++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2548

แผนผังชีวิต

วิธีเขียนแผนผังชีวิต

แผนผังชีวิต คือ เครื่องมือเพื่อการค้นพบตนเอง และยังเป็นเครื่องชี้นำไปสู่จุดประสงค์อันหลากหลายในชีวิต มันเป็นวิธีการที่จะร่างโครงสร้างอาณาเขต ติดตั้งป้ายตามพื้นที่ และสร้างความคุ้นเคยให้เกิดขึ้นกับทัศนียภาพแห่งชีวิต

แผนผังนี้ช่วยให้คุณสามารถเชื่อมทิศทางต่างๆเข้าด้วยกัน โดยตั้งจุดเชื่อมต่อเข้าระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และระดับความแตกต่างของความเป็นมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น จิตใจ ร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ มันจะช่วยให้คุณสามารถเพ่งความสนใจในรายละเอียดของบริเวณที่แน่ชัดในชีวิต ได้

แผนผังทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณรู้จักตัวเอง รวมไปถึงพลังความเข้มแข็ง ความอ่อนแอ และยังช่วยให้คุณสามารถวางแผนในอันที่จะปรับเปลี่ยนตรงจุดที่ต้องการได้อีก ด้วย

เพื่อให้แผนผังดังกล่าวสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างดียิ่ง คุณจำเป็นจะต้องพิจารณาระบบการเขียนแผนที่ ซึ่งมีเส้นทางเชื่อมโยงไปจนถึงจุดศูนย์กลางแห่งชีวิตคุณ และมีคำอธิบายไว้อย่างชัดเจน

มันเป็นระบบที่จอห์น เฮรอน ที่ปรึกษาคนสำคัญได้คิดขึ้น มันจะมีเส้นทางที่ถอยหลังเข้าสู่อดีต เชื่อมโยงประวัติความเป็นจริงในชีวิตมาจนถึงวันที่คุณจะต้องสร้างศักยภาพ ขึ้นเพื่ออนาคต

แผนผังชีวิตของคุณ

แผนผังแผ่นนี้จะนำมาใช้ในกรสำรวจชีวิตทั้งหมดหรือเฮพาะจุดใดจุดหนึ่งที่ คุณต้องการปรับปรุง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ก้าวหน้าและมีความต่อเนื่องดังนี้

การเดินทางในชีวิตของคุณ

1. ผมคือใคร?
2. ผมมาจากไหน?
3. ผมกำลังจะไปไหน?
4. อะไรคืออุปสรรคที่ขัดขวาง?
5. ผมจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร?
6. ผมต้องการความช่วยเหลือในเรื่องอะไรบ้าง?
7. เมื่อผมไปถึงจุดหมาย ถึงจุดหมายแล้วจะเป็นอย่างไร?

ซึ่งแต่ละคำถามนั้นจะบ่งบอกถึงทิศทางอันนำมาซึ่งความสำเร็จของแผนผังนี้ เช่น คำถามที่ว่า "ผมคือใคร?" ย่อมเกี่ยวข้องกับความเป็นตัวตนของคุณเอง มันชี้ไปยังทิศทางหลากหลายในชีวิตของคุณ และกับการที่คุณได้อุทิศพลังเพื่อมัน

"ผมมาจากไหน?" เป็นการแสวงหาประวัติของบรรพบุรุษที่บ่งชี้มายังชีงิตที่คุณดำรงอยู่ในทุกวันนี้

"ผมกำลังจะไปไหน?" เป็นคำถามที่มีความตั้งใจจะขยายศักยภาพ ให้แสงสว่างแก่ทิศทางและจุดหมายปลายทางในการดำเนินชีวิต มันยังเป็นสิ่งที่จำกัดเป้าหมายและสร้างสรรค์ภาพแห่งการชี้แนะแนวทางอีกด้วย

"อะไรคืออุปสรรคที่ขัดขวาง?" มันเป็นคำถามที่ทำให้คุณต้องมองสิ่งที่เข้ามากีดขวาง เป็นอุปสรรคที่ทำให้ความก้าวหน้าต้องสะดุดหยุดลง ทำให้ไม่สามารถเดินไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้

"ผมจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร?" เป็นคำถามที่ทำให้คุณต้องใช้ความพยายามที่จะสร้างบันไดให้ตนเองเดินขึ้นไปจน บรรลุถึงจุดหมายได้ มันเป็นแผนการที่แน่นอน ชัดเจน ซึ่งเข้ามาเป็นตัววางโครงสร้างให้คุณเดินไปตามเส้นทางอย่างมีเหตุผล

"ผมต้องการความช่วยเหลือในเรื่องอะไรบ้าง?" คำถามนี้เกี่ยวข้องกับการคิดหาลู่ทางการสนับสนุนช่วยเหลือที่จำเป็นใน ระหว่างการเดินทางนั้น

และมันยังบ่งบอกถึงความสามารถพิเศษที่คุณจะต้องพัฒนาให้ดีขึ้น รวมไปถึงความมีคุณสมบัติอันจำเป็นและผู้คนที่จะให้ความช่วยเหลือคุณด้วย

"เมื่อผมไปถึงจุดหมายแล้ว จะเป็นอย่างไร?" มันเป็นการสร้างภาพขึ้นในจินตนาการอย่างที่คุณต้องการให้ชีวิตเป็นเช่นนั้น เมื่อการเดินทางได้สิ้นสุดลง

ซึ่งมันจะช่วยให้คุณสามารถชี้ชัดในรายละเอียดประกอบด้วยภาพของจุดหมายที่ คุณต้องการไปให้ถึง มันจะปลุกเร้าอารมณ์ เร้าความรู้สึกและความปรารถนา ซึ่งวิธีนี้มันจะเสริมพลังกับความเคลื่อนไหวในการเตรียมตัวเพื่อลงมือ ปฏิบัติการ

ทดลองทำเดี๋ยวนี้

หยิบกระดาษเปล่าขึ้นมา 7 แผ่น พร้อมด้วยดินสอสี นั่งเงียบๆในท่าสบายๆที่สุด สูดลมหายใจลึกๆหลายๆครั้ง เมื่อระบายลมหายใจออกแต่ละครั้งนั้น ก็ให้มันพาเอาความตรึงเครียดไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจออกมาด้วย

หลังจากนั้นคุณก็ตั้งสมาธิให้มั่นอยู่กับขั้นตอนทั้ง 7 ของแผนที่ พิจารณาแต่ละคำถามสร้างภาพพจน์ให้เกิดขึ้น สัมผัสความรู้สึกหรือความคิดที่เกิดขึ้น ขณะที่คุณพิจารณาแต่ละคำถามนั้นอยู่

แต่ละคำถามควรจะใช้เวลาประมาณ ห้านาทีหลังจากนั้นก็เขียนหรือลากเส้นในสิ่งที่สังเกตเห็น ถ้าคุณไม่สามารถทำพร้อมกันได้ทั้งหมด จงทำแต่เฉพาะคำถามที่คิดว่าสำคัญที่สุด ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นทั้ง 7 คำถามนั้น

คุณได้ค้นพบอะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง.... คุณต้องการรู้กว่านั้นมากหรือไม่?

ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณสามารถจะขยายความแในแต่ละหน้ากระดาษโดยใช้คำแนะนำที่มีอยู่ต่อไปนี้ ผลที่เกิดตามมาจะช่วยให้คุณรู้จักตัวเองและมองเห็นทิศทางที่จะดำเนินชีวิต ต่อไป

* * *

เมื่อพิจารณาสถานะปัจจุบัน คุณย่อมต้องการมองให้เห็นว่า คุณมีความพอใจมากน้อยเพียงไรกับบริเวณต่างๆที่เป็นองค์ประกอบของชีวิต

สิ่งนี้จะเกี่ยวข้องไปถึงการวินิจฉัยว่า คุณมีความเคลื่อนไหวอย่างขยันขันแข็งและสม่ำเสมอ อยู่ในบริเวณอื่นอย่างไร

และคุณมีความพึงพอใจกับสถานการณ์ดังกล่าวหรือยังแสวงหาความเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นอยู่ต่อไป ขอให้อ่านต่อไป เพื่อที่คุณจะได้รับข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะการวินิจฉัยจากเรื่องนี้

* * *
คุณคือใคร?
* * *

เมื่อคุณได้รับฟงัคำถามที่ว่า "คุณคือใคร?" สิ่งที่คุณจะตอบก็คือ บอกชื่อให้ผู้ถามทราบ เพราะชื่อคือป้ายที่ติดไว้ในความเป็นตัวตนของคุณเอง แต่ถ้ามีการตั้งคำถามนั้นซ้ำ คุณก็จะให้คำตอบที่ลึกซึ้งลงไปกว่านั้น เช่น อาจจะบอกสัญชาติ บอกสถานะทางสังคม บอกหน้าที่การงาน หรือ สิ่งที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จด้วย

ทั้งหมดนี้อ้างถึงสภาพภายนอกความเป็นตัวของคุณ แต่ถ้าคำถามดังกล่าวยังถูกตั้งขึ้นต่อไป มันอาจจะทำให้คุณเริ่มเปิดเผยสภาพภายในของตัวตน เช่น ความเชื่อ, ความมีคุณค่า, สิ่งที่สนใจ , ความวิตกกังวล หรือไม่ก็อาจจะเป็นความทะเยอทะยานในชีวิต คำถามยังคงดำเนินต่อไป จนในที่สุดคุณก็หมดคำตอบที่อธิบายถึงความเป็นตัวของตนเองได้

แต่ว่านั้นเป็นเพียงสิ่งใกล้ที่สุดที่คุณจะนำมาใช้เป็นคำตอบได้เท่านั้น ซึ่งยังเป็นคำตอบที่ขัดแย้งกับการที่ว่า ... ตัวตนที่แท้จริงของคุณนั้นเป็นใคร เพราะคำตอบต่อคำถามนั้น มันยังมีความหมายลึกซึ้งเข้าไปถึงองค์ประกอบต่างๆ ที่รวมกันขึ้นเป็นตัวตนของคุณอีกด้วย ซึ่งการที่จะตอบคำถามนี้ให้ได้ จะต้องมีประสบการณ์อันทรงพลัง เป็นคำตอบที่หาสิ่งที่หาจะเข้าเชื่อมโยงเพื่อสื่อความเข้าใจได้ยากมาก

แต่ละคนก็อธิบายความเป็นตัวตนที่แตกต่างกันออกไป แม้แต่การแสดงออกก็ยังแตกต่างกันอีกด้วย บางคนก็โดยหน้าที่การงานหรือยานพาหนะที่ขับขี่อยู่ คนส่วนมากมักจะแสดงออกถึงความเป็นตัวตนด้วยองค์ประกอบภายนอก น้อยคนนักที่จะบ่งชี้ความเป็นตัวตนด้วยสภาพภายใน

แต่ทว่า ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบภายในนี้เอง ที่เกี่ยวข้องกับความรู้จักตนกับสามัญสำนึกแห่งตน สำหรับองค์ประกอบภายนอกนั้นคือ การสร้างภาพพจน์ให้เกิดขึ้นในสายตาผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นมองเห็นความเชื่อ, การประเมินในคุณค่า, ความปรารถนาและความต้องการของคุณเท่านั้น

* * *
รูปแบบเชื่อมโยง
* * *

วิธีหนึ่งที่จะเขียนขึ้นเป็นแผนผังเพื่อบอกให้รู้ว่าคุณมีความรู้เกี่ยว กับตัวเอง ทั้งสภาพภายในและสภาพทางสังคมภายนอกได้ ก็คือ เขียนเป็นรูปแบบที่มีการเชื่อมโยงขึ้น โดยเชื่อมต่อคำตอบที่เป็นไปได้เข้ากับคำถามที่อยู่ตรงกลาง

แต่ละคำตอบจะขยายความเข้าไปในจุดเล็กๆ อันเป็นแขนงย่อยต่อไป แบบฝึกหัดนี้สามารถนำไปใช้ในการประมวลแนวความคิดและพัฒนาการทำความรู้จักตัว ตนที่มีกาารติดต่อเชื่อมโยงกันอยู่ภายในระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ในชีวิตของคุณได้

จินตนาการชี้แนะแนวทาง

วิธีที่สองที่จะทำให้รู้จักตัวตนแท้จริงของคุณก็คือ ทดลองด้วยการสร้างภาพจินตนาการขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยหให้คุณรู้จักแวดวงภายในตนเองหรือภายใต้สำนึกได้

เพราะมันหมายถึงบทบาทที่แสดงอยู่ภายในหรือส่วนประกอบในความเป็นตัวตนที่ แสดงออกทั้งในขณะทำงานและหาความสำราญให้กับตัวเอง นอกจากนั้นมันก็ยังรวมไปถึงความเป็นนักวิจารณ์, ความเป็นคนช่างฝัน ความเป็นคนก้าวร้าว นิสัยที่ได้รับการอบรมปลูกฝัง, ความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่อีกด้วย

* * *
พิสูจน์ตัวเอง
* * *

การทำความรู้จักกับสถานภาพภายในของตัวคุณเองทำดังนี้

คุณเดินออกจากประตูบ้านในยามเช้า เดินไปตามเส้นทางที่เคยเดินอยู่เป็นประจำทุกวัน แล้วคุณก็สังเกตเห็นว่ามันมีเส้นทางสายใหม่ที่แยกไปทางด้านซ้ายมือ เมื่อคุณออกเดินทางไปตามเส้นทางสายนั้น มันก็พาคุณออกไปสู่ท้องทุ่งโล่งที่อาบไล้ด้วยแสงตะวัน เต็มไปด้วยสีสัน สรรพสำเนียง กลิ่นไอ และทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์

เส้นทางที่คุณเคยเดินอยู่นั้นพาคุณเข้าไปในราวป่า ซึ่งยิ่งคุณเดินลึกเข้าไปเพียงใดก็ยิ่งมืดครึ้มด้วยแสงแห่งตะวันชิงพลบมากเท่านั้น

ทั้งที่ยังอยู่ในระยะไกล คุณก็สามารถมองเห็นลานโล่งที่มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง เมื่อคุณเดินเข้าไปใกล้คุณก็เห็นป้ายติดไว้ตรงหน้าประตู คุณอ่านป้ายนั้นแล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน ใช้เวลาอยู่กับการสำรวจภายในบ้านหลังนั้นและพบปะผู้ที่อาศัยอยู่พักใหญ่

คุณสังเกตเห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ภายหลังจากที่คุณสำรวจบ้านเสร็จแล้ว จึงได้เดินกลับออกมาข้างนอกอีกครั้ง แล้วหันหน้าไปทางบ้านหลังนั้น คุณเห็นประตูที่เปิดออกเห็นผู้ที่อยู่อาศัยในนั้นเดินออกมา แต่ละคนเป็นฝ่ายที่เดินเข้ามาหาคุณบ้าง สังเกตว่า มันมีอะไรเกิดขึ้น และในตอนนั้นคุณมีความรู้สึกอย่างไร

เมื่อคุณได้ทำความรู้จักกับทุกคนแล้ว คุณจึงได้หันหลังเดินกลับ ผ่านราวป่าไปยังเส้นทางเดิม ใช้เวลารวบรวมความคิด ความรู้สึกทั้งมวล และสะท้อนให้เห็นภาพว่าคุณได้ค้นพบอะไรมาบ้าง

ใช้เวลาอีกเช่นกัน ในการเขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านพบลงไว้ มันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ถ้าจะตั้งสมมติฐานขึ้นว่า บ้านหลังนั้นคือสัญลักษณ์แห่งตัวตนของคุณ และผู้ที่อยู่อาศัยภายใน ก็คือ องค์ประกอบต่างๆที่อยู่ภายในตัวตนอังแท้จริงของคุณนั่นเอง

* คุณสร้าวความสัมพันธ์กับพวกเขาในลักษณะใด?
* พวกเขาจะพูดว่าอย่างไร?
* พวกเขาเป็นสิ่งที่คุณคุ้นเคยหรือไม่?
* บรรยากาศภายในบ้านเป็นอย่างไร?
* มีห้องมากน้อยเท่าไร มีองค์ประกอบใดที่ผิดปกติบ้างหรือไม่?
* ทั้งหมดนี้มันบอกอะไรเกี่ยวกับตัวคุณบ้าง และมันบอกให้ตัวคุณรู้ถึงความสัมพันธ์ที่คุณมีต่อองค์ประกอบภายในนั้นบ้าง หรือไม่ มีอะไรที่คุณอยากเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ้างหรือไม่?

