีได้ผ่านพ้นยุคของการเล่าข่าวแบบเฉยๆ การเล่าข่าวแบบใส่เทคโนโลยี
(เช่นเอา Video Wall, Virtual Studio มูลค่าหลายสิบล้าน
และเฮลิคอปเตอร์มาประกอบ) มาสู่ยุคสมัยของการซื้อตัว "ดาราอ่านข่าว"
และยุคของ "เรียลลิตี้ข่าว" แล้ว

ราว 2 เดือนก่อน การประกาศทุ่มเงินระดับ 7 หลักของช่อง 3
เพื่อดูดตัว "ไก่" ภาษิต อภิญญาวาท
ผู้ประกาศข่าวชายที่มีอายุงานในแวดวงข่าวเพียง 3
ปีกว่ามาอยู่กับครอบครัวข่าว
สร้างความแปลกใจให้กับคนในแวดวงสื่อสารมวลชนไม่น้อย
ไม่นับรวมกับการย้ายค่ายของ กรุณา บัวคำศรี
พิธีกรข่าวเจนสนามจากโทรทัศน์เชิงอุดมการณ์อย่างทีวีไทย
มาสู่โทรทัศน์เชิงพาณิชย์อย่าง ช่อง 3 ในทางกลับกันเมื่อช่อง 7
ถูกตบหน้าหลังจากช่อง 3 ดูดพิธีกรหนุ่มไป ช่อง 7 ก็เอาคืนด้วยกันดูดตัว
ศศิวรรณ เลิศวิริยะประภา พิธีกรช่อง 3 มาเป็นพิธีกรในรายการเช้าของช่อง 7
บ้างเช่นกัน

จริงๆ การดึงตัวไป ดูดตัวมา
หรือการย้ายค่ายของผู้ประกาศข่าวนั้นไม่ถึงว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร
เพราะการย้ายค่ายของผู้ประกาศนั้นมักจะมี "ปัจจัย"
เข้ามาเกี่ยวข้องและแรงจูงใจด้วยเสมอ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตหลังจากได้อ่านสกู๊ป
"สงครามข่าว" ของนิตยสาร Positioning ก็คือ นอกจากทีมงาน Positioning
จะทำสกู๊ปเจาะลึกถึงกลยุทธ์และยุทธวิธีในการทำสงครามข่าวระหว่างฟรีทีวีค่าย
ใหญ่ๆ อย่าง ช่อง 3 ช่อง 7 ช่อง 9
แล้วก็ยังมีบทสัมภาษณ์ของผู้ประกาศข่าวตามช่องเคเบิลทีวีด้วยเช่นกัน
อย่างเช่น ช่องเนชั่นแชนแนล เอเอสทีวี และ TNN

พูดตามตรงเมื่อได้อ่านบทสัมภาษณ์ของผู้บริหาร
พิธีกรข่าวทั้งมือเก๋า และมือใหม่แล้ว ผมกลับไปสะดุดคำพูดของ คุณอัญชลีพร
กุสุมภ์ หัวหน้าทีมผู้ประกาศข่าวของเอเอสทีวีและผู้ดำเนินรายการข่าวยอดฮิตอย่าง
News Hour ที่ว่า "สื่อไม่ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในการตีแผ่ความจริง
ข่าวทุกวันนี้พยายามทำเรื่องหนักให้เป็นเรื่องเบา
มันไม่ตอบสนองต่อปัญหาสังคม (แต่)
ตอบโจทย์อยู่อย่างเดียวคือความอยู่รอดของสื่อ"

ในทัศนะส่วนตัว จริงๆ แล้ว
คำให้สัมภาษณ์ของคุณอัญชลีพรเพียงประโยคนี้ประโยคเดียวนั้น
แทบจะครอบคลุมและให้คำจำกัดความเนื้อหาใหญ่และใจความสำคัญที่นิตยสาร
Positioning ทำมาได้ทั้งหมดทีเดียว

เมื่อได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ประโยคนี้ของคุณอัญชลีพร
ทำเอาผมหวนกลับไปนึกถึงคำสั่งสอนของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
ครูข่าวคนแรกของผมเมื่อ 9 ปีก่อน
โดยตอนนั้นนักข่าวรุ่นแรกของผู้จัดการออนไลน์อาจเรียกได้ว่าเป็น
"ศิษย์หนังสือพิมพ์รุ่นสุดท้าย" ของคุณสนธิ
ก่อนที่คุณสนธิจะก้าวเข้าสู่แวดวงโทรทัศน์ด้วยการทำรายการ
"ก่อนจะถึงวันจันทร์" และ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ทางช่อง 9
และพัฒนาขึ้นเป็นช่อง News1 และ ASTV ในปัจจุบัน

เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว
ในช่วงที่คุณสนธิยังมานั่งประชุมข่าวของกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
รายวันตอนเช้าเอง และเปิดคอร์สสอนศิษย์ในช่วงสายของทุกวันอาทิตย์
มีคำสอนหนึ่งที่ผมจำได้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะนั่นคือ

"ทุกวันนี้สื่อไม่เพียงต้องนำเสนอ 'ข่าวที่คนอยากรู้'
แต่มีภาระและหน้าที่ในการนำเสนอ 'ข่าวที่คนต้องรู้' ด้วย"

