++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ออกกำลังกาย... ฟื้นฟูผู้ถูกตัดขาจากเบาหวาน /อ.พญ.วิลาวัณย์ ถิรภัทรพงศ์

ออกกำลังกาย... ฟื้นฟูผู้ถูกตัดขาจากเบาหวาน /อ.พญ.วิลาวัณย์ ถิรภัทรพงศ์
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

บทความโดย: อ.พญ.วิลาวัณย์ ถิรภัทรพงศ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู

"ขา..ขา...หายไปไหน"

ความ ทุกข์ทรมานใจที่รู้ว่า
ตนต้องต้องสูญเสียอวัยวะสำคัญของร่างกายเมื่อลืมตาขึ้นหลังผ่าตัดขา
ทำให้คนไข้เบาหวานหลายคนอดท้อใจกับชีวิตไม่ได้

จากการสำรวจผู้สูงวัยเกิน 65 ปีขึ้นไปที่ถูกตัดขา พบว่า ร้อยละ 75
มีสาเหตุหรือเกี่ยวข้องกับเบาหวานเป็นสำคัญ
ทั้งนี้เนื่องจากเบาหวานเป็นโรคที่ทำให้เกิดความบกพร่องของระบบประสาทส่วน
ปลาย ระบบประสาทอัตโนมัติและระบบหลอดเลือด
จึงทำให้เกิดอาการชาบริเวณปลายเท้า เวลาเป็นแผลบ่อยครั้งที่ไม่รู้ตัว
กว่าจะรู้แผลก็มีขนาดใหญ่ เกิดแผลติดเชื้อได้ง่าย กลายเป็นแผลเรื้อรัง
และรักษาให้หายยาก รวมทั้งอาจเกิดเนื้อตายจากหลอดเลือดส่วนปลายตีบตัน
จนอาจนำไปสู่การรักษาด้วยการตัดนิ้วเท้า เท้าหรือขาในที่สุด

เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการออกกำลังกาย

แม้การถูกตัดขาจะทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจ
แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ดูแลตนเอง มีแต่ความท้อแท้ สิ้นหวัง
ไม่ปรับพฤติกรรมการดูแลตนเองเสียใหม่
อาจจะทำให้ต้องสูญเสียแขนขาข้างที่เหลือหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามมาได้
สำหรับในการดูแลตนเอง นอกจากการควบคุมอาหาร
การรับประทานยาและไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอแล้ว
การออกกำลังกายถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดของการรักษาและฟื้นฟูสภาพ
โดยมีเป้าหมายคือ เพื่อเสริมสร้างหรือคงสภาพความแข็งแรงของร่างกาย
รวมทั้งเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
และควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างเช่น
ควบคุมระดับไขมันในเลือด ระดับความดันโลหิต และน้ำหนักตัว
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตนเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามศักยภาพ

การให้ผู้สูงอายุที่ถูกตัดขาโดยเฉพาะที่มีสาเหตุจากโรคหลอดเลือดหรือ
เบาหวาน หรือผู้สูงอายุที่ถูกตัดขาจากสาเหตุอื่น
แต่มีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น โรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน เป็นต้น
มารับการทดสอบก่อนออกกำลังกาย
สามารถช่วยให้การออกกำลังกายมีความปลอดภัยมากขึ้น
ซึ่งส่งผลให้ผู้สูงอายุออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจและมีการปรับเพิ่มการออก
กำลังกายให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ


การทดสอบก่อนออกกำลังกาย

การทดสอบก่อนออกกำลังกายจะทำให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจว่าควรออกกำลัง
กายอย่างไรจึงจะเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย
การทดสอบทำโดยให้ผู้ป่วยมาออกกำลังกายโดยใช้อุปกรณ์ที่ใช้ในการออกกำลังกาย
ได้แก่ ลู่เดิน จักรยานปั่นมือ จักรยานปั่นเท้า
พร้อมกับมีการตรวจติดตามการทำงานของหัวใจ เช่น
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจในระหว่างการทดสอบ
เพื่อตรวจสอบหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นทั้งในระยะก่อน
ระหว่างและหลังการออกกำลังกาย

ข้อควรรู้ในการออกกำลังกาย

1.ควรอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย โดยค่อย ๆ
เพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เอ็นและข้อ
เพื่อลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ
รวมทั้งเพื่อเป็นการตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นก่อนเพิ่มความหนักในการ
ออกกำลังกายด้วย โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที

2.ควรผ่อนเครื่องหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง โดยค่อย ๆ
ลดความหนักและความเร็วในการออกกำลังกายลง
เพื่อช่วยทำให้ความดันและชีพจรค่อย ๆ กลับสู่เกณฑ์ปกติ
รวมทั้งช่วยเพิ่มการไหลเวียนกลับของเลือดดำเพื่อป้องกันภาวะความดันเลือดต่ำ
หรืออาการหน้ามืดหลังการออกกำลังกาย
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติและกล้ามเนื้อหัวใจขาด
เลือดด้วย โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 10 นาที

3.ควรออกกำลังกายหลังอาหารมื้อใหญ่หนักประมาณ 1-2 ชม.
เนื่องจากการออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารประมาณ 1-2 ชั่วโมง
สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าการออกกำลังกายก่อนรับประทานอาหาร
เพราะระดับอินซูลินที่สูงขึ้นหลังรับประทานอาหาร
ช่วยทำให้ตับผลิตและปลดปล่อยกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดน้อยลง

4.พกพาลูกอม น้ำผลไม้ น้ำ ไปด้วยเมื่อออกกำลังกายเป็นเวลานาน
เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำและภาวะร่างกายขาดน้ำ

5.ในกรณีที่ฉีดอินซูลิน
ไม่ควรฉีดบริเวณกล้ามเนื้อที่มีการออกกำลังกาย เช่น
ในการออกกำลังกายที่ใช้ส่วนแขนหรือขา ให้เปลี่ยนไปฉีดบริเวณหน้าท้องแทน


หลักในการออกกำลังกาย

1.ประเภทของการออกกำลังกาย
แนะนำให้ออกกำลังกายประเภทแอโรบิก เช่น
เดินหรือปั่นจักรยานขาในผู้ป่วยที่ใส่ขาเทียมและสามารถทรงตัวได้ดี
ปั่นจักรยานแขนหรือแกว่งแขนในผู้ป่วยที่ไม่ใส่ขาเทียมหรือใส่ขาเทียมแต่ยัง
ทรงตัวไม่ได้เป็นต้น
อย่างไรก็ตามจะเลือกออกกำลังกายชนิดใดขึ้นกับสภาพร่างกาย ความชำนาญ
ความถนัด และความชอบของแต่ละบุคคล
เพื่อให้ทำได้อย่างสม่ำเสมอและมีความสุข

2.ความหนักของการออกกำลังกาย
ค่อยๆ เพิ่มระดับในการออกกำลังกายจากเบา ๆ และหนักเพิ่มขึ้น
โดยให้ความเหนื่อยอยู่ที่ความหนักระดับปานกลาง ทั้งนี้
อาจใช้อัตราการเต้นของหัวใจหรือชีพจรเป็นตัวกำหนด
โดยอาจกำหนดความเหนื่อยที่อัตราการเต้นของหัวใจหรือชีพจรขณะพักบวก 10
แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น หรือถ้าไม่สามารถใช้อัตราการเต้นของหัวใจ
หรือชีพจรได้ ซึ่งอาจเนื่องจากกินยาลดความดันโลหิตบางกลุ่มที่ยับยั้งการเพิ่มของอัตราการ
เต้นของหัวใจหรือชีพจร แนะนำให้ใช้ระดับความรู้สึกเหนื่อยเป็นตัวกำหนดแทน

3.ระยะเวลาในการออกกำลังกาย
ค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาในการออกกำลังกายจนสามารถออกกำลังกายได้ต่อเนื่องประมาณ
20-30 นาที แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ให้ใช้วิธีออกกำลังกายสะสม
โดยออกกำลังกายเป็นระยะเวลานานเท่าที่ทำได้ หลายๆ ครั้ง และสะสมต่อวันได้

4.ความถี่ในการออกกำลังกาย
ประมาณสัปดาห์ละ 3-5 วัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย
ความหนักและระยะเวลาในการออกกำลังกาย

นอกจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว
ผู้ถูกตัดขาจากโรคหลอดเลือดส่วนปลายหรือจากโรคเบาหวาน
ควรได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพของหัวใจ ควบคุมโรคเบาหวาน
ควบคุมระดับไขมันในเลือด ห้ามสูบบุหรี่ ควบคุมน้ำหนักตัว
รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
รวมทั้งป้องกันแผลที่ตอขาข้างที่ถูกตัดและป้องกันแผลที่เท้าที่อาจเกิดขึ้น
กับขาอีกข้าง โดยเลือกใส่ขาเทียมที่กระชับพอดีกับตอขา
ไม่รัดแน่นหรือหลวมจนเกินไป
และใส่รองเท้าที่มีขนาดและรูปทรงเหมาะสมกับเท้าข้างปกติ
และทำด้วยวัสดุที่นุ่ม ใส่สบาย ระบายเหงื่อและความร้อน
และที่สำคัญควรตรวจดูความผิดปกติ เช่น รอยแดง แผล
ที่อาจเกิดขึ้นหลังการสวมใส่ทุกครั้ง

ท้ายนี้อยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการออกกำลังกายว่ามีประโยชน์
ต่างๆ มากมาย และไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด
นอกจากจะทำให้ผู้ออกกำลังกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังทำให้คลายเครียด
ลืมความโศกเศร้า และนอนหลับได้ง่ายขึ้นด้วย
ยิ่งถ้าชวนเพื่อนมาออกกำลังกายด้วยกัน ยิ่งทำให้การออกกำลังกายสนุก
มีความสุข แล้วที่สำคัญเพื่อนยังได้ดูแลกันเผื่อมีภาวะผิดปกติเกิดขึ้นอย่างเช่นอาการ
น้ำตาลในเลือดต่ำในขณะออกกำลังกายด้วย

เห็นข้อดีอย่างนี้แล้ว มาชวนกันออกกำลังกายดีกว่านะคะ

พบกิจกรรมดีๆ จากศิริราช

* 3 ปีแรกจังหวะทองของพัฒนาการ
ขอเชิญพ่อแม่ผู้ปกครองฟังการบรรยายพร้อมรับเอกสาร วันที่ 14 มิ.ย.เวลา
13.00 -16.00 น.ณ อาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15 รพ.ศิริราช
สำรองที่นั่งฟรี โทร.0-2419-5722, 0-2419-7626

* เหตุผลที่ไม่ควรพลาดประชุมวิชาการแพทย์ศิริราช-แพทย์จุฬาฯ

1.เต็มอิ่มกับหัวข้อสัมมนาวิชาการที่น่าสนใจ ทันสมัย
และครอบคลุมในทุกสาขาวิชา โดยวิทยากรชั้นนำจากสถาบันต่างๆ
ทั้งในและต่างประเทศ

2.Update ความรู้เรื่องโรคที่เป็นปัญหาสุขภาพของคนไทย
แนวทางการดูแลแบบองค์รวมร่วมกันระหว่างสหสาขาวิชาชีพ
ตลอดจนแนวปฏิบัติที่ควรเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน

3.เพิ่มพูนทักษะด้วยการอบรมเชิงปฏิบัติการหลากหลาย
พบกัน 22-24 มิ.ย.นี้ ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์
กรุงเทพฯ สนใจสมัครได้ที่ โทร.0-2419-7680-1 หรือที่
http//www.jcms09.com


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000065354

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น