คุณมาจากไหน?
* * *

การที่จะทำความรู้จักกับตัวเองนั้น หมายถึง คุณจะต้องทำความรู้จักกับประวัติชีวิต ซึ่งนั่นหมายถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ถ้าคุณเขียนแผนผังถึงเหตุการณ์อันสำคัญ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ หนทางเลือก และสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคุณ มันจะทำให้คุณเกิดแนวความคิด และทำให้รู้ได้ว่าคุณเป็นบุคคลที่ล้ำเลิศเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้อย่าง ไร

ทำแผนผังรากเหง้า
* *

การทำแผนผังประวัติแต่หนหลัง จะทำให้คุณได้ตระหนักว่า สิ่งที่คุณเป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น มันมิได้เกิดขึ้นด้วยเหตุบังเอิญ คุณได้ถูกสร้างขึ้นด้วยอิทธิพลอันหลากหลาย เพื่อที่ว่าเมื่อคุณเจริญวัยขึ้น คุณย่อมมีอิทธิพลในอันที่จะสร้างรูปแบบให้กับชีวิตของตนเอง

แผนผังนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจในมรดกที่ตกทอดมาแต่อดีต รวมทั้งพลังหลายและแต้มต่อความทุกข์และความสุข

หลักประการสำคัญหนึ่งในการทำสิ่งนี้อยู่ตรงที่ว่า คุณจะต้องไม่ทำมันขึ้นด้วยเจตนาจะหลีกเลี่ยงหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือประณามกล่าวโทษในความโชคดีหรือโชคร้ายของตนว่ามีสาเหตุมาจากผู้อื่น

ทั้งนี้ เพราะถ้าคุณมีความเข้าใจกับเรื่องราวในอดีตแล้ว มันจะเป็นประหนึ่งแสงสว่างที่ส่องลงมายังเส้นาทางแห่งชีวิตในอนาคต

* * *
ทดสอบตนเอง
* * *

หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ขีดเส้นกลาง เส้นระนาบนี้คือเส้นที่สมมติว่า เป็นเส้นทางเดินของเวลาจากจุดเริ่มต้นนับแต่ถือกำเนิดไปจนถึงจุดสุดท้ายแห่ง ชีวิต ส่วนเส้นหยักหรือเส้นแนวยืน สมมติให้เป็นความรู้สึกทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

คุณจะต้องเขียนเส้นความรู้สึกในทางบวกไว้เหนือเส้นแนวนอน ส่วนความรู้สึกในด้านลบอยู่ในระดับต่ำ

หลังจากนั้นคุณก็เขียนเหตุการณ์สำคัญกับช่วงเวลาในชีวิต เรียงลำดับของกาล/ภาพในลักษณะที่ข้องเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของคุณ

สังเกตความเปลี่ยนแปลงในความเป็นอยู่ ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร มันทำให้คุณมีทัศนคติหรือเจตนารมณ์สนองตอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร ทุกวันนี้ มันยังเป็นประโยชน์ต่อคุณอยู่หรือจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลง

คุณอาจต้องการให้เพื่อนสักคนได้มามีส่วนร่วมในการตั้งข้อสังเกตครั้งนี้ ด้วย เพื่อสร้างความกระจ่างชัดให้มากขึ้น และทำให้มันเป็นสิ่งมีชีวิตจิตใจยิ่งขึ้น การเปิดเผยตัวเอง หรือการได้พูดถึงตัวเอง หรือการที่ได้พูดถึงตัวเองให้ใครบางคนที่พร้อมจะรับฟังได้ทราบไว้ เป็นหนึ่งในวิธีดีที่สุดจะทำให้คุณรู้จักตนเองมากขึ้น

การตั้งข้อสังเกตของเขาและการสนองตอบกลับมาย่อมเป็นสิ่งที่มีค่าด้วยเช่น กัน และประสบการณ์จากการที่เขาได้เข้ามามีส่วนรับรู้ในเรื่องนี้ จะทำให้สัมพันธภาพระหว่างคุณกับเขาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

* * *
ค้นหารากเหง้า
* * *

การทำความเข้าใจกับภูมิหลังของตนเอง จะช่วยให้คุณสบายใจกับการตัดสินใจและหนทางเลือกต่างๆที่คุณได้กระทำลงไป

ทำแผนที่อิทธิพลของรูปแบบชี้ชัดในความสำคัญของมัน หรือเชื่อมโยงเข้ากับประสบการณ์ในชีวิต จะช่วยให้คุณค้นพบว่าตัวตนที่แท้จริงของคุณเป็นอย่างไร แตกต่างจากบุคคลที่คนอื่นอยากให้เป็นมากน้อยแค่ไหน

การกระทำตนให้เป็นคนอิสระ หมายถึง แยกตัวเองมาจากประวัติเหล่านั้นแล้วหาตัวตนใหม่ให้พบ แต่ประวัติที่ดีออกจะทำให้คุณเกิดความลังเลที่จะแยกตัวออกมา เป็นไปได้ที่จะทำให้คุณเกิดความรู้สึกว่า ขาดสิ่งสนับสนุนค้ำจุนอยู่เบื้องหลัง

แต่การแยกตัวออกมาจากประวัติทั้งที่ยังรักอยู่เช่นนี้เป็นสิ่งจำเป็น และจะทำให้คุณรู้จักตัวเองมากขึ้น

* * *
บทแห่งชีวิต
* * *

บทในที่นี้ หมายถึง สคริ๊ป แม้มันจะดูคล้ายกับว่า เมื่อครั้งยังเด็กมิได้มีการควบคุมหรือใช้อิทธิพลต่อสิ่งที่เลือกสรรเพื่อ ตัวอย่างแน่นอนเท่าใดนัก การตัดสินใจดังกล่าวอาจเป็นประโยชน์ในวัยนั้น แต่เมื่อมาถึงวัยนี้มันอาจจะกลายเป็นอุปสรรคไปแล้วก็ได้

คุณจะต้องทำความรู้จักกับลักษณะการตัดสินใจในวัยเด็ก ซึ่งหมายรวมถึง เจตนารมณ์และความศรัทธาเชื่อมั่นด้วย มันจะช่วยให้คุณบังเกิดความระมัดระวังพฤติกรรมในวัยนี้

การตัดสินใจต่างๆเหล่านี้ บางครั้งเราเรียกว่า "บทหรือสคริพชีวิต" บางครั้งอาจจะเรียกว่า รากฐาน ซึ่งมันเป็นปริมณฑลของสามัญสำนึก จะคงอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะถึงวันที่คุณมองเห็นมัน มันสามารถเป็นตัวสร้างพลังอำนาจหรืออาจจะบ่อนทำลายลงได้ ขณะเดียวกันก็อาจจะปรับตัวให้ชีวิตในวัยเยาว์กับความเป็นผู้ใหญ่มีความสมดุล ได้ระดับอยู่เสมอ

บทชีวิตนี้ควรจะได้รับการประเมินทบทวน และเสริมสร้างด้วยสคริ๊พที่มีความถาวรกว่า ถ้าคุณต้องการให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งขึ้นไว้

* *
ทดลองทำเดี๋ยวนี้
* *

เขียนรูปแบบที่แตกกิ่งก้านสาขาออกโดยรอบคำถามที่ว่า "ผมมาจากไหน" ให้ผู้ที่คุ้นเคยกับคุณช่วยเขียนเหตุการณ์สำคัญต่างๆ รวมทั้งการตัดสินใจเข้ามาเชื่อมต่อศูนย์กลางนั้นตามความเหมาะสม

ขณะเดียวกันก็ควรเขียนเส้นโยงใยถึงเหตุการณ์หรือประสบการณ์ต่างๆลงไว้ ด้วย พยายามปลุกเร้าความรู้สึก พิจารณาลึกลงไปถึงข้อมูลรายละเอียดต่างๆของเหตุการณณ์ที่เคยประสบมาเหล่า นั้น ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน ซึ่งวิธีการนี้ยังจะช่วยพัฒนาความทรงจำของคุณเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น ได้ด้วย ให้เวลากับการคิดหาคำถามมาบรรยายถึงความรู้สึกที่คุณมีต่อเหตุการณ์นั้นๆ แล้วใส่ลงตรงที่มีเส้นโยงใยไปถึง

แล้วลองรับฟังการสนองตอบที่จะเกิดตามมา ลองสังเกตดูว่าตอนนั้นคุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นหรือเป็นอุปสรรคก็ตาม

จุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ ก็เพื่อชำระล้างสิ่งที่คุณยังทำไม่สำเร็จ ยังค้าคาอยู่กับชีวิตในอดีต เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สามารถปิดประเด็นลงได้ เพื่อที่ความตั้งใจใหม่จะได้มีอิสระ และปฏิบัติไปตามความคิดใหม่ที่ได้กำหนดขึ้น และชีวิตของคุณก็จะได้ดำเนินต่อไป

* * *
คุณกำลังจะไปไหน
* * *

เมื่อคุณรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และกำลังออกเดินทางต่อไปแล้ว คุณย่อมต้องการรู้ว่า ตนเองกำลังมุ่งหน้าเดินไปสู่ทิศทางใด มีคนเป็นจำนวนมากที่เริ่มออกเดินทางไปในหลายทิศทางพร้อมๆกัน หรือไม่ก็มีความรู้สึกว่า พลังกายของตนถูกแย่งไปในหลายทิศทางดังกล่าว ซึ่งทำให้หาความก้าวหน้าให้กับตนเองเป็นไปได้ยาก

การค้นหาให้พบทิศทางที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จะทำให้เวลาในชีวิตของคุณมีค่า นอกจากนั้นมันยังแก้ไขปัญหา ความขัดแย้ง ความต้องการ หรือไม่ก็แรงกระทบที่ได้รับมาจากภายนอก และยังทำให้คุณสามารถสังเคราะห์หรือนำประสบการณ์ต่างๆเหล่านั้นมารวมกันเข้า เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าขึ้น

ดังนั้น มันจึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่ง ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องมองให้เห็นภาพแห่งจุดหมายปลายทางในชีวิตของตน

* * *
สร้างทางเลือก
* * *

ทางเลือกใดที่เกิดขึ้น ย่อมหมายถึงว่า คุณละวางทางเลือกอื่นๆแล้ว บางครั้ง เมื่อคุณเดินมาถึงทางแยกของชีวิต คุณอาจจะเกิดความลังเลตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเดินไปทางไหนดี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคุณอยากเปิดโอกาสในทางเลือกให้กับตัวเองให้กว้างไว้ แต่ผลที่จะเกิดตามมาก็คือ มันจะทำให้คุณหยุดชะงักอยู่กับที่ ไม่มีความก้าวหน้าที่หวังไว้เกิดตามมา

คนเรานั้นย่อมจะต้องพบกับทางแยกในชีวิตมากมาย ซึ่งหมายรวมไปถึงบทบาทการดำเนินชีวิต และความเปลี่ยนแปลงไปสู่อีกรูปแบบหนึ่งด้วย

มันคือเวลาที่คุณจะต้องนำไปใช้ในการพิจารณาการประเมินคุณค่าการเชื่อมโยง อีกครั้ง กับภาพในจินตนาการที่คุณสร้างขึ้น เพื่อเป็นการชี้แนะแนวทาง เลยไปถึงการดำเนินชีวิตและแผนการในชีวิตการทำงานด้วย

เมื่อคุณได้เรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง หรือตัดสินใจได้ว่าจะเดินไปทางไหนแล้ว ซึ่งแน่นอนที่มันจะต้องประกอบด้วยการรู้จักตนเอง มันจะไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะละวางทางเลือกอื่นๆลง การที่คุณเกิดความหวั่นเกรงที่จะละวางทางเลือกที่มองเห็นอยู่ว่า มันเป็นสิ่งที่มีค่านั้น อาจจะเป็นเพราะคุณยังไม่แน่ใจว่าตนเองจะเดินทางไปทางไหนก็ได้

การที่จะรู้ว่าตนเองกำลังจะเดินไปทางไหนนั้น จำเป็นจะต้องรู้เสียก่อนว่า ขณะนี้คุณกำลังยืนอยู่ตรงจุดไหน ถ้าคุณสามารถสร้างความกระจ่างกับตนเองในเรื่องสถานะปัจจุบันแล้ว อย่างน้อยมันก็จะช่วยให้คุณรู้ได้ว่าทิศทางที่กำลังจะมุ่งหน้าไปนั้นคืออะไร

และบางทีคุณอาจจะได้พบว่า มันไม่ใช่จุดหมายที่คุณคิดว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าเดินมาเลย มันอาจไม่ใช่จุดที่คุณต้องการจะไปให้ถึงก็ได้

* *
ทำแผนผังพัฒนาการของตัวเอง
* *

เพื่อเป็นการทำแผนผังพัฒนาการของตนเองขึ้นไว้ คุณหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็เขียนหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตของตนเองลงด้านหนึ่งของหน้ากระดาษ

ในแต่ละจุดของชีวิตนั้น เขียนลงไปด้วยว่า คุณมีความตั้งใจในเรื่องดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน และเขียนขยายความว่า คุณมีความสุขในจุดดังกล่าวนั้นบ้างหรือไม่ หลังจากนั้นก็ให้คำตอบกับตนเอง

ในที่สุดคุณจะต้องกำหนดลงไปให้แน่ชัดว่า ถ้าจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว คุณอยากจะให้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวออกมาในรูปใด คุณอาจจะใช้วิธีจัดกลุ่มบทบาทในชีวิตเข้าด้วยกัน และพิจารณาว่าบทบาทต่างๆเหล่านั้น ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะว่าสิ่งนี้จะเปิดเผยให้คุณได้เห็นถึงความเฉื่อยชา หยุดอยู่กับที่ หรือ ความก้าวหน้าใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตต่อไปได้

สุขภาพ - (ความกระฉับกระเฉง, ความเฉื่อยชา, ความพอใจ, ความไม่พอใจ, เปลี่ยนแปลง (หรือ) ปรับปรุง, ความปรารถนา

การศึกษา - (ความกระฉับกระเฉง, ความเฉื่อยชา, ความพอใจ, ความไม่พอใจ, เปลี่ยนแปลง (หรือ) ปรับปรุง, ความปรารถนา

* *
ทำแผนผังการใช้จ่ายพลัง (กาย)
* *

การทำแผนผังเกี่ยวกับการใช้จ่ายพลังกายนั้น คุณจะต้องชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนและถูกต้องตรงต่อความจริงที่สุด ว่าในแต่ละส่วนของชีวิตนั้นคุณได้แจกจ่ายเวลาออกไปอย่างไรบ้าง

วิธีนี้จะทำให้คุณมองเห็นส่วนที่ดึงดูดพลังกายไปจากคุณจนหมดสิ้น และส่วนที่ช่วยให้คุณมีพลังกายเพิ่มขึ้นได้

เมื่อคุณทำแผนผังอันแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทำขึ้นมาอีกแผ่นหนึ่ง คราวนี้แสดงให้เห็นว่า คุณต้องการแจกจ่ายเวลาลงตรงส่วนไหนอย่างไร

วิธีนี้จะช่วยให้คุณเน้นในความต้องการที่จะตรวจสอบการทุ่มเทพลังลงตาม ความสำคัญของลำดับก่อนหลังที่จัดขึ้นไว้ ขณะเดียวกันมันก็ยังจะชี้ให้คุณเห็นได้ด้วยว่า ถ้าจะขยายส่วนหนึ่งแล้ว ควรจะต้องตัดส่วนไหนลง

* *
ทดลองทำเดี๋ยวนี้
* *

สร้างแผนภาพที่แยกแขนงขึ้นเพื่อหาคำตอบให้กับคำถามที่ว่า "ผมกำลังจะไปไหน?" จดบันทึกข้อมูลในแขนงต่างๆ ที่ชี้ชัดถึงอาชีพ วิชาชีพ หรือแรงบันดาลใจ

ซึ่งสิ่งนี้อาจจะรวมถึงโอกาสต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา สัญลักษณ์ในวัยเด็ก ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของความใฝ่ฝันในเทพนิยาย หรือประวัติบุคคลสำคัญ และการบันทึกถึงสิ่งที่สร้างความปลาบปลื้มยินดีเสริมสร้างพลังให้เกิดขึ้น กับคุณไว้ด้วย

โยงรูปแบบของแผนภาพให้เชื่อมต่อเข้ากับงานอื่นที่ทำอยู่และที่มันยังคง ความสำคัญสำหรับชีวิตคุณ แลัวพิจารณาว่ามันมีหัวข้อใดหรือทิศทางใดที่ปรากฏขึ้นให้เห็นได้บ้าง

ไม่ว่าคุณจะได้พบกับคำตอบนั้นหรือจะต้องเสาะแสวงหาแต่ละทางเลือกก็ตาม สิ่งที่จำเป็นจะต้องทำตามคือ