ทั้งนี้ในปัจจุบัน "ข่าวที่คนอยากรู้" อย่างเช่น กรณีหมีแพนด้า
เด็กชายเคอิโงะตามหาพ่อ ข่าวเต๋า-สมชาย แต่งงานใหม่
ข่าวญาติพุ่มพวงทะเลาะกัน เป็นต้น

ส่วน "ข่าวที่คนต้องรู้" และสื่อมีภารกิจ
และหน้าที่ในการหามานำเสนอให้ผู้รับสื่อเสพ อย่างเช่น
ข่าวความเป็นไปของบ้านเมือง ข่าวการทุจริต-คอร์รัปชัน
ข่าวความไม่ชอบมาพากลในกรณีกระทรวงคมนาคมซึ่งรัฐมนตรีพยายามผลักดันโครงการ
เช่ารถเมล์ NGV 4,000 คัน หรือข่าวที่ช่อง 3
พยายามต่อสัญญาสัมปทานที่มีแนวโน้มจะเป็นการเอาเปรียบ อสมท และภาครัฐ
เป็นต้น

หากเรียบเรียงและสังเคราะห์ความรู้จากคำสอนของคุณสนธิและคำให้
สัมภาษณ์ของคุณอัญชลีพร เราจะเห็นได้ชัดว่า "สงครามข่าว"
ที่เกิดขึ้นในช่องฟรีทีวีทุกวันนี้นั้นแทบจะไม่มีนัยอะไรต่อการสร้างบ้านแป
งเมือง ให้ฟื้นฟูขึ้นใหม่จากความล่มสลายทางการเมือง
เศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้น หรือทำให้สังคมส่วนใหญ่ดีขึ้นเลย
เพียงแต่เป็นการแข่งขันกัน "หาข่าว" และ "สร้างข่าว"
เพื่อให้คนอยากรู้เท่านั้น

ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ในกรณี เด็กชายเคอิโงะตามหาพ่อชาวญี่ปุ่น
หรือกรณีตู้คอนเทนเนอร์ใต้น้ำที่จังหวัดตราดซึ่งถูกรายการข่าว 3
มิตินำไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
และข่าวลูกหมีแพนด้าคลอดที่จังหวัดเชียงใหม่

ในกรณีแรก "เด็กชายเคอิโงะ" ได้ตกเป็นเครื่องมือของสื่อ
(โดยที่เจ้าตัวเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม)
ในการดึงความสนใจของสาธารณชนจากเรื่องคอขาดบาดตายต่างๆ
ของบ้านเมืองให้มาสู่ข่าวเชิงนวนิยายที่ในเวลาต่อมาถูกปั่นให้กลายเป็น
"กระแส" ในสังคม ด้วยการทำเรียลลิตี้ชีวิตของ ด.ช.เคอิโงะ
ตั้งแต่ตื่นเช้า ไปโรงเรียน ไปขายของ ไปเล่นกับเพื่อนๆ
เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปสถานทูตญี่ปุ่นเพื่อโทรศัพท์หาพ่อ ฯลฯ

กรณีที่สอง "ตู้คอนเทนเนอร์"
ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมารายการข่าว 3 มิติ
พยายามฉวยโอกาสในวาระครบรอบ 17 ปีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
ดึงเรตติ้งของรายการด้วยการปั่นกระแสว่าในคอนเทนเนอร์ที่จมอยู่ในน้ำ
อาจจะมีศพของเหยื่อพฤษภาทมิฬ ทั้งๆ ที่สุดท้ายก็เป็นแค่เรื่องโอละพ่อ

จนถึงกรณีท้ายสุดคือ กรณีลูกหมีแพนด้า
ที่สื่อโทรทัศน์ต่างสบโอกาสในการปั่นกระแส "หมีแพนด้า" ให้ติดลมบน ทั้งๆ
ที่ในห้วงเวลาเดียวกัน กรณีเรื่องรถเมล์ NGV 4,000 คัน
ซึ่งมีมูลค่าโครงการมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท
แต่ปราศจากความโปร่งใสโดยสิ้นเชิง
กำลังถูกพรรคการเมืองหนึ่งบิดเบือนอย่างไร้ยางอาย
ด้วยการใช้งบประมาณของทางราชการเช่าป้ายโฆษณาไปทั่วกรุงเทพฯ
แถมพรรคการเมืองดังกล่าวยังเกาะกระแสหมีแพนด้าโดยนำคนใส่ตุ๊กตาหมีแพนด้ามา
เดินแจกใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อโครงการดังกล่าวอีกต่างหาก

พูด ตามตรง ในฐานะสื่อมวลชนและผู้เสพสื่อคนหนึ่ง
ผมอยากเห็นสื่อฟรีทีวีทั้งหลายหันมาเน้นที่เนื้อหา หรือ "แก่นของข่าว"
มากกว่ารูปแบบหรือ "กระพี้ของข่าว" มากกว่านี้
มิฉะนั้นไม่ว่าสงครามข่าวนี้จะเกิดขึ้นอีกสักกี่รอบ
ประชาชนก็จะไม่ได้อะไร
นอกจากตกเป็นเหยื่อของการปั่นกระแสข่าวที่มีค่าแค่เพียง "ละครน้ำเน่า"
เท่านั้น

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000068429

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น