++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2548

รวมเรื่องสาระความรู้

แพทย์ชี้ใช้คอมพ์มากเกินทำให้เด็กพิการได้


แพทย์ชี้การใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไปส่งผลเสียต่อพัฒนาการเด็ก โดย
ทางร่างกายก่อให้เกิดอาการบอบช้ำจนถึงขั้นพิการได้เพราะกระดูกและกล้าม
เนื้อไม่ได้พัฒนาเต็มที่ ส่วนด้านจิตใจก่อให้เกิดความก้าวร้าวและขาดทักษะ
ทางสังคมเพราะจมอยู่ในโลกของตัวเองมากจนไม่สนใจผู้อื่น
ซึ่งผลเสียเหล่านี้ เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกันในเด็กที่ติดทีวี

มีรายงานข่าวจากประเทศอังกฤษว่าเด็กจำนวนมากบอบช้ำกับปัญหาสุข
ภาพคือ มีอาการปวดเมื่อยเรื้อรังเพราะขลุกอยู่กับคอมพิวเตอร์เพื่อทำการ
บ้านหรือเล่นเกมนานเกินไป และเนื่องจากกระดูกและกล้ามเนื้อของเด็กยังไม่
เจริญเต็มที่ ทำให้หาก มีพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสมนี้ไป
นานๆ อาจส่งผลให้มีเด็กพิการเพิ่มขึ้นหลายคน

จากกรณีดังกล่าวนี้ น.พ. ปราโมทย์ สุขนิชย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ปัญหาของการใช้คอมพิวเตอร์มากๆต่อเด็ก
นั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้เป็นหลัก โดยหากเด็กใช้เวลาจมจ่อมอยู่หน้า
เครื่องคอมพิวเตอร์นานๆ แน่นอนว่าก่อให้เกิดผลเสียต่อสายตาและกล้าม
เนื้อในส่วนต่างๆ ร่างกายที่ไม่ได้ออกกำลังนานๆ

"เด็กกำลังโตควรได้รับการพัฒนากล้ามเนื้อร่างกายด้วยการออกกำลัง
กายสม่ำเสมอ ซึ่งการใช้คอมพิวเตอร์มากๆ เด็กจะได้ใช้แค่มือขวา อาจจะคลิกเก่งคลิกแม่น แต่ด้านอื่นๆ ไม่ได้พัฒนาตามเลย
ไม่แค่เด็กเท่านั้นแม้แต่ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ที่กระดูกและกล้ามเนื้อไม่ยืดหยุ่น เท่าเด็กๆ การนั่ง
อยู่กับที่นานๆ ก็จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยง่าย"

อย่างไรก็ดี น.พ.ปราโมทย์ กล่าวว่าผลร้ายที่ชัดเจนที่สุดคือการก่อปัญหาพัฒนาการทางสังคมและอารมณ
์ของเด็ก เนื่องเพราะการอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์มากๆ ทำให้ลด เวลาในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นลง ทำให้ขาด
ทักษะทางสังคม เด็กจะปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ยากขึ้น ขาดทักษะในการต่อรอง
และมักไม่ค่อยฟังเหตุผลของคนอื่น

"เพราะคอมพิวเตอร์คือโลกของ เขาเพียงคนเดียว คือที่ที่เขาไม่ต้องสนใจ
สมาชิกในครอบครัว เขาอยากทำ อะไรก็ได้ เด็กติดคอมพิวเตอร์เพราะความ
มันความสนุกแต่คอมพิวเตอร์ไม่มีความซาบซึ้ง ไม่มีเรื่องของจิตใจ เพราะ
ฉะนั้นจึงมีผลการวิจัยออกมาว่าคอมพิวเตอร์ทำให้เด็กก้าวร้าวขึ้น"
เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ น.พ.ปราโมทย์กล่าวว่า การปล่อยให้เด็กใช้
เวลาดูโทรทัศน์มากเกินไป ก็เป็นผลเสียเช่นกัน เพราะเรื่องราวหลาก
หลายที่เด็กๆ ได้ชมผ่านทีวีจะก่อให้เกิดจินตนาการและการเลียนแบบได้ง่าย
ซึ่งจะเป็นปัญหาเพราะเด็กไม่อาจแยกแยะสิ่งที่ถูกหรือผิด ได้ โดย
เฉพาะในเด็กเล็กอายุไม่เกิน 6-7 ขวบที่ไม่สามารถแยกเรื่องจริงกับจินตนา
การออกจากกันได้

ทางด้านน.พ.สุนทร ฮ้อเผ่าพันธุ์ หัวหน้ากลุ่มงานอายุรกรรม ศูนย์สุข
ภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
กล่าวใน เรื่องเดียวกันนี้ว่า การดูโทรทัศน์และเล่นวิดีโอเกมมากเกินไป ทำให้เด็กมี
เวลานอนน้อยลงส่งผล ต่อสภาพจิตใจและสภาวะอารมณ์

"ธรรมชาติของเด็กก็คือจะต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ ออก
กำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เช่นนั้นร่างกายจะไม่อยู่ในสภาพที่สมดุล
ส่งผลให้เด็กเกิดความก้าวร้าว รวมถึงทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเมื่อต้อง เผชิญ
กับความเปลี่ยนแปลง เช่น อากาศเปลี่ยนก็จะทำให้เป็นหวัดได้ง่าย เพราะ
ร่างกายเปราะบางตลอดเวลา"

น.พ.สุนทร ยังได้ให้คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองว่า แทนที่จะพา
เด็กไปชอปปิ้ง ดูทีวีเล่นวิดีโอเกมก็ควรหันไปใช้ชีวิตกับธรรมชาติมากขึ้น และ
ปล่อยให้เด็กไปเล่นออกกำลัง กับเพื่อนๆ บ้าง เพื่อให้เหงื่อออกและยัง
เป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมกับเด็กในวัยเดียวกันด้วย

"สิ่งที่ควรทำอีกอย่างก็คือควบคุมการดูทีวีไม่ให้เกิน 45 นาทีต่อวันและ
ควรนั่งอยู่ด้วยอย่างใกล้ชิด อย่าง ประเทศจีนนี่เขาบังคับเลย เรื่องดูทีวีของ
เด็กเพราะเชื่อว่าทำให้เด็กสายตาสั้นและมีนิสัยก้าวร้าว แต่ของบ้านเรา
ทำแบบนั้นลำบาก" น.พ.สุนทร กล่าว
โดยคุณ : แพนด้าน้ำโขง





มนุษย์ดั้งเดิมรักเดียวใจเดียว

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาโดยการตรวจนับปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 41 ชนิด โดยถือว่า ขนาดจำนวน ความหนาแน่นของพลเมือง และการผสมพันธุ์ เป็นช่องทางทำให้เกิดโรคระบาดติดต่อ ระหว่างกันได้ง่าย จึงพบว่าปริมาณเซลล์เม็ดโลหิตขาวในสัตว์เหล่านี้ ได้พัฒนาให้มีจำนวนสูงขึ้น เพราะเหตุว่าเซลล์เหล่านี้ต้องมีหน้าที่ต่อสู้กับ เชื้อโรค "เราได้พบ ว่าสัตว์พวกที่ผสมกับตัวเมียหลายตัว มักจะมีปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวสูงมาก"
นักวิจัยได้กล่าวถึงมนุษย์ว่า "เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้ว ปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่นับได้ อยู่ในขั้นเพียงแค่ในสัตว์จำพวก ผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น" ในบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหล่านั้น ปรากฏ ว่า ลิงบาร์บารี่มีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวสูงที่สุด และยังพบว่าลิงตัวผู้จะผสมกับลิงตัวเมียได้มากถึงวันละ 10 ตัว ในหน้าสัด



มหัศจรรย์ BREAK THROUGH ภูมิปัญญาไทย!

