++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องจริงจาก รร.อัญสัมชัญ

เรื่องจริงจาก รร.อัญสัมชัญ
> แล้วจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่......
>
> เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ " มิสอุไรพร "
>
> ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก
>
> รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!
> ตึกเซนต์หลุยส์มารี
> โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม
> ราวกลางปี พ.ศ. 2539
>
> " มิสคะ
> ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ
> "
>
> โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร
> นาคะเสถียร
> ครูสาวประจำระดับชั้นป. 4
> รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
>
> เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมาย
> จะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้
> เอ...ใครล่ะนี่
> จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ
>
> เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์
>
> ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
>
> หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
>
> อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก
>
> เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้
>
> หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
>
> ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย
>
> แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม
> คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง
> การเรียนของลูก
>
> เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา
> " ลูกเขาไม่อยากให้มา
> เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
>
> กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว
> แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ
> อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา "
>
> น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
>
> มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม
> เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาว
>
> ก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ
>
> เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว
>
> หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า
> ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย
>
> ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
>
> มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน
> เรื่องราวที่ว่านั้น
> มีดังต่อไปนี้
>
> วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2536
> หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...
>
> ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล
>
> ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ
> คุณแม่
>
> และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน
>
> ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
>
> โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน
>
> ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
>
> ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
> ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็
> กสูงจากคันดินราว 25 ซม
>
> คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
>
> ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย
>
> แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
>
> ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่
>
> และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก
> " ถ้าเป็นพวกคุณน้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร "
>
> มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม
> มองหน้าเด็กนักเรียน
> ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ
> หน้าซีด โดยเฉพาะ " ลูกชาย "
> ของคุณแม่ท่านนั้น
> " ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ยคิดไม่ทันใช่มั้ยแต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร "
>
> คุณแม่ไม่ยอม
> เสียเวลาคิดอะไรเลย
>
> ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...
>
> ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที
>
> แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...
> แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม
> ่ขาดสะบั้นลง!
>
> คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
>
> ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วย
> เลือด...เลือดของแม่...
>
> ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก
> จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด
> ไม่ขาด ...
> เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...
> ไม่ขาด ...
> เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
> มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...
> คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามอง
>
> ตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน
>
> พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่
> ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
>
> คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย
> แต่... มันสายเกินไปแล้ว!
>
> สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที
>
> ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป
>
> ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือน
>
> จึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
>
> มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า
> " นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ "
> " กล้าหาญมาก "
> เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
>
> หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า
> มิสมองหน้า " ลูกชาย "
> ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า
>
> นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
>
> ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ
>
> เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น
> ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง
>
> วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม
>
> และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา
>
>
> " จริงครับๆ ใช่ครับๆ "
> เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน
>
> " มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน
> ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา
> ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ "
>
> มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น
> สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด
>
> มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน
> ถามว่า
>
> " ดีมากนักเรียนตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ "
>
> เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว
> กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
> ครูสาวน้ำตาคลอ
> ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า
>
> หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร ?
>
> เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
>
> ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง
>
> ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด
>
>
> หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจ
> ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว
> เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
> เมื่อหมดชั่วโมงเรียน
>
> มิสอุไรพรได้เ รียกตัว " ลูกชาย " เข้าไปคุยอีกครั้ง
> " วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ "
>
> เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า
>
> " ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่
> ที่สุดในโลกเลยครับ "
>
> รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่
> บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน
> ว่ารักท่านมากมาย
> กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย
> กอดเลยไม่ต้องอาย
> ก่อนไม่มีแม่ให้กอด...
>
> เจตน์
> ---
> นาย ชูเกียรติ ถิรสัตยาพิทักษ์
> เจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อ
>
>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น