1. ประเมินค่าของทางเลือกดังกล่าว
2. ชั่งน้ำหนักในผลได้ผลเสีย
3. ชี้ชัดในความเกี่ยวพัน
4. ตรวจระดับแรงผลักดันที่เกี่ยวโยงไปถึงความสำเร็จตามเป้าหมาย

ถ้าคุณพบว่ามันมีทิศทางเกิดอยู่อย่างมากมาย คุณย่อมจะต้องพิจารณาต่อไปด้วยว่ามันมความเชื่อมโยงระหว่างประเด็นหนึ่งอย่างไร

คุณอาจจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังขึ้น และละทิ้งในบางประเด็นที่ไม่สำคัญไปเสีย

* *
อะไรเป็นอุปสรรคที่ขัดขวาง
* *

การที่คนเราจะต้องตัดสินใจเลือกในสิ่งต่างๆนั้น แน่นอนที่จะต้องพบกับอุปสรรคมากมาย และจำเป็นที่จะต้องแก้ไขอุปสรรคเหล่านั้นในขณะที่ตกอยู่ในสภาพที่ถูกบีบ บังคับให้ก้าวหน้าต่อไปพร้อมกันอีกด้วย

ซึ่งสิ่งนี้อาจจะเป็นมรดกจากการกระทำในอดีต หรืออาจจะเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นถึงเส้นทางในการดำเนินชีวิตที่มิได้ราบ รื่น อุปสรรคเหล่านี้ก็มีทั้งที่เห็นได้อย่างชัดแจ้ง และเกิดขึ้นทั้งที่รู้ หรือไม่ก็อาจจะเคลือบคลุมและเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวได้

การที่เราจะมองให้เห็นอุปสรรคดังกล่าวด้วยสามัญสำนึกนั้น เราจะต้องเลือกวิธีที่จะจัดการกับมัน บางคนใช้วิธีรุนแรง บางคนใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบฉลาดแกมโกง บางคนใช้วิธีเดินอ้อม แต่บางคนก็พยายามหลีกเลี่ยง ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่สร้างความลำบากยากเย็นให้เกิดขึ้น สามารถประเมินหรือวัดได้จากความเคลื่อนไหวด้วยแรงผลักดัน ความชำนาญพิเศษที่คุณมีอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วคุณย่อมมิได้เดินอยู่บนเส้นทางในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง

บางคนอาจจะมีความรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องง่ายที่จะมองให้เห็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับตน แต่บางคนก็มิได้เป็นเช่นนั้น บางคนคิดว่าตนเองรู้ แต่ความจริงแล้วมิได้รู้เลย แต่กระนั้นก็ยังมีบางคนที่รู้จักอุปสรรคนั้นอย่างดีเพียงแต่มิได้ตระหนักว่า มันเป็นอุปสรรคเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ยังมีบางคนที่มองเห็นอย่างคลุมเครือ ไม่สามารถบ่งชี้ออกมาได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์หรือโทษแก่ตนอย่างไรหรือไม่

* *
สำรวจอุปสรรค
* *

การทำแผนที่ภาพที่ชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคที่ขัดขวางคุณไว้ในรูปแบบของปัญหา จะช่วยได้อย่างมาก เมื่อคุณอยู่ในฐานะที่ตระหนักว่าอุปสรรคนั้นคืออะไร หรือไม่ก็อาจชี้ชัดให้คุณมองเห็นปัญหาได้

อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งที่เราได้พบว่า คุณอาจไม่สามารถทำในสิ่งนี้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณเกิดความอับจนปัญญา หรือไม่ก็เพียงสัมผัสความรู้สึกอย่างคลุมเครือว่ามันมีอุปสรรคเกิดขึ้นอยู่ เพียงแต่คุณยังมองไม่เห็นวิธีที่จะชี้ให้แน่ชัดลงไปว่ามันเกิดอยู่ตรงไหน และนำมันออกมาพิจารณาหาความรู้ได้

* *
ทดลองทำเดี๋ยวนี้
* *

วิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้คุณรู้ถึงปัญหาหรืออุปสรรคก็คือ รับฟังการแสดงความคิดเห็นของผู้ที่สติปัญญาระดับเดียวกัน

การเขีนแผนภาพดังกล่าว จะช่วยให้คุณมองเห็นความเกี่ยวพันระหว่างอุปสรรคต่างๆที่กีดขวางความก้าวหน้าของคุณไว้

เพราะฉะนั้นจึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องระบุให้ชัดเจนที่สุดเท่า ที่จะทำได้ หลังจากนั้นถ้าคุณสามารถให้อุปสรรคออกมาในรูปของปัญหา คุณก็ย่อมสามารถจะเอาวงจรของวิธีการแก้ไขปัญหาเข้ามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นด้วยปัญหาความขัดแย้งทางด้านทัศนคติส่วนบุคคลนั้น เป็นความยุ่งยากที่คล้ายคลึงกับปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ที่คุณเคยผ่านพบมาแล้ว คุณอาจจะรู้หรือไม่รู้ว่าอะไรคือต้นเหตุแห่งปัญหานั้นก็ได้ ขณะเดียวกันคุณก็อาจจะไม่รู้ว่าจะนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อความเชื่อ มั่นศรัทธาและพฤติกรรมของคุณได้อย่างไร

* *
ทดสอบตนเอง
* *

จงนั่งหันหน้าเข้าหาผนังห้อง สมมติว่าผนังห้องคืออุปสรรคที่คุณกำลังเผชิญอยู่ (ควรจะหลับตาลงเพื่อสร้างมโนภาพด้วย ถ้าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ช่วยได้ดีขึ้น) แล้วลองพิจารณาว่าคุณสามารถสร้างภาพอุปสรรคนั้นขึ้นในจิตใจได้หรือไม่

ถามตัวเองว่า อุปสรรคนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น มองให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่มีรูปร่าง สีสัน ขนาด และองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย ให้เวลาตัวคุณเองสำหรับการสำรวจมันอย่างถ้วนถี่เท่าที่ทำได้

อุปสรรคนั้นเป็นบุคคล เป็นวัตถุ หรือว่าเป็นแนวความคิด พิจารณาถึงความคิด ความรู้สึก และทัศนคติที่เกิดขึ้นขณะเผชิญปัญหาที่เป็นอุปสรรคดังกล่าว

ต่อมา คุณทำตัวเป็นอุปสรรคเสียเอง หันหลังพิงผนังห้องหันหน้าสู่เก้าอี้แล้วลองดูสิว่า การทำตัวเองเป็นอุปสรรคเช่นนี้มันเป็นอย่างไร คุณมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร คุณมีทัศนคติต่อคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าอย่างไร คุณชอบหรือไม่ชอบบุคคลผู้นั้น ในฐานะที่เป็นอุปสรรค คุณควรจะเอ่ยถึงจุดประสงค์ในการดำรงชีวิตออกมา

เมื่อคุณได้ใช้เวลากับการสำรวจอุปสรรคจากความรู้สึกนึกคิดภายในแล้ว คุณจะต้องเริ่มพูดกับตัวเอง (เก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่ตรงหน้า) ว่าสิ่งที่อุปสรรคต้องการพูดออกมาคืออะไร มันอยากให้คุณเดินให้ช้าลง หรือบอกว่าไม่ให้เดินไปในทิศทางที่เลือกไว้บ้างหรือเปล่า?

คุณจะต้องปล่อยให้อุปสรรคสื่อความเข้าใจออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมาก ได้หลังจากนั้นก็กลับมาเป็นตัวของคุณเอง ปรับเปลี่ยนกลับมาเป็นเก้าอี้ให้ได้ แล้วเริ่มตอบคำถามคำตอบระหว่างผนังห้องกับเก้าอี้อยู่ตลอดเวลา ให้แต่ละฝ่ายได้เสนอข้อเรียกร้องของตนเองออกมา ซึ่งก็ต้องมีความพอใจและไม่พอใจ

แล้วลองพิจารณาต่อไปว่า มันจะสามารถเจรจาต่อรองเพื่อให้บรรลุข้อตกลงตามความประสงค์ของทั้งสองฝ่าย และช่วยให้อุปสรรรคหายไปได้อย่างไร

ถ้าอุปสรรคดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง คุณอาจจะพบว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ถ้าคุณจะให้ตัวอุปสรรคนั้นได้พูดกับบุคคลที่มีความสำคัญในชีวิต เช่น คู่ครอง หรือลูก

แล้วคุณจะพบว่า ผลที่เกิดตามมานั้นเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง มันจะทำให้เกิดแสงสว่างและยังสร้างสรรค์ หนทางในการแก้ปัญหาให้คุณได้อีกด้วย

* *
คุณจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร
* *

มีการตัดสินใจที่ดีมากมาย ที่แม้จะมีการวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพไว้ แต่ก็ยังมิได้บรรลุผลสมความปรารถนา บางคนนั้นเมื่อเกิดความคิดก็ลงมือทำไปเลย แต่แล้วก็ต้องพบกับการที่ได้ตระหนักว่า ความม่งมั่นของตนเองยิ่งใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก เขาอาจจะพบว่าตนเองไม่มีทั้งเวลา พลังกาย หรือแรงผลักดันที่เข้ามาเป็นเครื่องมือส่งเสริมการตัดสินใจในครั้งนี้ได้

สิ่งที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือ จะต้องวางแผนด้วยความรอบคอบระมัดระวัง

ประการแรก คุณจะต้องรู้อย่างแน่ชัดว่า คุณจะออกเดินทางจากจุดยืนอยู่ไปยังจุดที่ตัดสินใจว่าจะต้องเดินไปให้ถึงได้ด้วยวิธีใด

ประการที่สอง แผนการที่คุณวางขึ้นไว้นั้นอาจจำเป็นต้องแบ่งออกเป็นขั้นตอน

ประการที่สาม จะต้องมีการจัดระเบียบให้กับขั้นตอนดังกล่าว เพื่อให้เกิดผลที่สามรถดำเนินการต่อไปได้ การกระทำแต่ละขั้นตอนจะต้องมีการกำหนดเวลาควบคู่กันไว้ด้วย หลังจากนั้นแล้วคุณยังจำเป็นจะต้องหาข้อมูลว่าอะไรจะเป็นสิ่งช่วยให้คุณก้าว ไปสู่จุดหมายนั้น

* *
การวิเคราะห์สนามแห่งพลัง
* *

หลักสูตรที่ว่าต้องการทำแผนภาพ วิธีการที่จะไปให้ถึงจุดหมายที่คุณต้องการไปนั้นได้รับการสรรค์สร้างขึ้น โดยเคิร์ท เลวิน นักสังคมศาสตร์ โดยตั้งสมมติฐานขึ้นว่าคุณอยู่ในสภาพที่สมดุล ซึ่งความสมดุลที่ก่อให้เกิดความมั่นคงดังกล่าวนั้นถูกยึดเหนี่ยวไว้ด้วยทั้ง แรงผลักและแรงดัน

การวิเคราะห์สนามพลัง จะช่วยให้คุณเขียนแผนภาพของพลังที่ทั้งผลักและดัน ความเปลี่ยนแปลงที่คุณต้องการสร้างให้เกิดขึ้น

โดยกำหนดให้ตัวคุณเองเป็นเส้นขวางแนวนอน ส่วนความสูงต่ำของเส้น ในแนวตั้งนั้นกำลังแรงของพลังที่มีอยู่ในสนาม

ทางเลือกที่จะทำให้คุณสามารถเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อการปรับเปลี่ยนตามความต้องการมีดังนี้

1. เพิ่มพลังของความเปลี่ยนแปลง (แรงผลัก)
2. ลดพลังที่ต่อต้าน (แรงดัน)
3. จะต้องทำทั้งสองสิ่งนั้นในเวลาเดียวกัน
4. สร้างพลังใหม่ให้เกิดขึ้นเพื่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
5. ลดพลังต่อต้านลง บางครั้งแรงกดันที่เกิดอยู่ในใจคุณนั่นเองเป็นแรงต่อต้าน

* *
ทดลองทำเดี๋ยวนี้
* *

เขียนแผนภาพแสดงให้เห็นการเชื่อมโยงกับคำถามที่ว่า .. ผมจะไปถึงทั่นั่นได้อย่างไร ? .... แสดงขั้นตอนที่เป็นไปได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะขั้นตอนที่จะทำให้คุณก้าวไปสู่จุดหมายที่ตั้งขึ้นไว้ได้ แม้มันจะดูเป็นเรื่องเพื่อฝันหรือไม่ตรงต่อความเป็นจริงไปบ้าง แต่เป็นเรื่องที่เราจะเอาไว้พูดกันต่อไปภายหลัง

อย่างไรก็ตาม คุณควรจะเชื่อมโยงความมีอารมณ์ขันหรือข้อแนะนำที่ไร้เหตุผลนี้เข้าไว้ เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวความมุ่งหวังตั้งใจในอันที่จะแก้ปัญหา อย่างมีประสิทธิภาพได้

หลังจากนั้นคุณจึงนำทางออกต่างๆ เหล่านี้มีประเมินคุณค่าดู ซึ่งจะต้องมีการชั่งน้ำหนักทั้งข้อมูลที่มันบีบบังคับอยู่ เพื่อที่จะทำให้ตัดสินใจได้ว่าอะไรคือหนทางในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

และในที่สุดคุณจะได้พบว่า ทางออกที่คุณเลือกให้กับตัวเองนั้น มันมีขอบเขตของหนทางในการแก้ปัญหาจากแง่มุมต่างๆเข้ามารวมอยู่ด้วย

* *
ผมต้องการความช่วยเหลืออะไรเพื่อไปให้ถึงที่นั่นบ้าง?
* *

เมื่อใดก็ตามที่คุณรับงานใหม่หรือโครงการใไม่ คุณย่อมต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง พร้อมจะหยิบฉวยมาใช้ได้อย่างทันท่วงที เพราะถ้าคุณไม่มีความรู้ในเรื่องที่สำคัญแล้ว มันอาจสร้างความวิบัติให้กับชีวิตและการทำงานของคุณได้ มันอาจหมายถึงคณต้องยกเลิกโครงการทั้งหมด หรือถ้าไม่รุนแรงถึงขั้นนั้นมันก็ยังทำให้งานล่าช้ากว่าที่ควรเป็นอยู่ดี

เพราะฉะนั้น คุณควรจะสร้างแผนภาพข้อมูลที่ต้องการหรือจำเป็นขึ้น ซึ่งแผนภาพดังกล่าวมันจะต้องสมบูรณ์แบบ คือ หยิบใช้ได้เมื่อเริ่มต้นการทำงานได้ทุกเมื่อ ข้อมูลที่อยู่ในข่ายรายการพิจารณาสำคัญ มีอยู่สามประการ คือ

* เกี่ยวกับส่วนบุคคล
* เกี่ยวกับผู้คน
* เกี่ยวกับวัตถุดิบ

* *
ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนบุคคล
* *

ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่คุณมีอยู่ในปัจจุบัน สามารถบ่งชี้ได้ในบางรูปแบบของการประเมินคุณค่า ซึ่งขอบข่ายของมันมีตั้งแต่ความรู้เกี่ยวกับตัวเองที่มีอยู่ ความรู้ที่ได้รับมาจากเพื่อนสนิทหรือเพื่อนร่วมงาน ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะเป็นความรู้จากจิตแพทย์และการทดสอบเกี่ยวกับด้านการ ศึกษา เป็นต้น

ข้อมูลดังกล่าว จำเป็นต้องทำขึ้นหลายลักษณะ รวมทั้งคุณสมบัติส่วนตน ความรู้ความสามารถพิเศษ ทัศนคติและความเชื่อถือศรัทธา และต้องขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงที่คุณกำลังแสวงหาด้วย

คุณยังจะต้องเปรียบเทียบข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองกับบุคคลบางคนที่จำเป็น ถ้าคุณหวังที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย และยังรักษาระดับความพอใจไว้ได้เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว

ซึ่งการเปรียบเทียบดังกล่าวจะช่วยให้คุณเห็นข้อมูลสำคัญที่ต้องการจะนำมา ปรับปรุงตัวเอง เพื่อพัฒนาคุณสมบัติให้ดีขึ้นก่อนที่จะเริ่มลงมือ หรือบุคคลที่คุณยังจะต้องทำงานร่วมกับเขาต่อไป

* *
ข้อมูลเกี่ยวกับผู้คน
* *

คุณจะต้องแน่ใจว่ามีข้อมูลมากพอที่จะสนับสนุนตนเอง โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าคุณต้องการให้ตนเองได้พบกับโอกสแห่งความสำเร็จ

ในที่ทำงานนั้น คุณอาจจะได้พบกับผู้ร่วมงานที่สูงวัยและสูงด้วยประสบการณ์ ซึ่งคุณรู้สึกประทับใจในตัวเขามาก บุคคลแบบนี้ย่อมสามรถเป็นที่ปรึกษาหรือผู้ช่วยแนะแนวทางให้กับคุณได้ คุณอาจจะได้พบกับเพื่อนร่วมงานผู้สามารถให้ข้อมูลอันเป็นผลที่สะท้อนกลับมา ได้ หรือคุณอาจจะได้พบเพื่อนผู้พร้อมจะรับฟังปัญหาของคุณ และยังเป็นผู้แสดงความคิดเห็นที่ทำให้คุณเกิดปัญญาและนำไปสู่ความก้าวหน้า ได้

เมื่ออยู่ที่บ้าน คุณย่อมต้องการความร่วมมือและการสนับสนุนจากครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณกำลังริเริ่มโครงการใหญ่ ซึ่งพวกเขาจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ซึ่งมันหมายความว่าพวกเขาจะไม่ใคร่ได้เห็นหน้าตาคุณบ่อยเหมือนเวลาปกติ ธรรมดา และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น เขายินดีที่จะรับภระทำงานจิปาถะต่างๆ แทนคุณด้วย หรือก็ยังอาจจะเป็นเพื่อนของคุณได้ด้วย

นอกเหนือจากในสถานที่ทำงานและที่บ้านแล้ว ก็ยังเป็นไปได้ที่คุณจะต้องพบปะกับผู้คนที่สามารถจะให้ข้อมูลอันเป็น ประโยชน์รวมไปถึงความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ คุณอาจจะเข้าร่วมกลุ่มผู้สนับสนุนและสร้างข่ายงานขึ้นร่วมกับบุคคลที่มีความ คิดเห็นคล้ายคลึงกัน

คุณอาจจะเข้ารับการอบรมกับกลุ่มพัฒนาตนเองกลุ่มที่ปรึกษา หรือหาความรู้เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอะไรก็ตาม

แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ คุณจะต้องแน่ใจว่า คุณได้ทำงานร่วมกันกับบุคคลที่คุณมีความสนใจในตัวเขาอย่างจริงจัง เขาจะไม่เข้ามาขัดขวางในสิ่งที่คุณไม่ต้องการทำ และจะไม่ยึดครองอำนาจไปเสียหมดคนเดียว

ขณะเดียวกันคุณจะต้องแน่ใจด้วยว่า เขาเป็นบุคคลประเภทเอาใจเขามาใส่ใจเรา และมีความรักใคร่ในตัวคุณไม่น้อยไปกว่า พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณเมื่อคราวจำเป็น

แต่ในบางครั้งคุณก็จำเป็นที่จะต้องพบกับบุคคลที่คุณไม่เคยชอบหน้าเขามา ก่อน เพียงเพื่อจะเรียนรู้ว่า คุณค่าที่แท้จริงของตัวเองนั้น เป็นอย่างไร

* *
ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุ
* *

ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุนี้ มีตั้งแต่เรื่องเงิน เรื่องชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่สำคัญและโอกาสที่จะพัฒนาและทดลองในวิธีการแนวใหม่

ซึ่งความพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆนั้นย่อมมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูง มันอาจจะออกมาในรูปของการลงทุนสูง มันอาจจะออกมาในรูปของการลงทุนด้วยเงิน ด้วยเวลา เรื่องของตัวบุคคล แผนกงาน ไปจนกระทั่งวัตถุดิบ ซึ่งค่าใช้จ่ายในสิ่งต่างๆเหล่านี้ ถ้าจะทำให้คุณเห็นศักยภาพส่วนบุคคลของตนเองแล้ว มันอาจจะสร้างความแปลกใจให้เกิดขึ้นได้อย่างมากทีเดียว

ก่อนที่คุณจะพิจารณาทำความรู้จักกับตนเองอย่างถ่องแท้นั้น คุณจะต้องมีความสามารถที่จะทำให้ตัวเองอยู่รอดและดำรงสถานะของตนเองให้มั่น คงเสียก่อน

ดังนั้น มันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่คุณจะต้องแสวงหาหรือสร้างสรรค์ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุขึ้น และยังมีข้อมูลทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ต้องการ

แต่จงอย่าได้นั่งรอเวลาที่ข้อมูลเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างเด็ดขาด เพราะมันจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นแน่

* *
ทดลองทำเดี๋ยวนี้
* *

สร้างแผนภาพโดยให้ตัวคุณอยู่ตรงกลาง แล้วลากเส้นออกไปอันเป็นความหมายบ่งบอกถึงบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ใน ชีวิต แสดงให้เห็นด้วยว่าพวกเขามีความใกล้ชิดสนิทสนมและมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน

ในการนี้คุณอาจจะมีข้อผุกมัดต่อบุคคลที่คาดหมายไว้ ลองดูสิว่าคุณสามารถชี้บ่งข้อผูกมัดเหล่านั้นได้บ้างหรือไม่ และในความเท่าเทียมกันนั้น เขาเองก็ย่อมจะต้องมีข้อผูกมัดและความคาดหวังจากคุณด้วย

คุณอาจต้องการเขียนสิ่งต่างๆเหล่านี้ลง แล้วตรวจสอบกับบุคคลผู้เกี่ยวข้องเหล่านั้น และมันก็มีทางที่จะเป็นไปได้ว่าพวกเขาย่อมจะต้องได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้นกับคุณด้วย

คุณจะต้องแสดงความกระจ่างชัดในข้อผูกมัดต่างๆ รวมทั้งสิ่งที่คาดหวังไว้ ทั้งนี้เพื่อช่วยทางด้านการปูพื้นฐานสำหรับการเจรจาต่อรองเพื่อหาหนทางและ การสนับสนุนซึ่งการเจรจาต่อรองในรูปแบบดังกล่าว ย่อมต้องการการแลกเปลี่ยนความเข้าใจอันดียิ่งต่อกัน

สำหรับบุคคลในแผนภาพเหล่านั้นซึ่งเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนอยู่ หรืออาจจะได้รับการสนับสนุนต่อไปในโอกาสข้างหน้า คุณจะต้องถามตัวเองด้วยว่า คุณอยากได้รับการสนับสนุนแบบไหน และเขาจะให้การสนับสนุนคุณได้อย่างไรบ้าง

ยกตัวอย่างเช่น ... คุณจะต้องถามตัวเองว่า เขาให้ความช่วยเหลือในเรื่องภายในหรืองานที่ทำอยู่อันเป็นการแสดงออกภายนอก? บุคคลเหล่านี้สามารถให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนในสิ่งที่คุณต้องการหรือ ไม่..? หรือว่าคุณจะต้องไปหาแรงสนับสนุนนั้นนอกแวดวงที่มีอยู่..?

**
ทดสอบตนเอง
**

สร้างแผนภาพเป็นการวางโครงสร้างของข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง ชี้ชัดว่าข้อใดในจำนวนนี้ที่มีความสำคัญมากหรือเพียงแค่เป็นประโยชน์ ทั้งที่มีอยู่แล้วตรงจุดหมายปลายทางที่คุณกำลังต้องการในปัจจุบัน และที่คุณต้องการนำมาใช้ในภายหลัง

ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้ คุณสามารถสอบถามจากเพื่อนหรือผูเชี่ยวชาญได้

* *
จุดมุ่งหมายเป็นอย่างไร
* *

มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจะต้องมองเห็นภาพของสิ่งที่คุณตั้งขึ้น เป็นเป้าหมายไว้ในใจอย่างกระจ่างชัด ก่อนที่คุณจะทุ่มเทพลังกายพลังใจลงไปเพื่อแสวงหามัน ซึ่งก็เช่นเดียวกับสถาปนิกที่จะต้องสร้างโมเดลขึ้นก่อนที่เขาจะลงมือก่อ สร้างอาคารตัวจริง

ซึ่งการมองเห็นภาพดังกล่าว จะสนองจุดประสงค์สามประการ

ประการแรก ภาพที่คุณมองเห็นอยู่นั้น คุณสามารถปรับแต่งให้เป็นรูปแบบที่ต้องการได้

ประการที่สอง มันเป็นการง่ายที่จะมองเห็นปัญหาขณะที่มันยังเป็นเพียงภาพ

ประการที่สาม มันจะก่อให้เกิดความกระตือรือร้น มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำให้การก่อสร้างนั้นดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบ จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องทำสิ่งนี้ เพื่อให้บรรลุจุดหมายที่ตั้งขึ้นไว้

* *
สร้างโมเดลขึ้น
* *

เมื่อคุณได้ผ่านขั้นตอนต่างๆมาแล้ว คุณย่อมเกิดแนวความคิดที่ดีขึ้นมาได้ว่าจะเลือกเดินไปในทิศทางใด จะไปให้ถึงจุดหมายได้อย่างไร ขณะเดียวกันคุณก็ยังมีประสบการณ์พานพบกับความยากลำบากต่างๆ ในระหว่างการเดินทางอีกด้วย แต่เมื่อไปถึงที่นั่นคุณอาจจะได้พบว่า แท้ที่จริงแล้วมันมิใช่สิ่งที่เป็นจุดหมายซึ่งคุณตั้งไว้ในใจเลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีความจำเป็นที่คุณจะต้องสสร้าง "โมเดล" ขึ้นไว้ก่อน มันเป็นโมเดลของคุณเองที่จะเป็นสิ่งชี้แนะแนวทาง หรือฉุดรั้งให้คุณเดินต่อไปพื่อบรรลุจุดหมายนั้น

ขณะที่คุณใช้เวลาอยู่กับการใช้ความคิดพิจารณาถึงแนวทางต่างๆ นั้น เท่ากับคุณได้สร้างความเคลื่อนไหวและทำให้ภาพนั้นมีพลังอำนาจมากขึ้น ภาพที่เกิดจะเป็นการกระตุ้นอารมณ์และความปรารถนาที่จะลงมือปฏิบัติ

เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความสำคัญที่จะต้องยอมอนุญาตให้ตัวเองสร้างความฝัน และจินตนาการว่า คุณจะเป็นอย่างไรเมื่อไปถึงที่นั่น การมองให้เห็นภาพดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ มันทำให้ความรู้สึกผูกพัน กล้าแข็ง มีกำลังขึ้น การยืนยันต่อตัวเองเช่นนี้จะเป็นการเสริมทั้งสถานะของตัวคุณเอง และทิศทางที่จะดำเนินต่อไปและมันจะยิ่งทำให้เงื่อนไขข้อผูกมัดต่างๆ มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นด้วย

* *
เผชิญอุปสรรคภายนอก
* *

คุณไม่สามารถกำหนดพลังแห่งความตั้งใจ เมื่อเผชิญหน้าอุปสรรคด้วยองค์ประกอบภายในหลากหลายที่มีอยู่แต่เพียงอย่าง เดียวได้ คุณอาจจะพบว่าไม่สามารถประคับประคองภาพที่สร้างขึ้นไว้ได้ ถ้าคุณเริ่มเกิดความกลัวหรือมีแรงต่อต้านเกิดขึ้นในใจ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องยอมรับในความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้น จะต้องพยายามต่อต้านมันไว้ และทำให้ความฝันของคุณมีองค์ประกอบที่จะช่วยให้สมบูรณ์ขึ้นมาได้

ถ้าคุณดึงดัน ถ้าคุณแสร้งทำเป็นละเลยต่อความรู้สึกดังกล่าว หรือใช้ความพยายามที่จะกำหนดใจขึ้นต่อต้านกับมันแล้ว มันจะยิ่งเป็นการสร้างแรงต้านให้เพิ่มความรุนแรงขึ้น และในที่สุดคุณก็จะตกเป็นเหยื่อกับพลังต่อต้านทั้งหลายที่เกิดอยู่ในใจของตน เอง

เมื่อคุณเผชิญหน้ากับอุปสรรคภายในทั้งหลายเหล่านี้ คุณก็จะต้องไม่ต่อสู้กับมันอย่างเด็ดขาด แต่จะต้องทำใจให้ยอมรับมันเข้าไว้

การเปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนตัวเข้าไปสู่เหตุการณ์ที่คุณไม่เคยมี ประสบการณ์มาก่อน คือ การท้าทายและออกจะเป็นการเสี่ยงอยู่มาก ถ้าคุณเตรียมตัวไว้ให้พร้อมที่จะพบอุปสรรคแล้ว เมื่อใดที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นคุณย่อมไม่หวั่นไหวหรือเสียกำลังใจ อย่างแน่นอน

ถ้าคุณสามารถเปิดใจให้ยอมรับกับอุปสรรคทั้งหลายที่จะผ่านเข้ามาได้ ในที่สุดคุณก็จะได้พบกับหนทางที่จะปราบความรู้สึกดังกล่าวให้สงบลง หรือไม่ก็นำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อแนวความคิดของคุณได้

ซึ่งในเรื่องนี้คุณจำเป็นจะต้องอดทน ยืนยันในเจตนารมณ์ของตัวเอง จงอย่าให้ความรู้สึกในทางลบซึ่งเกิดก่ออยู่ในใจเข้ามามีอำนาจเหนืออย่างเด็ด ขาด

* *
สรรค์สร้างภาพพจน์
* *

ขณะที่คุณสร้างภาพพจน์ของตัวเองขึ้นด้วยวิธีนี้นั้นคุณจะพบว่าตัวเอง กำลังเดินหน้าถอยหลังอยู่กับขั้นตอนต่างๆที่มีอยู่ ในแผนภาพดังกล่าวจะทำให้คุณสามารถสร้างทัศนคติในทางบวกให้เกิดขึ้นในใจ ซึ่งนับเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อคุณจะต้องทำความรู้จักกับแนวความคิดของ ตัวเอง

ขณะสร้างภาพพจน์หรือแนวความคิดขึ้น คุณก็จะต้องนำวิธีการต่างๆเข้ามาใช้ เพื่อสร้างและขยายภาพแห่งอนาคตที่คณมุ่งหวังตั้งใจไว้ด้วย คุณอาจจะต้องใช้ทั้งวิธีเขียนรูปวาดเค้าโครง จดบันทึกลงไว้ในสมุดบันทึกประจำวัน แปลความหมายของความฝันที่สร้างขึ้น อ่านประวสัติบุคคลสำคัญ หรือไม่ก็หนังสือที่นำมาใช้ประกอบอย่างมากมาย

เหล่านี้ คือสิ่งที่จะเข้ามาเสริมส่งมโนภาพให้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพฤติกรรมที่จะต้องกำหนดว่า เมื่อไปถึงจุดหมายแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไร

เมื่อคุณสร้างภาพแนวความคิดต่างๆขึ้นแล้ว ควรจะเก็บมันไว้ในความทรงจำถาวร พยายามปลุกเร้าความมุ่งหวังตั้งใจขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถนำพลังที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยน์กับภาพที่ สร้างไว้

* * *
ทดลองทำเดี๋ยวนี้
* *

ก่อนที่คุณจะนำความคิดหรือแผนการมาลงมือปฏิบัติคุณจะต้องมองให้เห็นภาพ ว่าชีวิตของตนเองจะเป็นอย่างไรเมื่อบรรลุผลสมตามเป้าหมายที่ได้ตั้งขึ้นไว้ แล้ว

ถ้านี่คือความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ คุณอาจจะต้องใช้เวลาในการสร้างโมเดลหรือมโนภาพ ตกแต่งให้รูปลักษณ์ดีขึ้นทุกครั้งที่ทบทวนถึงมันมากกว่าปกติ

ขั้นตอนต่อไปคือ คุณจะต้องกำจัดแนวความคิดที่ผิดพลาดหรือไม่มีความเป็นไปได้ออกไปให้หมดสิ้น จะต้องรู้จักวิจารณ์แผนการที่ตนเองได้สร้างขึ้นไว้ อาจจะขอความร่วมมือให้ใครบางคนช่วยวิเคราะห์วิจารณ์ เพื่อให้คุณมีความเข้าใจกระจ่างแจ้งต่อเงื่อนไขต่างๆที่สร้างขึ้นไว้ด้วย

ในที่สุด เมื่อคุณมองเห็นภาพแห่งอนาคตที่แน่ใจว่าตนเองต้องการให้เป็นเช่นนั้นแล้ว ลองนึกภาพเปรียบเทียบว่าจะเป็นอย่างไรถ้าคุณไปไม่ถึงจุดหมายนั้น ใช้เวลาทบทวนความคิดและพิจารณา เพื่อมองให้เห็นถึงประโยชน์ที่จะก้าวไปให้ถึงจุดหมายดังกล่าว

วิธีการนี้จะช่วยเป็นพลังผลักดันให้คุณก้าวเข้าไปสู่ขั้นของการลงมือปฏิบัติได้อย่างเต็มที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น