++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภัลลาติยชาดก ขุททกนิกาย วีสตินิบาตชาดก

ภัลลาติยชาดก ขุททกนิกาย วีสตินิบาตชาดก
พระพุทธเจ้าของเรา ครั้งยังทรงบำเพ็ญบารมีอยู่ ได้ทรงพบมา แล้วตรัสเล่าเรื่องนี้ ไว้เป็นเครื่องเตือนสติสาวกทั้งหลายไม่ให้มัวเมาประมาท
พระเจ้าภัลลาติยะเสด็จประพาสป่าล่าเนื้อโดยลำพังพระองค์กับฝูงสุนัขไล่เนื้อ ได้เสด็จไปถึงภูเขาคันธมาทน์ซึ่งอุดมไปด้วยไม้ดอก และไม้ใบนานาพรรณ พระองค์ทรงพบสัตว์ ที่มีเพศพรรณคล้ายมนุษย์สองสามีภรรยา ที่ริมฝั่งแม่น้ำเหมวดี สัตว์ทั้งสองนั้นสวมกอดกันร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้างมิรู้หยุดหย่อน
พระราชาภัลลาติยะทรงแปลกพระทัย จึงทรงให้สัญญาณแก่ฝูงสุนัขให้หมอบคอยอยู่ แล้วเสด็จไปตรัสถามว่า
“เจ้าทั้งสองเป็นใคร จึงมีเพศพรรณคล้ายมนุษย์ ชาวโลกเรียกเจ้าว่าอะไร”
ได้รับคำตอบว่า “เราเป็นมฤค มีเพศพรรณคล้ายมนุษย์ ชาวโลกเรียกเราว่า กินนร”
พระราชาตรัสถามว่า “เจ้าทั้งสองมีทุกข์ร้อนมากนักหรือ จึงร้องไห้คร่ำครวญมิรู้สร่างซา”
กินนรทูลว่า “เราทั้งสองคิดถึงวันที่ต้องพรากจากกันไปหนึ่งราตรี จึงร้องไห้คร่ำครวญ ไม่ปรารถนาจะพบวันเช่นนั้นอีก”
พระราชาตรัสถามถึง เหตุที่สามีภรรยาต้องพรากจากกัน
นางกินนรีเล่าว่า
“ในฤดูฝนวันหนึ่ง เราเที่ยวไปตามโขดหินน้อยใหญ่ริมแม่น้ำ ที่อุดมด้วยพรรณไม้ดอกส่งกลิ่นหอมรวยริน สามีของเราข้ามฝั่งแม่น้ำไปแล้ว ด้วยคิดว่าเราจะข้ามตามไป แต่เรามัวเพลินเลือกเก็บดอกไม้มาร้อยกรองเป็นมาลัยอยู่ หวังจะให้สามีที่รักได้ทัดทรงดอกไม้ แล้วเราก็จะสอดแซมดอกไม้เข้าไปนอนแนบสามี
ก็เพราะเรามัวเก็บดอกไม้อยู่นั่นแหละ น้ำได้ขึ้นมาเต็มฝั่ง พัดเอาดอกไม้ลอยตามน้ำไปหมด เราข้ามไปหาสามีไม่ได้ แม้สามีก็ข้ามมาหาเราไม่ได้ ได้แต่เฝ้ามองกันอยู่คนละฝั่ง เวลาฟ้าแลบครั้งหนึ่ง ก็ได้เห็นหน้ากันทีหนึ่ง เมื่อเห็นหน้ากัน ก็ดีใจหัวเราะขึ้น ครั้นฟ้าไม่แลบ เดือนมืดมองไม่เห็นกัน ก็ร้องไห้คิดถึงกัน เราเฝ้าแต่เวียนหัวเราะและร้องไห้อยู่อย่างนี้ทั้งคืน
ครั้นรุ่งเช้าน้ำลด จึงได้ท่องน้ำมาหากัน ต่างดีใจสวมกอดกันด้วยความรัก เมื่อเราทั้งสองคิดถึงคืนที่ต้องจากกันครั้งไร ก็ร้องไห้และหัวเราะอีก เป็นเช่นนี้มานานถึง ๖๙๗ ปีแล้ว
พระราชาตรัสถามว่า “กินนรมีอายุยืนนานเท่าไร”
ได้รับคำตอบว่า มีกำหนดอายุ ๑,๐๐๐ ปี ไม่ถึงกำหนดก็ไม่ตาย และรักใคร่กันอยู่อย่างนี้ไม่มีจืดจาง
พระราชาทรงสดับแล้วสลดพระทัย ทรงดำริว่า “ชีวิตของเราสั้นกว่าพวกกินนรมากนัก ไม่ควรทิ้งพระเทวีและราชสมบัติมาเที่ยวป่า ควรกลับไปบำเพ็ญกุศล”
ครั้นทรงดำริแล้ว ก็เสด็จกลับเข้าเมือง ตรัสเล่าเรื่องที่ทรงพบมาให้พระอัครมเหสีและข้าราชบริพารฟัง จากนั้น พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญกุศลอยู่จนตลอดพระชนมายุ โดยไม่ประมาท ครั้นสิ้นพระชนม์แล้ว เสด็จอุบัติในเทวโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น