++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

หมอจีนแก้ปัญหาทางเพศใช้รักษาสมดุลหยินหยาง


เรื่องเพศ เป็นส่วนประกอบสำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์ ปัญหาทางเพศจึงมีผลต่อสุขภาพจิตส่วนบุคคลและความสัมพันธ์ในชีวิตคู่สมรส ซึ่งนับวันปัญหานี้จะเพิ่มสูงขึ้น ศูนย์พลังชายสำรองที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ให้ความรู้ คำปรึกษา และพัฒนางานด้านสุขภาพทางเพศ ระบุว่า ปัญหาทางเพศเป็นปัญหาที่มีมาเนิ่นนานแล้ว และมนุษย์ได้พยายามคิดค้นหาทางแก้ โดยแต่ละชาติก็มียาบำรุงทางเพศในแบบฉบับของตน เพราะคนเราเมื่ออายุมากขึ้น พลังชายสำรองจะลดลงไป ทางการแพทย์จีนระบุว่า ในผู้ชายที่เริ่มมี อายุ 30 ปี พลังหยินจะเริ่มลดลง และจะลดลงเหลือเพียง ครึ่งหนึ่งเมื่อมีอายุ 40 ปี และลดลงจนแทบจะหมดไปเมื่อมีอายุ 60 ปี ดังนั้น พลังหยินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับพลังชาย และพบว่าผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 60-70 ปี มีอัตราการเกิดปัญหาสมรรถภาพทางเพศถึง 73% นพ.ธรรมฤทธิ์ แพทย์วิวัฒน์ แพทย์ผู้ชำนาญด้านแพทย์แผนไทย-จีน กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ต้องการใช้ยาบำรุงทางเพศมีสองกลุ่มคือ กลุ่มผู้ต้องการยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ และกลุ่มผู้ต้องการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ แต่ยาที่ขายในท้องตลาดส่วนใหญ่จะเป็นยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ทำให้ผู้กินยาเกิดอาการคึกคัก และต้องการร่วมเพศ ซึ่งตัวยาเหล่านี้จะไปกระตุ้นฮอร์โมนเพศที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ตามธรรมชาติแล้วให้มีมากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยรักษาอาการป่วยของผู้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ดังนั้น การกินยากระตุ้นทางเพศเข้าไป จะทำให้ผู้ป่วยที่เครียดอยู่แล้วยิ่งเครียดมากขึ้น เพราะจะมีความต้องการทางเพศมากขึ้น แต่ร่างกายไม่ตอบสนอง ตามหลักการใช้ยาบำรุงของจีนคือ บำรุงพลัง บำรุงเลือด บำรุงหยิน บำรุงหยาง โดยผู้ป่วยที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ยาที่ใช้บำรุงทางเพศส่วนใหญ่จัดอยู่ในยาบำรุงหยาง ซึ่งมีทั้งในพืชและสัตว์ คนที่มีอาการขาดธาตุหยางคือ หน้าซีดขาวหรือเหลือง แขนขาเย็น อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หลั่งเร็ว ปวดหลัง ปวดหัวเข่า ปัสสาวะถี่ ส่วนผู้หญิงจะมีอาการมดลูกเย็นไม่ตั้งครรภ์ ในทางการแพทย์จีนแนะว่า ถ้าหากผู้ป่วยมีความต้องการทางเพศลดลงเมื่อใด ไม่ควรตกอกตกใจ อาการเหล่านี้สามารถรักษาได้ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และควรทำงานอดิเรกเพื่อผ่อนคลาย ตำราจีนยังได้เตือนผู้ที่ต้องการใช้ยาบำรุงพลังเพศด้วยว่า ต้อง รู้จักเลือกใช้ยาให้ถูกต้องตามโรคดังนี้ 1. อย่ากินอาหารหรือยาบำรุงทุกวัน 2. ระหว่างที่มีประจำเดือน สตรีไม่ควรใช้ยาบำรุง ถ้าต้องการใช้ควรใช้ก่อนหรือหลังมีประจำเดือน อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ 3. เนื่องจากยาบำรุงกำลังมีผลกระทบ ต่อการขับถ่ายปัสสาวะและเหงื่อมาก ผู้ที่เป็นหวัดหรือมีอาการท้องผูก ท้องร่วง และเหงื่อออกมากเกินไป ไม่ควรกินเด็ดขาด 4. ขนาดของอาหาร หรือยาบำรุงควรแตกต่างกันตามรูปร่างและอายุของผู้กิน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดควรให้แพทย์วัดชีพจร และตรวจสุขภาพร่างกายก่อนกินยาบำรุงใดๆ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น