จนอาจมองได้ว่าโรคนี้อาจติดมาจากพันธุกรรมได้
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณะสุขพบว่า ปัจจุบันคนที่วัย 35
ปีขึ้นไปป่วยเป็นเบาหวานมากถึง 2.4 ล้านคน
และที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือผู้ที่เข้ารับการรักษากว่าครึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าป่วยเป็นเบาหวาน
ลองทำแบบทดสอบดูว่าคุณเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานมากน้อยเพียงใด
โดยทำเครื่องหมาย ถูก ที่หน้าหัวข้อนั้นๆ หากตรงกับสภาพและอาการของตน...
*
คุณมีอายุมากกว่า 35 ปี
*
มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคเบาหวาน
*
ชอบกินของหวานๆ มันๆ
*
หิวบ่อย ทานจุ
*
ออกกำลังกายน้อย
*
กระหายน้ำบ่อย
*
อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย
*
ตาพร่า มองไม่ชัด
*
ความดันโลหิตสูง
*
น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
*
ปวด แน่น จุกเสียดหน้าอก
*
น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน
*
ชาตามปลายมือปลายเท้า
*
ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืนต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะ
หากคุณตอบว่าใช่เป็นส่วนใหญ่แสดงว่าคุณอาจเป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องรีบบำบัดรักษาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
เบาหวานคืออะไร
เบาหวานเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอ
หรือร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยกว่าปกติ
จึงไม่สามารถเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตรวมถึงโปรตีนและไขมันบางส่วนได้อย่างเหมาะสม
ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติและเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง
เช่น หัวใจวาย ตาบอด ไตวาย อัมพฤกษ์ อัมพาตและโรคติดเชื้อ เป็นต้น
เบาหวานจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
เบาหวานชนิดที่ 1 หรือเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน
ซึ่งเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอ
เบาหวานชนิดนี้ส่วนใหญ่จะพบในเด็กและวัยรุ่น ประมาณ 10%
ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นเบาหวานชนิดที่ 1
เบาหวานชนิดที่ 2 หรือเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
ซึ่งตับอ่อนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้ส่วนใหญ่สร้างอินซูลินได้อย่างเพียงพอ
แต่ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยกว่าปกติ
ประมาณ 90% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
โรคแทรกซ้อนของเบาหวานมีอะไรบ้าง
*
ตา อาจเป็นต้นกระจกก่อนวัย ประสาทตาหรือจอตาเสื่อม และอาจทำให้ตาบอดในที่สุด
*
ระบบประสาท ผู้ป่วยอาจะเป็นปลายประสาทอักเสบ
มีอาการชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือปลาย
*
เท้า ซึ่งมักจะทำให้มีแผลเกิดขึ้นที่เท้าได้ง่ายและอาจลุกลามจนเท้าเน่า
กระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน ทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หรือไม่
มีแรงเบ่งปัสสาวะ กระเพาะอาหารไม่ทำงาน มีอาการจุกเสียด อาหารไม่ย่อย
ท้องผูก ท้องเดิน โดยเฉพาะเช้ามือถึงก่อนเที่ยง
ผู้ป่วยชายมักมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
*
ไต มักเกิดภาวะไตวาย มีอาการบวม ซีด ความดันโลหิตสูง
ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยเบาหวานที่พบได้ค่อนข้างบ่อย
*
ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ถ้าหลอดเลือดแดงที่เท้าแข็งและตีบ
เลือดไปเลี้ยงเท้าไม่พออาจทำให้เท้าเย็น เป็นตะคริว ปวดขณะเดินมากๆ
หรืออาจทำให้เป็นแผลหายยากหรือนิ้วเท้าเป็นเนื้อตายเน่า
*
ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เช่น วัณโรคปอด
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ กลาก โรคเชื้อชา เป็นฝีหรือพุพองบ่อย
นิ้วเท้าหรือช่องคลอดอักเสบ เป็นต้น
*
แผลที่เท้า เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย
เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมักมีภาวะปลายประสาทอักเสบ
และภาวะขาดเลือดทำให้เท้าชาเกิดแผลได้ง่ายและหายยากหรือเป็นเนื้อตายเน่า
บางครั้งจำเป็นต้องตัดนิ้วหรือตัดขา ทำให้เกิดภาวะพิการได้
ทำไมผู้ป่วยเบาหวานมักเสียชีวิตจากโรคหัวใจ
ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในอายุที่น้อยกว่าและรุนแรงกว่า
เนื่องจากระดับน้ำตาลที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นทำให้ผนังหลอดเลือดแดง
ทั้งรายการเกิดความผิดปกติและ เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้
ผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีโรคอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย เช่น โรคไขมันในเลือดสูง
ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เป็นต้น
โรคเหล่านี้จะเร่งให้โครงสร้างและสภาพของหลอดเลือดเกิดความผิดปกติมากขึ้นและเร็วขึ้น
หลอดเลือดหัวใจจึงเกิดการอักเสบ
ทำให้คราบไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือดมีการแตกออก
ซึ่งจะทำให้เกิดลิ่มเลือดมาอุดตันหลอดเลือดหัวใจอย่างเฉียบพลัน
ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบจึงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1
ของผู้ป่วยเบาหวาน
อาการโรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวานจะแตกต่างจากผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไปอย่างไร
สำหรับอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีพในผู้ป่วยเบาหวานอาการเจ็บหน้าอกมักจะไม่ชัดเจนหรือไม่มีเลย
เนื่องจากประสาทรับความรู้สึกในผู้ป่วยเบาหวานเสื่อมสภาพลง
จึงมักจะมีแค่อาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ แน่น
จุกเสียดหน้าอกเหมือนอาหารไม่ยอม วิงเวียน ตัวเย็น เหงื่อออก
ใจสั่นรู้สึกคล้ายจะเป็นลม
อาการเหล่านี้อาจมีอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพร้อมกันและอาจเกิดขึ้นในเวลาใดก็ได้
วิธีการบำบัดแบบองค์รวมของการแพทย์จีน
เป็นที่ทราบกันว่าโรคเบาหวานมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่างที่ทำให้เกิดภาวะพิการและมีอันตรายถึงชีวิต
การบำบัดโรคเบาหวานของการแพทย์จีนจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น
แต่ยังเน้นความสำคัญกับการรักษาต้นเหตุและโรคแทรกซ้อนของเบาหวานไปพร้อมๆ
กัน ดังนี้
*
ทำความสะอาดและทะลวงหลอดเลือด สลายลิ่มเลือดและไขมัน
ทำให้หลอดเลือดโล่งสะอาด
ดังทฤษฎีการวินิจฉัยและรักษาอันสำคัญของการแพทย์จีน ปวดแสดงว่าไม่โล่ง
โล่งแล้วก็จะไม่ปวด จึงป้องกันและรักษาโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน เช่น
โรคหลอดเลือด หัวใจตีบ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
*
ปรับความสมดุลของร่างกายโดยเฉพาะความสมดุลของตับและตับอ่อน
ทำให้มีการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลและอินซูลินในปริมาณที่เหมาะสม
และเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลแล้วก็จะตอบสนองต่ออินซูลินได้อย่างปกติ
จึงสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
*
บำรุงรักษาไตที่เสื่อมลงให้แข็งแรงขึ้น
เนื่องจากไตเสื่อมทำให้เกิดโรคเบาหวาน
แต่เมื่อเป็นโรคเบาหวานแล้วก็จะทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นจนเกิดภาวะไตวายซึ่งเป็นวัฏจักรที่เลวร้าย
การบำรุงรักษาไตจึงมีบทบาทสำคัญในการบำบัดฟื้นฟูโรคเบาหวานด้วย
ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้ถูกสุขลักษณะ
พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อใช้วิธีบำบัดรักษาแบบองค์รวมควบคู่กับการปฎิบัติตัวอย่างถูกต้อง
อาการต่างๆ ของเบาหวานจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น