สุดสัปดาห์นี้ ผมเดินทางไปพบเพื่อนเก่าและเขาได้แสดงความแปลกใจ
ให้ผมได้รับรู้ในภูมิปัญญาไทย และคงเป็นครั้งแรก ที่ผมเห็นสิ่งมหัศจรรย์ถือ
ได้ว่านี่เป็นการ "ทะลุทางปัญญา" ผมไม่กล่าวเกินเลยกับผลิตภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้แม้จะเป็นที่รู้กันใน วงจำกัด
เช่น บริษัทใหญ่ๆ ไม่กี่บริษัท แต่ทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น และโรงงานอุตสาหกรรมติดต่อเข้ามาในประเทศ
ไทยไม่ขาดสาย! เพราะการวิจัยและพัฒนาของคนไทยที่ซุ่มทดลองใช้สารสกัดจากพืช
เมืองร้อนในประเทศของเรา กลั่นเอาส่วนผสมหัวเชื้อที่สามารถย่อยสลายและ
ทำให้ไขมัน, น้ำมันสกปรกทุกประเภทมีโครง สร้างกระจายจนขาดคุณสมบัติ
ติดเป็นคราบ

นอกจากนี้ ผมยังทราบ ว่า เขาได้แตกการวิจัยครอบคลุมให้ตัวหัวเชื้อมี
ความหลากหลายใช้เฉพาะอย่าง แบบที่ผมยืนยันว่าไม่ เคนเห็นมาก่อน
อย่างน้อยร้อยละ 99.99 ไม่มีสารเคมี, แอลกอฮอล์หรือสารกัดละลาย
วัตถุ โลหะพลาสติก หรือไวนิล ปะปนอยู่
ทั้งหมด ผมว่าเป็นสิบๆ ชนิด ตั้งแต่ยาล้างเพชร ยาล้างห้องเครื่องรถยนต์,ยาใส่หม้อน้ำรถยนต์,ตัวน้ำยาฉีดพ่นล้างเครื่องปรับอากาศ,น้ำยาล้าง
คราบเลือด,หมึกพิมพ์, รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ ที่น่าสนใจ ทำให้ผมต้องรื้อแผ่น
เสียงนับพันแผ่นมาชำระใหม่หมด แม้มีรอยขูดขีดบนพื้นผิว แต่ใช้น้ำยาชุบผ้า
ทาถูบนแผ่นเสียงซึ่งบางแผ่น 35 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้เพื่อนถอดนาฬิกาของผมใส่ลงไปในถ้วยเอานิ้วคนและทิ้ง
ไว้ 2-3 นาที คืนให้ผมเช็ดด้วยผ้าก็พบว่าคราบไคล ขี้เกลือ ฯลฯ หายไปได้
อย่างไม่น่าเชื่อ กลไกบนหน้าปัดซึ่งผมเคยใช้ยาหยอด จักร เพื่อให้มันหมุน
ได้ยังไม่ทำได้ดีขนาดนี้

ผมงงมาก และเขาบอกว่านี่เป็นการวิจัย ไม่จำเป็นต้องเผยแพร่จะต้อง
หรือจดสิทธิบัตร ซึ่งผมแนะนำให้จดลิขสิทธิ์ทุกผลิต ภัณฑ์โดยเร่งด่วน
ผมต้องเขียนถึงเรื่องความมหัศจรรย์นี้ก็เพราะนี่คือภูมิปัญญาของคนไทย
และส่วนทั้งหมดเป็นชีวภาพ และเขาบอกว่า ทุก วันนี้คนไทยแช่ผ้าในผงซักฟอกทิ้งไว้ครึ่งวันน้ำก็เน่าแล้ว แถมส่งลง ท่อเกิดมลพิษหนักยิ่งขึ้น
น้ำยาชีวภาพของเขาแช่ไว้ 3 วันไม่มีเน่า ขจัดคราบไคลด้วย การซักเบาๆ เท่านั้น
เว้นสีเมจิกเท่านั้นที่มันไม่สามารถลบได้ แน่นอน! เหลือเชื่อ! ผมนำกลับมาบ้าน แม่บ้านหัวเราะเยาะว่า "ฝอย"
เธอใช้เวลาขัดเครื่องเงินด้วยยาขัดกลิ่นแรงจากต่างประเทศ
ขัดแล้วยังไม่หาย ดำเพราะออกซิไดซ์มานานแล้ว
ยื่นให้ผมเอาน้ำยาซึ่งผมเจือจางด้วยซ้ำไป เอาผ้าถูๆ ทิ้งไว้ไม่ถึงนาที ส่ง
คืนให้เช็ดออก คราบไคลซึ่งใช้อะไรขัดออกได้ยาก ขึ้นมันวับ แม้ยังออกคล้ำ
อยู่ ผมบอกว่าให้ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมงดูการที่เพื่อนยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า เขาสกัดหัวเชื้อจากพืชใน ไทยนี้
แหละ ทำเอาผมตกใจ เพราะเขาเทลงบนแก้วน้ำ ผสมให้มีความเจือจาง แล้วกลืน
เข้าปากแล้วค่อยๆ บ้วนทิ้งหน้าตายบอกว่า

"มันกินได้ ไม่มีอันตราย แต่มันไม่มีไว้กิน บางคนเอาไปแปรง ฟัน ก็แสบหน่อยแต่กำจัดบัคเตรีหมด"
ผมทราบว่าจุลชีวภาพอันน่าสนใจนี้ ทำให้ไขน้ำมันเกิดการแตก ตัวน้ำยาของเพื่อนเหมือนจะมีฟองบ้างแต่ไม่มาก
เขาฉีดใส่ห้องเครื่องยนต์ รถซึ่ง 3 ปีล้างทีของผม แล้วทิ้งไว้โดยลูบด้วย
มือและนิ้วบนส่วนเป็นพลาสติก แล้วอัดฉีดด้วยน้ำความ ดันสูง ชำระทุก
คราบจนสะอาดเหลือเชื่อ ตามซอกเล็บซึ่งควรมีคราบน้ำมันชอนไชติดจนต้องแปรงกับน้ำ
มันโซลเวนท์ขัดออก แต่น้ำยาที่ว่านี้ไม่ต้องขัดเล็บ มันไม่เกาะครับ
มันไม่ใช่โซลเวนท์ใช้ล้างครัว คราบไขมันสกปรก ในโรงแรมเหลือเชื่อ

ผมใช้วันหยุดล้างแผ่นเสียงไม่เคยฟังซิบิลิอุสในคีตนิพนธ์ฟินลานเดีย
แผ่นเสียงสกปรก ขีดข่วนได้สภาพ 90 เปอร์เซ็นต์ เหมือนเดิมทุกอย่าง!!
โดยคุณ : พระบาท นามเมือง


มะเขือเทศเฉดมะเร็งช่องปาก

นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮีบรูว์ ที่นครเยรูซาเลม ของอิสราเอล ได้เห็นฤทธิ์ของมะเขือเทศ เมื่อนำเอาสารเคมีสกัดจากผลมะเขือเทศ ที่ชื่อว่า "ไลโคฟีน" อันเป็นตัวทำให้ลูกมะเขือเทศสีแดงสด รวมทั้งสีแดงในซอสมะเขือเทศ กับซุปมะเขือเทศ ใส่ลงในจานทดลอง ที่เพาะเลี้ยงเซลล์ของมะเร็งช่องปากเอาไว้ เป็นผลให้เซลล์มะเร็งตายหมด โดยไม่รู้ว่ามันไปทำอะไรเข้า แต่คิดว่า มันคงไปกระตุ้นกระบวนการธรรมชาติ ที่ช่วยให้ร่างกายฆ่าเซลล์ ที่เติบโตขึ้นมาอย่างผิดธรรมชาติ ทางนักวิจัยจะได้ทดลองกับคนเป็นมะเร็งช่องปากต่อไปว่า จะได้ผลแบบเดียวกันหรือไม่
เคยมีการวิจัยเมื่อก่อนหน้านี้มีผลว่า การกินผักและผลไม้มากๆ ช่วยป้องกันมะเร็งของช่องปากได้ นอกจากนั้น สารไลโคฟีน ยังช่วยหยุดยั้งการเกิดมะเร็งได้หลายอย่าง ตั้งแต่มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งลำไส้ ทั้งมหาวิทยาลัย นอร์ธ แคโรไลนาของอเมริกาก็เคยวิจัยพบว่า ไลโคฟีนช่วยขวางกั้นอาการหัวใจวาย ก่อนวัยอันควรได้ด้วย สารนี้มีอยู่อย่างอุดมในผลิตภัณฑ์อาหารจากมะเขือเทศ เช่น ซอสมะเขือเทศ และพิซซาราดซอสมะเขือเทศ.



