++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

รัฐประหาร 19 กันยา ... เกิดจากอะไร?

โดย สิริอัญญา 10 กันยายน 2552 14:57 น.
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กำลังจะครบ 3 ปีแล้ว
และคนเสื้อแดงได้นัดหมายชุมนุมใหญ่เพื่อประณามการรัฐประหารนั้น
โดยที่ยังไม่รู้ว่าการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้จะเป็นไปประการใด
จะถึงกับล้มคว่ำรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลงไปได้หรือไม่
หรือว่าจะเป็นแค่การชกลมเหมือนที่ผ่านมา

เมื่อได้ดูอาการเร่าร้อนดิ้นรนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่โหมกระพือสื่อในเครือข่ายอย่างคึกคัก รวมทั้งการเขียน Twitter
และการพูดวิทยุเป็นรายวันในช่วงนี้แล้ว ก็ชอบกลนัก

ยิ่ง ได้ฟังคำแถลงของรองโฆษกรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร ว่า
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ หวังเผด็จศึกในเดือนกันยายน
ศกนี้ ย่อมมีแต่ทำให้คนไทยมีความทุกข์ใจ กังวลใจ
เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง

ทว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด และมันจะเกิดขึ้นอย่างไร
ดำเนินไปอย่างไร ลงเอยอย่างไร
ย่อมเป็นไปตามเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นๆ
เพราะใครเล่าจะฝ่ากรรมและหลีกลี้หนีวิบากกรรมไปได้
สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม

ในยามนี้จึงสมควรที่จะได้กล่าวถึงการรัฐประหาร 19 กันยา
สักครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ
และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง เกิดความเสียหายขึ้นในบ้านเมือง
และเพื่อที่ทุกคนจะได้ร่วมจิตร่วมใจกันรักษาสถานการณ์ของบ้านเมืองให้เป็นไป
ในทางที่ดีขึ้น เพื่อประโยชน์ของทุกคนในแผ่นดินนี้

อันการรัฐประหารนั้นโดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา
เป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น
กระทั่งชิงชังรังเกียจการรัฐประหารด้วยกันทั้งสิ้น
แต่การรัฐประหารก็ไม่เคยหมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย เพราะนับแต่ปี 2475
เป็นต้นมา การรัฐประหารก็เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ก่อน การรัฐประหารครั้งล่าสุด
ก็มีคนพูดกันว่าการรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกแล้ว อนิจจา!
นี่คือการพูดโดยไม่ตั้งอยู่บนความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นไป
ผลก็คือคำพูดนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นความจริงไปแล้วเพราะการรัฐประหาร
ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

การรัฐประหารนั้นเป็นเพียงผลอย่างหนึ่งซึ่งเกิดจากเหตุ
ดังนั้นตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยให้เกิดการรัฐประหาร
ตราบนั้นการรัฐประหารก็ไม่มีวันหมดสิ้นไป
ชีวิตของการรัฐประหารจึงอยู่ที่เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการรัฐประหารนั้น

เราประณาม รังเกียจการรัฐประหาร จึงเป็นการประณาม รังเกียจที่ผล
โดยไม่เคยและน้อยนักที่จะมองย้อนไปถึงต้นเหตุอันเป็นปัจจัยให้เกิดการรัฐ
ประหาร กระทั่งไม่เคยป้องกันเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการรัฐประหารนั้น

เพราะเหตุนี้เมื่อไม่ดับเหตุ ก็ไม่มีทางดับผลได้
เมื่อเหตุแห่งการรัฐประหารดำรงอยู่ตราบใด
การรัฐประหารจึงยังคงอยู่ตราบนั้น เป็นแต่ว่าจะเกิดขึ้นในวันใดเท่านั้น

ดังนั้นถ้าการรัฐประหารเป็นสิ่งที่ชั่วช้าเลวทราม
ก็ต้องมองให้เห็นถึงแก่นแท้ว่าเหตุปัจจัยอันใดที่ทำให้เกิดการรัฐประหารนั่น
แหละคือความชั่วช้าเลวทรามที่แท้จริง
และความชั่วช้าเลวทรามนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดการรัฐประหารขึ้น

การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
เป็นการรัฐประหารที่แปลกเพราะเกิดขึ้นโดยการเรียกร้องของประชาชนจำนวนมาก
และประชาชนจำนวนมากต่างยินดีปรีดาเมื่อเกิดการรัฐประหารนั้น
ถึงกับพากันไปมอบช่อดอกไม้
มอบอาหารและน้ำดื่มให้แก่ทหารที่ปฏิบัติการในการรัฐประหาร
จนเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก

ปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นผ่านไปยังไม่นานนัก
ทุกคนยังจำได้อยู่
สื่อต่างประเทศทั่วโลกต่างนำเสนอข่าวด้วยความฉงนสนเท่ห์ว่าเหตุไฉนในประเทศ
นี้จึงมีผู้แสดงความยินดีชื่นชมการรัฐประหารกันมากมายถึงปานนั้น

จึงทำให้ประเทศส่วนใหญ่ในโลกต้องสนใจติดตามความเป็นไปในบ้านเมืองของ
เรา และบางชาติแม้มีอัธยาศัยชอบแทรกแซงกิจการภายในของชาติอื่น
ก็ไม่กล้าผลีผลามและไม่กล้าประณาม
กระทั่งต้องคล้อยตามกระแสความรู้สึกนึกคิดของชนชาวไทยในครั้งนั้น

นั่นแสดงให้เห็นว่ามีเหตุปัจจัยที่เป็นเภทภัยใหญ่หลวงและเป็นเหตุ
ปัจจัยที่คนไทยไม่ต้องการ ทั้งต้องการโค่นล้มมันให้หมดสิ้นแผ่นดินไทย
เพราะเหตุปัจจัยเหล่านั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดการรัฐประหารขึ้น

มามองย้อนไปพิจารณากันในรายละเอียดของเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการรัฐประหารครั้งนั้น
ย่อมสรุปได้ดังต่อไปนี้

ประการแรก
นักการเมืองในรัฐบาลนั้นกระทำการละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างออกนอก
หน้าหลายคราหลายครั้ง ตีตนเสมอพระมหากษัตริย์
บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
และยุยงส่งเสริมให้คนจำนวนหนึ่งคลายลงจากความจงรักภักดี
จนเป็นที่โกรธแค้นชิงชังของพสกนิกรผู้จงรักภักดีทั่วประเทศ

ประการที่สอง นักการเมืองในรัฐบาลนั้นได้ทำการขายชาติ
ยอมยกอธิปไตยและดินแดนของประเทศไทย
ตลอดจนผลประโยชน์แห่งชาติให้กับต่างชาติเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ของ
กลุ่มตน โดยไม่สนใจไยดีต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชน
ซึ่งผลจากการขายชาติครั้งนั้นยังก่อเกิดบาดแผลเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้
กระทั่งกำลังอักเสบและใกล้กลายเป็นสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านในสักวันหนึ่ง
ข้างหน้า

ประการที่สาม นักการเมืองในรัฐบาลนั้นได้ฉ้อฉลปล้นชาติ
ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างขนานใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย
เพียงชั่วเวลาไม่กี่ปีได้ฉ้อฉลปล้นสะดมเอาผลประโยชน์ของชาติ ของนักธุรกิจ
และของคนไทยไปเป็นประโยชน์ตนและครอบครัวพวกพ้อง เป็นเงินกว่า 800,000
ล้านบาท ในขณะที่ชาติใกล้ล่มจมเต็มที

ประการที่สี่
นักการเมืองในรัฐบาลนั้นได้ร่วมกันฉีกรัฐธรรมนูญเกือบหมดทั้งฉบับ
ทำให้คณะรัฐมนตรีเป็นแค่ตรายางที่รองรับความปรารถนาของตนเท่านั้น
ทำให้รัฐสภาเป็นแค่เสื้อคลุมประชาธิปไตยที่ห่อหุ้มปกปิดความเป็นเผด็จการ
เต็มรูปแบบ โดยสมาชิกส่วนใหญ่ของรัฐสภามีฐานะแค่ทาสในเรือนเบี้ย
ที่ต้องยกมือและทำทุกสิ่งอย่างตามความปรารถนาของนักการเมือง

