++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เหตุผลการ ‘ทวงคืน’ ปตท. และเสียงสะท้อน

ส ัปดาห์ที่ผ่านมาประเด็น ปตท. ถูกพูดถึงอีกครั้ง โดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รวมพลเดินไปชุมนุม ปราศรัยหน้าสำนักงานใหญ่ ปตท. พร้อมประกาศว่าจะทวงคืนสมบัติชาติชิ้นนี้อย่างแน่นอน เพราะกำไรมหาศาลนั้นกลับคืนรัฐในรูปภาษีเพียงเล็กน้อย
แต่รูปธรรมการ ทวงคืน ที่ชัดที่สุดคือข้อเสนอของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นหัวหอกสำคัญในการคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมาตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ
มูลนิธิผู้บริโภค นำเสนอว่า ประชาชนควรระดมทุนกันเพื่อซื้อคืนหุ้น ปตท.ที่เหลือในส่วนของเอกชน (รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังถือหุ้น 51.8%) ซึ่งคิดตามราคาหุ้นปัจจุบัน (240-250 บาท/หุ้น) ก็มีมูลค่าราว 200,000 กว่าล้านบาท เฉลี่ยต่อหัวประชากร 63 ล้านคนก็คนละ 3,370 ล้านบาท เป็นข้อเสนอที่โยนหินออกมาถามทางสังคม เนื่องจากค่อนข้างหมดหวังที่จะผลักดันในส่วนรัฐบาลเสียแล้ว
ทำไมต้องทวงคืน ปตท.
แ ล้วทำไมต้องซื้อคืน ปตท. ซึ่งหลายคนเห็นว่ากำลังยิ่งใหญ่ เติบโตในเวทีโลก นอกเหนือข้อกล่าวหาเรื่องทำกำไรสูง จ่ายภาษีไม่มากแล้ว มูลนิธิผู้บริโภคยังมีเหตุผลเชิงโครงสร้างที่สำคัญ คือ การผูกขาด
สายรุ้ง ทองปลอน จากสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า หากพิจารณากิจการของ ปตท.จะเห็นว่า ในเรื่อง 1.ก๊าซธรรมชาตินั้น ผูกขาด 100% แม้ศาลปกครองจะมีคำตัดสินให้คืนทรัพย์สินส่วนที่ท่อก๊าซออกมา เพื่อจ่ายค่าเช่าแล้ว แต่กรณีดังกล่าวก็ยังไม่มีการดำเนินการที่คืบหน้าชัดเจน 2.น ้ำมัน จะเห็นได้ชัดว่าก่อนแปรรูป ปตท.ยังไม่ใช่เจ้าใหญ่ แต่เมื่อแปรรูปแล้วกลับกลับหัวกลับหาง กลายเป็นเจ้าใหญ่ และยังลงมาทำธุรกิจปั๊มน้ำมันอีก แต่กิจการที่สำคัญและผูกขาดอย่างชัดเจนคือ กิจการโรงกลั่น ซึ่ง ปตท.เข้ามาคุมโรงกลั่นเกือบทั้งหมด (5 ใน7 แห่ง) 3.ไฟฟ้า ปตท.เป็นผู้เดียวที่ขายก๊าซให้ กฟผ. ดังนั้นจึงผูกขาดไปแล้ว 70% เพราะไทยใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้าเกือบ 70%
น อกจากปัญหาการผูกขาดแล้ว ยังมีช่องโหว่ในเรื่องการกำกับดูแล แม้ปีที่แล้วจะมีการออกกฎหมายสำคัญอย่าง พ.ร.บ.กำกับกิจการพลังงาน ซึ่งนับเป็นกติกาใหม่ของไทย ให้มีคณะกรรมการกลาง 7 คนที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ มาดูแลกิจการพลังงาน เพราะที่ผ่านมาไม่ว่านักการเมือง ข้าราชการ อัยการ ฯลฯ แทบทุกองคาพยพที่สำคัญล้วนมีหุ้นหรือเกี่ยวข้องกับ ปตท.ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ดูแลเฉพาะกิจการไฟฟ้า ไม่ได้ครอบคลุมเรื่องน้ำมัน และก๊าซ (ในส่วนของก๊าซดูเฉพาะท่อก๊าซ) แต่สิ่งที่เป็นอยู่คือการกำกับโดยตัวแทนหน่วยงานภาครัฐซึ่งเป็นกรรมการบริษั ท ปตท.ด้วยในขณะเดียวกัน
ท ี่ผ่านมามีการนำเสนอทางออกจากนักวิชาการมากมาย แต่รัฐก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ เช่น การแยกกิจการท่อก๊าซออกมา เพราะเป็นกิจการที่เริ่มจากเงินภาษีของประชาชน รวมไปถึงเลือดเนื้อ ความขัดแย้งของคนในพื้นที่, การไม่ผูกขาดโรงกลั่น
ส ายรุ้งกล่าวด้วยว่า ในอดีต ปตท.เป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐในการแทรกแซงราคาพลังงาน แต่หลังการแปรรูป เครื่องมือในการแก้ปัญหาของรัฐหายไป และไปใช้กองทุนน้ำมันในการแทรกแซงราคาแทน ขณะที่ตอนนี้ ปตท.กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่ผูกขาดในหลายส่วน แม้แต่ข้อมูล ความรู้ เทคนิค ก็ถูกผูกขาดและไม่เปิดเผย เช่น การคิดราคาน้ำมันในขณะที่รัฐวิสาหกิจอย่าง กฟผ. กลับเปิดเผยข้อมูลมากกว่า
ส ายรุ้งมองว่า การออกแบบองค์กรให้เป็นกึ่งรัฐกึ่งเอกชน มีบริษัทแม่ บริษัทลูก เช่นนี้ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนในการชี้นำ ออกกฎหมาย นโยบายต่างๆ ที่ผ่านมา ปตท.จึงได้สร้างโครงข่ายของผลประโยชน์ทับซ้อนอันมหึมา
ถ้าปล่อยให้ ปตท.เป็นแบบนี้ต่อไป จริงหรือเปล่าที่รัฐบาลบริหารประเทศ จริงหรือเปล่าที่รัฐบาลจัดการด้านเศรษฐกิจ หรือเป็น ปตท. สายรุ้งกล่าว
ความเห็น เดชรัตน์ สุขกำเนิด
เ ดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานคนหนึ่งของไทย ให้ความเห็นต่อข้อเสนอของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคในการซื้อคืนหุ้น ปตท.ว่า การผูกขาดของ ปตท.นั้นแบ่งเป็น 1.การผูกขาดโครงสร้างตลาด เช่น การผูกขาดระบบก๊าซธรรมชาติทั้งหมด 2.โครงสร้างความเป็นเจ้าของ
ก ารที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคชวนให้ช่วยกันซื้อคืนหุ้น เป็นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างความเป็นเจ้าของ ให้มาอยู่ในมือของผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งก็ต้องขึ้นกับความตื่นตัวของผู้บริโภคอย่างมาก และอาจเป็นวิธีที่ไม่สามารถเปลี่ยนการดำเนินการของ ปตท.ได้ แต่อาจได้ผลกำไรกลับคืนสู่ภาครัฐมากขึ้น
เ ดชรัตน์เห็นว่าส่วนสำคัญที่เป็นปัญหาและต้องเร่งปรับปรุงเป็นเรื่องการผูกขา ดโครงสร้างตลาดมากกว่า ที่ผ่านมาแม้มี พ.ร.บ.กำกับกิจการพลังงาน แต่ก็ยังไม่ได้กำกับดูแล ปตท. ดังนั้นจึงอยากให้มีการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ให้การดำเนินการของ ปตท. ถูกกำกับตรวจสอบโดย พ.ร.บ.นี้ หรืออาจจะเป็นรูปแบบอื่น ซึ่งอาจจะสำคัญกว่าการเปลี่ยนโครงสร้างความเป็นเจ้าของ
ความเห็นวิฑูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ
ว ิฑูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ จากมูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ผู้ที่ศึกษาเรื่องพลังงานมาอย่างยาวนานอีกคนหนึ่ง ให้ความเห็นว่า สำหรับเขาแล้ว ปตท.มีกิจการหลายอย่าง และควรทำการแยกแยะให้มีระบบการจัดการอย่างน้อย 3 ส่วน คือ 1. ระบบธุรกิจเอกชน ในกิจการที่มีการแข่งขัน ไม่ผูกขาดตลาด 2.ใ นกิจการที่มีการผูกขาด และมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม เช่น ท่อก๊าซ โรงกลั่นน้ำมัน การขุดเจาะน้ำมันในบางเงื่อนไข ควรให้รัฐเข้ามามีบทบาทในการดำเนินการในลักษณะรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้ตอบสนองต่อส่วนรวม และควรมีการกำกับดูแลที่โปร่งใส ชัดเจน 3.กิจการในส่วนที่รัฐจะต้องเข้ามาดูแลเพื่อให้คนจน คนขาดโอกาส เข้าถึง เรียกว่าเป็นกึ่งรัฐสวัสดิการก็ว่าได้
ดังนั้น วิฑูรย์เห็นว่าเราควรต้องตอบคำถามก่อนว่า เป้าหมาย แนวคิด โครงสร้างและการดำเนินงานของ ปตท.ที่เราต้องการจะมีหน้าตาอย่างไร? การกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจแบบเดิม โดยที่ไม่มีการปฎิรูปเปลี่ยนแปลงอะไรเลยเหมือนที่ กฟผ. เป็นใช่คำตอบหรือไม่
น อกจากนี้ประเด็นเอาสมบัติของชาติคืนมา ต้องไม่ลืมว่า ปตท.ไม่ไช่เพียงแค่เรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเท่านั้น สำนึกและพฤติกรรมของ ปตท.ควรเป็นไปเพื่ออะไรและเพื่อใคร ผลประโยชน์ อำนาจ และระบบต่างๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบขององค์กรก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ข้อเสนอเรื่องซื้อหุ้นคืนจะมีน้ำหนักมากขึ้น ถ้าเรามีคำตอบต่อเรื่องเหล่านี้โดยองค์รวม และผลักดันการเปลี่ยนแปลงควบคู่กันไป
ที่มา http://www.prachatai.com/05web/th/home/13089 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น