มะม่วง มะปริง มะปราง และมะยง

ผลไม้ทั้งสี่ชนิดเป็นญาติพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อกันดี
คืออยู่ในตระกูล Anacardiaceae ซึ่งหมายถึงมีผลรูปหัวใจ
และเนื้อเหลืองๆ หวานอมเปรี้ยวนั้นให้เบต้าแคโรทีนและแคโรทีนนอยส์หลากหลาย
ด้วยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ไม่แก่ก่อนวัยของสารแคโรทีน
คือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา

มะม่วง

ความตอนหนึ่งของ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง กล่าวว่า
"เบื้องตะวันออก เมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีปู่ครู มีทะเลหลวง มีป่าหมาก
ป่าพลู มีไร่ มีนา มีถิ่นฐาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก มีป่าม่วงป่าขามดูงาม"
แสดงว่ามะม่วง มะขาม หมากพลู มีมา ตั้งแต่นมนานกาเลแล้วแหละ
ที่น่าแปลกใจ คือมีบ้านใหญ่บ้านเล็ก ด้วย ฮา
แม้มะม่วงจะอยู่คู่ ไทยนานเพียงใด ตำราก็บอกว่ามะม่วงมิได้มีถิ่น
กำเนิดที่นี่ พี้นฐานดั้งเดิม เค้าเป็นชาวภารตะนะนาย... นาร้าย...นารายณ์
แบบว่าห่มส่าหรีมาไทย อะไรประมาณนั้น
ถ้าย้อนดูคัมภีร์ทาง พุทธศาสนา ก็จะเห็นคำว่า อัมพะ หรือมะม่วงในภาษา
อินเดียปรากฏอยู่ เช่นใน คัมภึร์ปฐมสมโพธิ ตอน ยมกปาฏิหาริย์ กล่าวถึง
การแสดงปาฏิหารย์ของ พระพุทธองค์ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าอชาตศัตรู
โดยทรงทำให้เมล็ดมะม่วงงอกงามเป็นต้นสูงถึง ๕๐ ศอกในเวลาเพียงพริบตา
และในชาดกชื่อ อัพภันตรชาดก ก็กล่าวถึง เรื่องราวของพระมเหสีพระเจ้าพรหมหัต
แพ้พระครรภ์ เดือดร้อนถึงพระอินทร์ แนะนำให้เสวยมะม่วงที่ชื่อ
อัพภันดรซึ่งมีขึ้นเฉพาะในป่าหิมพานต์
ทุกวันนี้มะม่วงยังคง เป็นผลไม้ยอดนิยมของชาวอินเดีย ผลผลิตมะม่วง
ในแต่ละปีมีปริมาณมากกว่า ผลไม้ในประเทศทุกชนิด รวมกันเสียอีก
หมู่บ้านหลายแห่ง ตั้งชื่อด้วยคำว่ามะม่วง เช่น อัมเพวัลลี อัมเพวดี
อัมเพนัลลี
อินเดึยผลิตมะม่วง สู่ตลาดโลกราว ๙.๕ ล้าน ตันต่อปี นับเป็นร้อยละ ๕๙
ของผลผลิตมะม่วง ทั้งโลกรวมกัน
ส่วนพี่ไทยนั้นแทบ ไม่มีส่วนแบ่งในตลาดโลกเลย
แต่น่าแปลกว่ามี เว็บไชต์ในอินเทอร์เน็ตของฝรั่งหลายเจ้า กล่าวยกย่อง
มะม่วงสายพันธุ์ไทยเสียเลอเลิศ แทบไม่มีไครแนะนำมะม่วงอินเดีย ชะรอย
ว่ารสชาดจัดจ้านแบบไทยๆ คงถูกลิ้นชาวตะวันตกมากกว่า

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

ทำไมเราจงเรียกผลไม้ ชนิดนี้ว่ามะม่วง
ไม่รู้ครับ
มีผู้สันนิษฐานไว้ว่า มะม่วงมาจากคำหมากม่วง และคำว่าม่วงไม่ใช่คำไทย
คงเลียนมาจากภาษามลายู Manga "มางกาย์"
ดังนั้นที่จริงต้องเรียก หมากมังกาย์ แต่ออกเสียง ยาก
คนไหยจึงเรียกเพี้ยนเป็น "มะม่วง" จริงเท็จไม่รู้ เขาว่ามาก็ว่าไป
ส่วนตัวผมเองสันนิษฐานแบบไม่รู้ (หรือพูดง่ายว่ามั่ว) คิดว่าคนโบราณ
เรียกมะม่วง เพราะใบอ่อน ของมะม่วงป่ามีสีม่วง ดัง กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก
ของเจ้าฟ้ากุ้งที่ว่า
"มะม่วงไพรใบอ่อนมี คิดผ้าสีม่วงอ่อนแทน
ขลิบอ่าตาตักแตน หน้าทอทองกรองข่ายทรงฯ"
มะม่วงมีชื่อทางวิทยา ศาสตร์ว่า Mangifera Indica Linn
อยู่ในวงศ์ ANACARDIACEAE
คำว่าแมงกิ ดือมะม่วง
เฟอรา คือเกิด
Idica คืออินเดีย
ชื่อวิทยาศาสตร์ของ มะม่วง จีงบ่งบอกความ หมายว่าเป็นผลไม้เกิดที่
อินเดีย
ส่วนคำฝรั่งอังกฤษ ว่า Mango นั้น ก็ได้จาก ภาษาโปรตุเกส Manga
ซื่งยืมมาจากภาษาทมิฬ Mankai อีกที ส่วนทมิฬ ก็ยืมจากมลายู
โอย วุ่นวายจริงหนอ

พันธุ์มะม่วง

ในอินเดียที่เป็นแผ่นดินแม่ของมะม่วง มีมะม่วง หลายพันชนิด
ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกคืออัลฟองโช ได้ชื่อตามผู้ว่าการอัลฟองโช เด
อัลบูเคอร์กี
ชาวโปรตุเกส ซึ่งปกครองอาณานิคมโปรตุเกสในอดีต และเป็นผู้
ริเริ่มให้มีการเพาะพันธุ์มะม่วงในแคว้นกัง
ผลสุกมะม่วงอัลฟองโช มีผิวสีชมพูสดใส รสชาติดี เป็นที่นิยมทั่วโลก
แต่ติว่ามักมีเยื่อฟ่ามๆที่กินไม่ได้ และการติดผลไม่สม่ำเสมอ
จึงได้มีการผสมข้ามพันธุ์กับมะม่วงนีลัม กลับไป กลับมา
ท้ายสุดได้มะม่วงพันธุ์ ใหม่ชื่อสินธุ มีรสชาติเช่น
อัลฟองโชไม่มีเยื่อฟ่าม
และที่สำคัญเมล็ดลีบจน เกือบจะเรียกได้ว่ามะม่วง ไม่มีเมล็ด
อีกไม่นาน มะม่วง สินธุอาจกลายเป็นมะม่วง ขวัญใจคนทั่วโลกแทนที่
อัลฟองโช
นอกจากมะม่วงพันธุ์ ดี อินเดียยังมีมะม่วงพันธุ์ แปลก เช่น อังคุรทาน
เป็นมะม่วงหายากที่เล็กกว่าลูก พุทรา หรือมะม่วงยักษ์ จัมเอจัม ลูกหนักเกือบ
๒กิโลกรัม
ในประเทศอื่นๆต่าง มีมะม่วงพันธุ์ยอดนิยมของ ตนเอง เช่น ออสเตรเลีย
มีมะม่วงเคนซิงตัน สีเหลือง อมส้ม ลูกเกือบครึ่งกิโลกรัม
มะม่วงทอมมีเอตกินส์ ปลูกในฟลอริดา เม็กซิโก และแอฟริกาใต้ มีผิวสีชมพู
ทอมมีเอตกินส์มีผล รูปไข่ และเนื้อหยาบมีกาก
ส่าหรับมะม่วงไทย มีกำเนิดบนผืนแผ่นดิน อันอุดมนานคู่ความเป็นไทย
พันธุ์มะม่วงได้รับ การพัฒนาตามธรรมชาติ จนได้สายพันธุ์ชั้นลูกหลาน
ร้อยกว่าสายพันธุ์ บาง พันธุ์เป็นเลิศ รสชาติหอม หวานชนิดที่ใครได้ลองจะ ติดใจ
เนื้อไม่มีกากใยไห้ ระคายเคืองคอแบบของต่าง ชาติ
พระยาศรีสุนทรโวหาร ได้ร้อยเรียงชื่อพันธุ์มะม่วง ไทยไว้เป็นกาพย์ยานี๑๑
ในหนังสือบรรณพฤกษา กับสัตวาภิธาน เมื่อร้อยกว่า ปีที่แล้ว ยกตัวอย่างพอให้
เห็นภาพดังนี้
"หมอนทอง อกร่องรส หวานปรากฎรสสวรรค์
แมวเซามีสองพันธุ์ แมวเชาขาว แมวเชาดำ
พรวนขออีกพรวนควาย แก้วฤากลายมีประจำ
ควันเทียนและทองคำ มลิอ่องทองปลายแขน
น้ำตาลปากกระบอก ขานนามออกทุกดินแดน
มะม่วงนายขุนแผน ปลูกเมื่อทัพกลัมคืนมา
ฯลฯ"
และทุกวันนี้ก็ยังมี
สายพันธุ์มะม่วงที่คัดพันธุ์จากธรรมชาติเกิดเพี่มขึ้น
อีกมากมาย บางพันธุ์ก็ได้ รับการกล่าวขานกันมาก เช่น น้ำดอกไม้ทะวายเบอร์ ๔
น้ำดอกไม้ทอง โชคอนันต์
ยังมีการทดลองนำ พันธุ์มะม่วงต่างประเทศเข้ามาปลูกอีก เช่น อัลฟองโช
ของอินเดีย และคาราบาว ของฟิลิปปินส์
(ฟิลิปปินส์ส่งมะม่วง คาราบาวออกวางตลาดโลกใน
ชื่อว่ามะนิลาซูเปอร์แมงโก)
เชื่อไหมว่ามะม่วงที่ ผลิตได้ในไทยนั้นสามารถ ส่งออกได้เพียง ๑ %
เป็นเพราะขาดการส่ง เสริมการตลาดที่ดี
เมื่อเร็วๆนี้ได้มีผู้ ทดลองศึกษาเปรียบเทียบ รสชาติมะม่วง ๗ สายพันธุ์
คือมะม่วงแก้ว โชคอนันต์ น้ำดอกไม้ทอง มหาชนก แรด คาราบาว และเคนซิงตัน
เอาให้รู้ไปเลยว่า ของใครจ ะอร่อยกว่ากัน ในสายตาชาวโลก
ผู้ศึกษาคือดร. ทิพย์วรรณา งามศักดิ์และคณะ ได้ไห้อาสาสมัครชาวจีน
ญี่ปุ่น อาหรับจำนวนหนึ่ง ทดลองชิมมะม่วงทั้ง ๗ ชนิดเปรียบเทียบกัน และ
ให้คะแนนมะม่วงในดวงใจ
พบว่าชาวจีนชอบ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองและ มหาชนกมากที่สุด
ฮ่องกงชอบน้ำดอกไม้ สีทองกับเคนซิงตัน
ส่วนญี่ปุ่นชอบน้ำ ดอกไม้สีทอง
อาหรับชอบน้ำดอกไม้ สีทอง กับเคนซิงตัน
สรุปได้ว่ามะม่วง ดอกไม้สีทองคือขวัญใจ ของทุกชนชาติ ทั้งในแง่
รสชาดและความสวยของผล
จึงเชื่อได้ว่าหากไทย เราส่งเสริมการส่งออก มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง
ละก็...ไปโลดในตลาดโลก แน่นอน

การกินมะม่วง

มีเรื่องน่าขำเกียวกับ การกินมะม่วงอยากเล่าให้ ฟังครับ
คนไทยกินมะม่วง ง่ายๆโดยปอกเปลือกหั่น เป็นชิ้น ใช้ส้อมจิ้มเข้าปาก
ชาวอินเดียต้นตำรับ แนะนำให้คลึงมะม่วงบน โต๊ะอาหารจนข้างในนิ่ม ใช้
ปากกัดหัวขั้ว ดูดเอาน้ำ เหลวเข้าปาก
ส่วนฝรั่งนั้น ดูจะ วุ่นวายที่สุด
ฝรั่งกล่าวว่ามะม่วงมีรสชาติผสมระหว่าง
ลูกพีชกับสับปะรด มะม่วง จะอร่อยต้องแช่ให้เนื้อเย็น และทั้งดูดทั้งแทะเนื้อให้
หมดจนเหลือแต่เมล็ดขาว จึงจะถือว่ากินมะม่วงเป็น
ดังนั้นการกินมะม่วง แบบฝรั่งจึงเลอะเทอะสิ้นดี ชาวอังกฤษในอินเดียจึง
นิยมเปลือยกายกินมะม่วง ในอ่างอาบน้ำ
ส่วนคำแนะนำของ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บอกว่า มะม่วงมีน้ำมาก
จำเป็นต้องใช้กระดาษเช็ด ปากหลายแผ่น และยาก ที่จะป้องกันไม่ให้น้ำมะม่วง
ไหลเลอะตามคาง
ทำไมถึงกินดุเดือด ขนาดนี้หนอ คงเป็นเพราะ มะม่วงเป็นผลไม้เมืองร้อน
หายากราคาแพงในสมัย กระโน้น

คุณค่าทางโภชนาการ

ในแง่โภชนาการ มะม่วงก็เหมือนผลไม้รส หวานส่วนใหญ่ คือมีน้ำตาลผลไม้มาก
จึงค่อนข้าง จะให้พลังงาน แด่ก็อยู่ใน ระดับปานกลางขนาดมังคุด และเงาะ
ไม่หนักถึงขั้น ทุเรียนหรือกล้วย
เนื้อผลไม้ ๑ขีดพลังงาน(กิโลแคลอรี่)
มะม่วงแก้วสุก๘๗
มะม่วงแก้วดิบ๖๗
มะม่วงพิมเสนสุก๖๒
มะม่วงพํมเสนมันดิบ๘๔
มะม่วงอกร่องสุก๗๔
มะปราง๔๗
มังคุด๗๖
เงาะ๗๐
ทุเรียน๑๕๖
กล้วยน้ำว้า๑๓๙
ส้มเขียวหวาน๓๗
ฝรั่ง๓๔
ชมพู๒๔
เนื้อมะม่วงสุก ๑ ขีด ให้วิตามินซีราว ๒๘ มิลลิกรัม หรือครึ่งหนึ่ง
ของปริมาณที่ร่างกายควร ได้รับต่อวัน แต่ถ้าดิบจะมี วิตามินซีสูงกว่านี้
เนื้อสุกสีเหลืองมี เบต้าแคโรทีนราว ๒ มิลลิกรัม
วิตามินอี ๑ มิลลิกรัม หรือ ๑๐% ของปริมาณ ที่ควรได้รับต่อวัน
มะม่วงมีเบต้าแคโรทีน สูงกว่าแอปริคอท ๕๐% และสูงกว่าแคนตาลูป ๒๑%
นอกจากกินเป็น ผลไม้เช่นที่นิยมในบ้านเรา ฝรั่งยังดัดแปลงวางเนื้อ
มะม่วงเคียงกับเนื้อและปลา นำมะม่วงสุกมาปั่นเป็น ครีมราดไก่และหมูย่าง
และรู้จักใช้มะม่วงดิบเป็น เครื่องปรุงแต่งรสเปรี้ยว คล้ายยำมะม่วงบ้านเรา
ชาวอินเดียทำเครื่องเคียงเรียกซัทนีย์ (Chutney) โดยใช้มะม่วงแก่สับบด
ด้วยแท่งหินรวมกับน้ำตาล ทรายแดง น้ำส้ม ขิง พริก เกลือ มะพร้าว ถือเป็น
ของขาดไม่ได้บนโต๊ะอาหาร คล้ายน้ำพริกของเราเลย ทีเดียว
ประโยชน์ทางยาของ มะม่วง ใช้เมล็ดในที่ออก รสฝาดฝนกับน้ำ กินแก้
ท้องเสียได้ดีพอใช้
ชาวอินเดียใช้ใบมะม่วงพับครึ่งสีฟันและใช้ ส่วนต่างๆของมะม่วงปรุง
ยารักษาโรคกว่า ๕๐ ขนาน
ส่วนตำราแผนโบราณ ของไทยนั้น ใช้ใบมะม่วงสดนำมาบดให้ละเอียด
พอกแก้โรคผิวหนัง แผล ไฟไหมั น้ำร้อนลวก
หรือใช้ใบสดนำมา เผาไฟเอาควันสูดดมรักษา โรคเกี่ยวกับการไอ และ เจ็บคอ
เป็นต้น
ยางจากลำต้น ใช้ ยางสดนำมาทาบ้านกันปลวก และใช้ทำเป็นกาว
เย็บเข้าเล่มหนังสือ
ยางจากผลสดนำมา ทา ทำลายเนื้อด้าน กัดหูด ตาปลา เนื้องอก กลาก เกลื้อน
ผลใช้เป็นยาแก้โรค เลือดออกตามไรฟัน แก้ ท้องร่วง หรือใช้น้ำที่คั้น
จากผลกินเป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาเจียน หรือแผลพองในปาก
เมล็ด กินเมล็ดสด หรือคั่วโรยเกลือ กินเป็นยาแก้อาการบวมน้ำ ขับปัสสาวะ.
หรือใช้สกัดเอาน้ำมันออกมาใช้ทาแก้กลาก เกลื้อน แก้เนื้องอก แก้ โรคผิวหนัง
แก้โรคเรื้อน เป็นต้น

มะปริง มะปราง และมะยง

ครั้งที่อิเหนาพาระเด่น วิยะดาเดินชมดงตามบท พระราชนิพนธ์ละครเรื่อง
อิเหนาในรัชกาลที่ ๓
"กิดาหยันน้อยน้อย สอยสาวหยุด
เบญจมาศชาติบุษย์ ต่างต่าง
บ้างโน้มเหนี่ยวหักกิ่ง ปริงปราง
มาถวายหลายอย่าง ให้นางชม"
อิเหนาหักกิ่งมะปริง และมะปรางให้หญิงสาวดู คงมีเจตนาอวดโอ้เอาใจ หญิง
แต่ใจร้ายกับต้นไม้ จังเลย ถือว่าไม่อนุรักษ์ ธรรมชาติ
กาพย์ห่อโคลงชม เครื่องคาวหวานเจ้าฟ้ากุ้ง กล่าวถึงมะปรางไว้ว่า
"หมากปรางนางปอก แล้ว ใส่โถแก้วแพร้วพราย แสง"
แสดงว่าคนไทยรู้จัก มะปรางตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
มะปรางมีถิ่นกำเนิด อยู่ในไทย พม่า ลาว เขมร และมาเลเซีย มีชื่อสามัญ
ว่า Bouea หรือ GarsIuria หรือ Marian Plum หรือ Maprang
มีญาติร่วมสายพันธุ์ ที่โด่งดัง คือมะม่วง มะม่วง หิมพานต์
มะปรางเป็นไม้ยืน ต้น สูงประมาณสิบเมตร เปลือกไม้มียาง ใบคล้าย มะม่วง
ดอกออกเป็นช่อ กระจายสีเหลืองขนาดเล็ก
มะปรางดิบจะมี สีเขียวอ่อน และเข้มขึ้น เมื่อแก่
ครั้นผลสุกจะเปลื่ยน สีเป็นเหลืองส้ม ซึ่งเกษตร กรจะรีบเก็บไม่รอให้สุก
คาต้น เพราะจะมียางมาก กินแล้วกัดคอ ทำให้ไอ และ เนื้อมักเหลวเละ
ผลมะปรางเป็นรูปไข่ สวยงาม หรืออาจค่อนมา ทางกลม เปลือกผลนิ่ม
เนื้อสีเหลืองส้มถึงส้มแดง แล้วแต่สายพันธุ์ รสชาติมี ทั้งเปรี้ยวอมหวาน หวาน
อมเปรี้ยว หรือเปรี้ยวจัด

พันธุ์มะปราง

ในทางพฤกษศาสตร์ สามารถจำแนกมะปรางลูก ส้มเหลืองน่ากินได้เป็น ๓
พันธุ์ใหญ่ๆคือ
๑. มะปรางป่า (Bouae Microphylla) หรึอที่ทางภาคใต้เรียกมะปริง จัดเป็น
ญาติสนิทในสกุลเดียวกับ มะปราง
ผลเล็กรสเปรี้ยว นำผลดิบตำกับน้ำพริก ใส่ แกงส้ม หรือเอามาจิ้มกับ
มันกุ้งให้รสชาติมันเปรี้ยว น้ำลายสอ ว้าว น้ำลายไหล
๒.มะปรางอินเดีย (Bouae Macrophylla) เป็น มะปรางใหญ่เกือบเท่าไข่ไก่
หรือมะม่วงลูกย่อม
๓.มะปรางทั่วไป (Bouae Burmanica) คำว่า Burmanica บอกความหมาย
ว่าพบมากในพม่า

มะปรางที่รู้จักกันใน ประเทศไทย มี ๓ ชนิด คือ มะปรางเปรี้ยว มะปรางหวาน
และมะยง

-มะปรางเปรี้ยว

คนโบราณเรียกอีกชื่อว่า"กาวาง" เพราะรสชาดเปรี้ยวจี๊ด แม้แต่นกกาที่
ชอบกินผลไม้คาบแล้วยังต้องวาง
แต่ชาวบ้านสามารถ นำไปแปรรูปเป็นมะปราง แช่ อิ่ม หรือมะปรางดอง
น่ารับประทาน

-มะปรางหวาน

โดยทั่วไปเวลาพูดถึง มะปราง เราจะหมายถึง มะปรางหวานนี่เอง
ผลเมื่อแก่มีรสมัน อมเปรี้ยว และหวานเหมือนสุรา
ข้อเสียของมะปรางหวานคือมียางที่ผิว เมื่อกินหลายๆลูกจะระคายคอ
ทำให้ไอ
มะปรางหวานที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย คือ ต้นมะปรางในวังสระปทุม
และมะปรางห่าอิฐ อำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นที่รู้จักกันมาแต่สมัย
รัชกาลที่ ๕

-มะยง

คือมะปรางนั่นเอง แต่เป็นมะปรางที่ไม่มียาง กินแล้วไม่ระคายคอ
มะปรางอาจกลายเป็น มะยง และมะยงอาจกลาย เป็นมะปราง ขึ้นกับดินที่ปลูก
เราจะรู้ว่าต้นใดเป็น มะปรางหวาน หรือมะยง ก็โดยอาศัยการชิมเท่านั้น

มะยงก็แบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ
มะยงชิด มีรสหวานนำเปรี้ยว กับมะยงห่าง มีรสเปรี้ยวน๋าหวาน
มะยงชิดที่ดีจะมี ลักษณะพิเศษคือ เนื้อละเอียด แข็ง ไม่เหลว และเมล็ดเล็ก
ความเปรี้ยวอยู่เพียงเปลือก หากปอกเปลือกทิ้งก็จะเหลือแต่เนื้อหวานฉ่ำชื่นใจ

ทั้งมะปรางและมะยงจะต้องรับประทานทันที เมื่อสุกจึงจะได้รสชาติ หาก
ทิ้งข้ามวันมักเนื้อเละเหลว ซึ่งชาวสวนเรียกว่า "ท้องขึ้น"
ดังนั้นหากอยากรับประทานมะปรางให้อร่อย คงต้องเลึอกที่เก็บใหม่ๆ หรือ
ไปซื้อในสวน
มะปรางสุกมีวิตามินซีสูง เนื้อมะปรางหนึ่งขีด (๑๐๐ กรัม) ให้วิตามินซี
เพียงพอกับความต้องการ ของร่างกายในหนึ่งวัน และ ยังมีสารแคโรทีนซึ่งช่วย
บำรุงสายตาและผิวหนัง
ตำรายาพื้นบ้าน ใช้ รากมะปรางถอนพิษไข้ ทั้งปวง
เป็นภูมิปัญญาชาวบัานอีกประการหนึ่ง ที่วงการแพทย์ยังไม่ได้พิสูจน์
ว่าได้ผลดีเพียงได

โดยภก.สรจักร ศิริบริรักษ์
จาก เภสัชโภชนา พลยแกมเพชร ปีที่ ๙ ฉบับ ๒๐๕ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๓ หน้า ๕๑-๕๔
โดยคุณ : สรจักร ศิริบริรักษ์


มีสูตรสู้\'ยุงร้าย\'มาบอก เด็กน้อยเสนอ\'กย.2000\'

"ย.ยุง" ยุ่งนัก
กัดเจ็บๆ คันๆ ทั้งยังเป็นพาหะนำโรคภัยมาสู่
ไข้เลือดออก ไข้จับสั่น ไข้สมองอักเสบ ล้วนมากับยุงทั้งนั้น โรคเท้าช้างด้วยนะเอ้า แล้วยังสร้างความรำคาญให้ต่างหาก กัดเจ็บยังไม่พอ คนจะขยันนอนหลับ เอ๊ย! ขยันอ่านหนังสือเสียหน่อย มาบินส่งเสียงหวี่หวี่ วี้วี้ ข้างๆ หูอยู่ได้
วันนี้หนูๆ ลงมือสู้กับยุง ดูท่าจะชนะด้วยละ

เด็กไทยสู้ภัยยุง เป็นโครงงานของโรงเรียนบ้านสร้างถ่อ สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอหัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ สูตรยาที่คิดขึ้นนอกจากจะป้องกันยุงได้ชะงัดแล้ว ยังไม่ส่งผลร้าย และช่วยลดปริมาณสารเคมีในชีวิตประจำวันด้วย
นักเรียนพบว่าสารสีเขียวจากพันธุ์ไม้คุ้นหน้าในชุมชนคือ "ใบสาบเสือ" บวก "ใบยูคาลิปตัส" จะได้ผลออกมาเป็น "กย.2000 เกราะป้องกันยุงร้าย" จะฉีด จะพ่นทั่วบ้าน หรือจะทาตัว รับรองปลอดสารเคมี ไม่มีสารพิษตกค้าง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อใครไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ และไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม
สำคัญที่สุดสำหรับยุคนี้คือประยัด...ประหยัด ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว ไม่ต้องไปซื้อหายาฉีดยุงกระป๋องหลายตังค์มาใช้

"นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่ง" ผอ.สปจ.อำนาจเจริญ นิรันดร์ บรรดาศักดิ์ กล่าว "ทำให้เด็กนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในวัฏจักรชีวิตของยุง รู้วิธีป้องกันยุงกัดโดยใช้สมุนไพร ไม่ต้องใช้สารเคมี ป้องกันไม่ให้มีสารพิษตกค้างซึ่งอาจเป็นอันตรายในอนาคต ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อสารเคมี ยากันยุง รู้จักนำพืชสมุนไพรในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น และนำประโยชน์ไปใช้ได้ในทุกภูมิภาค"

เจ้าของสูตรตัวเล็กๆ มาช่วยกันเป็นนายแบบนางแบบสาธิตวิธีการใช้ให้ดู และช่วยกันเล่าว่าใช้ใบเขียวๆ ของสาบเสือกับยูคาลิปตัสในปริมาณอย่างละ 10 กรัม มาบดและปั่นเข้าด้วยกัน แล้วใส่น้ำปริมาณ 200 ซีซี ลงทำเป็นสารละลายในอัตราส่วน 1 ต่อ 10 เสร็จสรรพก็จะได้สาร กย.2000
สรรพคุณ ใช้ฉีด พ่น ทา ตามบริเวณที่ต้องการป้องกันยุงกัด ได้ผลดีนักแล "กย.2000 เกราะป้องกันยุงร้าย"
โดยคุณ : สกู๊ปเยาวชน


มาตากใบไม้แห้งฤดูหนาวกันเถอะ

สำหรับคนที่ต้องตื่นเช้าเป็นกิจวัตรประจำวัน บางเช้าในช่วงนี้ตื่นขึ้นมา
พร้อมกับสัมผัสอากาศเย็นที่โชยมาเอื่อยๆ นับเป็นกำไรของชีวิต
กิจกรรมในสวนที่เหมาะกับฤดูหนาวมากที่สุดคือ การเก็บใบไม้ในสวน
มาตากแห้ง เพราะแสงแดดในฤดูหนาวตอนกลางวันนั้นร้อนแรงและอากาศ
แห้ง ทำให้ใบไม้ที่เก็บแห้งมีคุณภาพดี

การเก็บใบไม้แห้งพวกสมุนไพร มาเก็บ ไว้ต้มแทนใบชาเพื่อให้สุขภาพดี
ขึ้น เป็นเรื่องที่นิยมกันมานานแล้ว และถ้าสมุนไพรนั้นเป็นสมุนไพรที่คุณเก็บ
มาตากแห้งด้วยตัวคุณเอง คุณยิ่งมั่นใจในคุณภาพที่ไม่ปลอมปน และที่
สำคัญคือความสะอาด เพราะถ้าไปดูของที่เขาตากแล้วนำมาขาย คุณ
แทบไม่อยากจะซื้อของนั้นมาทาน เพราะเก็บมาตากพร้อมฝุ่นละอองที่ปลิวว่อนกับพื้นดิน

การเก็บพืชสมุนไพรตากแห้งไว้ทาน หลังจากที่เรามีของสดมากมาย
เป็นงานที่สนุก ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแต่อย่างไร และที่สำคัญไม่ต้องใช้เครื่องมือ
อะไรมากมาย แต่การเก็บก็มีขั้นตอนเหมือนกัน เพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพ
ลองมาดูกันหน่อยว่าจะเก็บอย่างไรกันดี

เริ่มด้วยการตัด

ขั้นแรกต้องเลือก ถ้าเก็บใบไม้ใบไม้ที่ไม่แก่ไม่อ่อนจนเกินไป
ถ้าเก็บดอกต้องเป็นดอกแรกแย้ม เพราะคุณค่าของน้ำมันหอมของดอกตูมจะมีมาก
ที่สุด เวลาเก็บต้องเก็บตอนเช้ามีแสงแดดส่องเพียงพอ ให้น้ำค้างที่ตกต้องใบ
และดอกระเหยแห้งแล้ว ใบและดอกที่เก็บไปช่วงนั้น มีความแห้งจากธรรม
ชาติพอดี การตัด ห้ามเด็ดกิ่งด้วยมือเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รากต้นไม้
กระเทือน ต้องใช้กรรไกรหรือเครื่องมือตัดกิ่งไม้ตัดทุกกิ่งทุกดอก ขอให้จำไว้เลย
ว่าการตัดกิ่งไม้หรือตัดดอกไม้อย่าใช้มือหัก เพราะแรงมือที่เหนี่ยวรั้ง
ทำให้ต้นไม้รากคลอนตายมามากแล้ว บางคนปลูกพริกหรือใบสะระแหน่
กะเพรา ไว้เป็นผักสวนครัว เวลาเก็บจะใช้มือเก็บ กระชากพรวดออกจากต้น
เพราะความสะดวก แต่การทำอย่างนั้นทำให้ต้นไม้ตายเร็วขึ้นเนื่องจาก
รากกระเทือน ลองนึก ถึงคนมากระชากผมเรากับการตัดผม กระชากทีเดียว
เจ็บไปทั้งหัว ต้นไม้ก็เหมือนกัน เจ็บบ่อยๆ พลอยป่วยตายไปเลยดีกว่า

ล้างน้ำทำความสะอาด

สมุนไพรบางชนิดไม่จำเป็นต้องล้างน้ำทำความสะอาด เพราะไม่มีความ
สกปรกของ ฝุ่นหรือดินติดอยู่ แต่บางชนิดที่ขึ้นติดดินปนโคลน ควรต้องล้าง
น้ำให้ดินโคลนออกเสียก่อน การล้างต้องล้างน้ำไหลจึงจะทำให้เศษดินออกไป
ได้ง่ายอย่าล้างแบบจุ่มแช่เพราะไม่สะอาดอย่างแท้จริง เมื่อล้างเสร็จแล้วต้อง
สะบัดให้น้ำออกมากที่สุด แล้วซับกระดาษหรือผ้าแห้งๆ ให้หมดน้ำมากที่สุด
ตากแห้ง สถานที่เก็บตากแห้งที่ดีที่สุดคือ ที่ๆ ค่อนข้างมืด อากาศถ่ายเทดี เช่น
คานโรง รถหรือชานระเบียง การที่ต้องตากแห้งใน ที่ค่อนข้างมืด เพราะจะ
ช่วยให้สีของใบ และดอกไม่เปลี่ยนแปลง เวลาตากแห้งต้องแขวนหัวห้อยลง
จะช่วยให้รูปแบบของดอกและใบคงสภาพเดิมไม่หลุดร่วงโรย ไปง่ายๆ

เก็บรักษา

ถ้าจะตรวจสอบว่าใบไม้ที่ตากแห้งดีพอ ที่จะเก็บไปไว้ใช้แล้วหรือยัง
ลองใช้มือรูดดูถ้าใบร่วงพรืดติดมือออกมาเลย เพียงแค่นี้เป็นสัญญาณได้แล้ว
ว่าแห้งดีแล้ว เก็บมาใส่ ภาชนะแห้งปิดฝานำไปใช้ได้
การเก็บตากแห้งใบไม้นี้ใช้ได้กับใบไม้ ดอกไม้ทุกชนิด ลองเก็บทุกชนิด
ในสวนมาตากแห้งเก็บไว้ พอแห้งแล้วลองนำใบแห้งมาต้มเหมือนต้มใบชา
แล้วคุณจะแปลกใจว่าสูตรเครื่องดื่มร้อนๆ จากใบไม้ดอกไม้แห้ง ในสวนคุณ
มีรสชุ่มคอชื่นใจ หอมกลิ่นดอก ไม้แห้งอ่อนๆ และสุดท้ายแน่ใจว่าสะอาด ไม่
มีโรคแทรกซ้อนตามมาให้รักษากันภายหลัง

วันหยุดนี้ ลองเดิน เก็บใบไม้ดอกไม้ในสวนมาตากแห้งเป็นกิจกรรมเสริมกันดูนะคะ
โดยคุณ : ลักษณศิริ ศิริวรรณ


ไม่ออกกําลังบั่นหัวใจผู้หญิง

นับเป็นครั้งแรก ที่มูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษได้ เปิดเผยผลของการศึกษา อันแสดงให้เห็นความร้ายแรง ของโรคหัวใจ เป็นครั้งแรก พร้อมกับระบุว่า ความเครียดในการทำงาน ความซึมเศร้า การขาดการออกกำลัง รวมทั้งการกินอาหารไม่ถูกส่วน เป็นสาเหตุ ใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่รู้สึกหวั่นไหว กับการเปิดเผยว่า การขาดการออกกำลังเป็นสาเหตุใหญ่อันหนึ่งกันมาก
มูลนิธิโรคหัวใจยังได้แนะนำให้ผู้หญิงอังกฤษ ควรจะปรับเปลี่ยนการประพฤติปฏิบัติตนเสียใหม่ เพื่อให้มีสุขภาพดี "เพราะการเดินเหินทำโน่นทำนี่แค่นั้นยังไม่พอ แต่ไม่ใช่ถึงกับต้องไปลงสนามกีฬา หากควรได้เดินกันให้มากกว่านี้"
โดยคุณ : วิทยาการ -



ยาของอนาคต รู้ทันโรคมากขึ้น

อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ศาสตราจารย์พรชัย มาตังคสมบัติ กล่าวว่า มนุษย์ สามารถเข้าใจถึงกลไก ภายในร่างกายได้ลึกถึงระดับยีนหรือหน่วยพันธุกรรม ยีนมนุษย์ มีอยู่ด้วยกันกว่า 3,200 ล้านคู่ นักวิทยาศาสตร์ ถอดรหัสเสร็จในปีนี้ ทำให้รู้ว่ามีการเรียงตัวต่อกันอย่างไร การใช้ยาในอนาคตมีแนวโน้มปรับเปลี่ยนให้การแพทย์การสาธารณสุข เป็นเชิงรุกมากขึ้น เป็นการทำความเข้าใจ กับพยาธิสภาพที่ก่อให้เกิดโรค นำมาพัฒนายารักษาโรค ที่ได้จากข้อมูลรหัสพันธุกรรมของมนุษย์

ศาสตราจารย์พรชัย กล่าวต่อไปว่า ยีนที่กำลังสนใจ คือ ยีนที่ง่ายกับการติดเชื้อ เมื่อรู้กลไกจะสามารถพัฒนา สู่การป้องกันการติดเชื้อได้ ยีนนี้เป็นส่วนสำคัญในการคิดออกแบบวัคซีนให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มคนเอเชีย กลุ่มคนยุโรป สามารถสร้างภูมิต้านทานโรคได้ดี วัคซีนปัจจุบัน ที่ใช้กันอยู่นั้น เมื่อนำมาใช้กับประชากรทั่วโลก เหมือนกันหมด พบว่าล้มเหลวถึงร้อยละ 35 ไม่อาจสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้
โดยคุณ : ์พรชัย มาตังคสมบัต


ยารักษา\'ความดันสูง\' แก้เสื่อมสมรรถภาพได้

นายคาร์ลอส เฟอร์ราริโอ แห่งศูนย์การแพทย์แบบทิสต์ของมหาวิทยาลัยเวค ฟอร์เรส กล่าวว่า ยาโลซาร์ตันที่รักษาอาการความดันโลหิตสูง อาจจะช่วยแก้ไขปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ เนื่องจากให้ผลข้างเคียงในการช่วยปรับปรุงอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย ที่มีความดันโลหิตสูงและมีปัญหาทางเพศ
นายคาร์ลอสกล่าวว่า ภาวะความดันโลหิตสูงสามารถเร่งให้เส้นเลือดต่างๆ แข็งตัว ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจได้ และผู้ที่ประสบปัญหาโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงอาจจะไม่เหมาะสมในการใช้ยารักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศต่างๆ อย่างไรก็ตาม ยานี้กำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ ซึ่งให้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดย 88% ของผู้ชายที่เข้าร่วมการทดลองในเวลา 12 สัปดาห์ในประเทศสเปน พบว่าอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศลดลง มีความพอใจในด้านเพศสัมพันธ์ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยานี้ยังอาจจะใช้ได้ในผู้หญิงด้วยเช่นกัน



ระบุวิธีรักษาเบาหวาน ที่ผ่านมาไม่ได้ผลดี

ศ.นพ.เลสเตอร์ ปี.ซาลานส์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบต่อมไร้ท่อ วิทยากรรับเชิญจาก มหาวิทยาลัยร็อคกี้ เฟลเลอร์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาวงการแพทย์ทั่วโลกยัง ประสบปัญหาในการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน เนื่องจากผลการรักษาผู้ป่วยเบาหวานในช่วงที่ผ่านมา ยังได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจในระยะยาว

ทั้งนี้เป็นเพราะการคุมระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่ดีพอ และยาที่ใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วย เบาหวานยังไม่มีประสิทธิผลในการรักษาสูงสุด โดยเป็นการมุ่งควบคุมน้ำตาลในเลือดมากเกินไป โดยเฉพาะการคุมน้ำตาลในเลือดในภาวะอาหาร ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ ได้ เช่น เกิดภาวะ น้ำตาลในเลือดต่ำซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยช็อกได้ และเกิดความผิดปกติของลำไส้

ศ.นพ.ซาลานส์ กล่าวว่า วงการแพทย์ได้มีการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาวิธีการรักษาผู้ป่วย เบาหวานใหม่ๆ เพื่อให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยมุ่งการรักษาไปที่การ คุมน้ำตาลหลังอาหาร ซึ่งมีผลมากกว่าการรักษาแบบเดิมที่มุ่งไปที่น้ำตาลก่อนอาหาร เพราะได้มี การศึกษาจำนวนมากที่สนับสนุนว่าน้ำตาลในเลือดสูงหลังมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคแทรกซ้อน ต่างๆ จากเบาหวานมากกว่าน้ำตาลในเลือดสูงก่อนอาหาร

ด้านศ.นพ.อภิชาติ วิชญาณรัตน์ นายกสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ปัญหาในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยได้ผลมากนักเพราะการรักษาผู้ป่วยเบาหวานจำ เป็นอย่างยิ่งต้องคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงค่าปกติมากที่สุด และไม่ให้น้ำตาลในเลือด ต่ำเกินไปซึ่งเป็นเรื่องยาก เนื่องจากการใช้ยาคุมน้ำตาลในเลือดกลุ่มที่ใช้อยู่เดิมจะออกฤทธิ์ทั้ง วันตลอดเวลา รวมทั้งการที่แพทย์ให้ยาเผื่อไว้ด้วย ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำบ่อยครั้ง เสี่ยงต่ออาการช็อกได้
โดยคุณ : เลสเตอร์ ปี.ซาลานส์


ระวัง! กรอก"ดราโน่" ลงในท่อบ่อยๆ อันตรายจ้ะ ี

ระวัง! กรอก"ดราโน่" ลงในท่อบ่อยๆ อันตรายจ้ะ
"ดราโน่" เป็นชื่อที่เราเรียกสารเคมีที่เข้าไปทำปฏิกริยา
กับเศษผงหรือไขมันที่ติดอยู่ในท่อของสุขภัณฑ์ต่างๆ
เวลาท่อระบายน้ำอุดตัน หลายท่านมักจะไปซื้อผงเคมีนี้เทลงไป
ผงเคมีจะทำปฏิกริยากับเศษอาหาร เส้นผม ไขมัน ฯลฯ
จัดการละลายทะลวงให้ท่อที่อุดตันอยู่กลับกลายเป็นท่อที่โล่ง
ให้น้ำผ่านไปได้ง่ายขึ้น
แต่เพราะผงเคมีนี้เป็นตัวทำลายชั้นเยี่ยม
และจะเกิดควันพิษตามมาในขณะที่ทำปฏิกริยา
ควันพิษนี้จะเป็นอันตรายหากเราสูดดมเข้าไปบ่อยๆ
แต่ที่เป็นอันตรายจริงๆ (แม้จะเป็นอันตรายทางอ้อม)
ก็คือผงเคมีนี้จะเข้าไปสู่ท่อบำบัดของเรา
ซึ่งในบ่อบำบัดจะมีบักเตรีอาศัยอยู่
บักเตรีเหล่านี้จะช่วยในการย่อยสลายของเสียในบ่อบำบัด
เมื่อผงเคมีเข้าไปผสมในบ่อบำบัด ก็จะฆ่าทำลายบักเตรี
ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายปฏิกูลของเรา
พอบักเตรีตายหมด ก็ไม่มีใครมาช่วยย่อยสลายของเสีย
ของเสีย ปฏิกูลก็จะเกิดอาการ "เหม็น เหม็น เหม็น"
ดังนั้น การใช้สารเคมีแก้ท่ออุดตัน แม้จะเป็นวิธีการที่สะดวก
แต่ต้องระวัง "ความพอดี" ในการใช้งานนะครับ (นะคะ)
คัดจาก : ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์, คุยเรื่องบ้านกับสถาปนิกไทย,
นสพ. มติชนรายวัน


ระวังภัยยาฆ่าแมลงเสี่ยงต่อเด็กเป็นมะเร็ง

ดร.โจนาธาน ดี บัคเลย์ จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส และคณะนักวิจัย ในสหรัฐอเมริกา ศึกษาเปรียบเทียบเด็ก 268 คน ที่ได้รับยาฆ่าแมลง ปรากฏว่า เด็กเหล่านี้กลายเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า นอน ฮอด์จกิ้น ลิมโฟม่า คณะนักวิจัยได้ประเมินเด็กที่ได้รับยาฆ่าแมลง และแม่ซึ่งรับยาฆ่าแมลงในบ้าน ก่อนการตั้งครรภ์เป็นเวลา 1 เดือน และในระหว่างตั้ง ครรภ์ พบว่า เด็กในกลุ่มที่แม่ใช้ยาฆ่าแมลงในบ้าน 1-2 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ มีโอกาสจะเป็นโรคมะเร็ง ชนิดดังกล่าวได้ มากกว่าเด็กที่ในบ้านไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลง 2 เท่าครึ่ง และถ้าบ้านหลังใด ใช้ยาฆ่าแมลงในบ้าน เป็นประจำทุกวัน จะมีโอกาสเป็นมะเร็ง ประเภทนี้ สูงกว่าปกติถึง 7 เท่า และถ้าหญิงมีครรภ์ใช้ยาฆ่าปลวกในบ้าน ก็จะมีโอกาสให้กำเนิดทารก ป่วยเป็นมะเร็งมากกว่าปกติถึง 3 เท่า และถ้าเด็กได้รับยาโดยตรง มีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็งประเภทนี้ถึง 2 เท่า
อย่างไรก็ดี งานชิ้นนี้ยังเป็นเพียงงานวิจัยเบื้องต้น ยังไม่อาจนำไปใช้อ้างอิงได้โดยทั่วไป และเนื่องจากจำนวน ยาฆ่าแมลง มีอยู่หลายชนิด จึงทำ ให้ยากต่อการระบุลงไปชัดๆ ว่า ยาฆ่าแมลงชนิดไหน ที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เป็นมะเร็ง.
โดยคุณ : โจนาธาน ดี บัคเลย์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น