ประการที่ห้า
นักการเมืองในรัฐบาลนั้นได้เข้าครอบงำแทรกแซงองค์กรอิสระ
จนขื่อแปบ้านเมืองถูกทำลายหมดสิ้น
กระบวนการตรวจสอบทุกกระบวนการทุกองค์กรกลายเป็นแค่ผงซักฟอกที่คอยฟอกผิด
ฟอกโกง มีฐานะเป็นแค่สีขาวที่คอยป้ายทับกลบเกลื่อนสีดำซึ่งขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง

ประการที่หก
นักการเมืองในรัฐบาลนั้นได้ยึดเอาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินและกิจการต่างๆ
จำนวนมากเป็นสมบัติของตน กระทั่งนำออกไปขายให้กับต่างชาติ
โดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของราชอาณาจักร

ประการที่เจ็ด
นักการเมืองในรัฐบาลนั้นได้ใช้อำนาจข่มเหงข้าราชการให้ยอมเป็นทาส
บีบบังคับให้ถอนตัวออกมาจากความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และยอมรับฐานะพนักงานของรัฐหรือลูกจ้างเท่านั้น
กลไกรัฐถูกแปรเป็นกลไกพรรค
ในขณะที่กลไกพรรคก็คือครอบครัวของคนตระกูลเดียว

ประการที่แปด
นักการเมืองในรัฐบาลนั้นได้ทำการแบ่งแยกเข่นฆ่าสังหารประชาชนอย่างโหดร้าย
ทารุณ การสังหารโหดชาวไทยมุสลิมจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้จุดชนวน
กลายเป็นสงครามกลางเมืองต่อเนื่องมาถึงวันนี้
การฆ่าตัดตอนจำนวนมากขยายตัวไปทั่วประเทศ
จนมีผู้เสียชีวิตมากกว่าสงครามในอิรักหลายเท่า
และฮึกเหิมลำพองถึงขนาดอุ้มฆ่าประชาชนกลางเมืองได้ตามอำเภอใจ

ประการที่เก้า
นักการเมืองในรัฐบาลนั้นได้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
กีดกันขัดขวางและทำลายการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่ประชาชน
แพร่และยัดเยียดข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จแก่ประชาชน
จนเกิดความแตกแยกขึ้นทั้งแผ่นดิน

ประการที่สิบ
นักการเมืองในรัฐบาลนั้นได้ดำเนินการสืบสร้างสันตติวงศ์แห่งอำนาจ
ยกโคตรวงศ์พงศาเข้ามายึดครองอำนาจรัฐอย่างกว้างขวาง
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าต้องการยึดครองแผ่นดินเป็นของตน

นี่คือสิบประการที่อาจสรุปได้ว่าเป็นต้นเหตุและเป็นปัจจัยให้เกิดการ
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
มันเป็นเหตุปัจจัยที่ชั่วช้าเลวทรามที่สุดเท่าที่เคยมีมาในแผ่นดินนี้

เพราะ เหตุนี้การรัฐประหารจึงต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเมื่อการรัฐประหารเกิดขึ้นเพื่อล้มล้างสะสางเหตุปัจจัยที่เป็นพิษภัยใหญ่
หลวงแก่บ้านเมืองเช่นนี้จึงเป็นที่ต้องใจของประชาชน
เพราะเหตุนั้นคนทั้งหลายจึงมีความยินดีด้วย

ในโอกาสที่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะครบ 3 ปี
จึงควรที่จะได้รำลึกนึกถึงเหตุปัจจัยอันสุดยอดเลวทรามที่เป็นต้นเหตุให้เกิด
การรัฐประหารนั้น
แล้วร่วมจิตร่วมใจกันป้องกันแก้ไขไม่ให้เหตุปัจจัยนั้นเกิดขึ้นอีก

เมื่อ ทำลายเหตุปัจจัยของการรัฐประหารได้แล้ว
การรัฐประหารก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ในวันนี้ต้องถามว่าเหตุปัจจัยเหล่านั้นหมดไปแล้วหรือว่ายังดำรงอยู่เล่า?

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000105227

1 ความคิดเห็น: