ซึ่งมีสาเหตุจากหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท
และเป็นต่อเนื่องมานานร่วมยี่สิบปี, ผ่าตัดมาแล้วสองครั้ง,
นอนรอคิวผ่าตัดครั้งที่สามมาแล้วสามวันที่โรงพยาบาลเลิดสิน
ก่อนคณะแพทย์มีความเห็นว่าไม่ควรผ่าตัดเพราะอาการไม่รุนแรงถึงขั้นดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก
ทนทุกข์ทรมานมานานหลายปีได้รับการรักษา
และคำแนะนำจากแพทย์หลายท่านที่มากไปด้วยประสพการณ์
รวมทั้งที่ชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ
แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งอาการปวดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้
จนวันนี้มีอาการดีขึ้นจึงอยากสรุปความเห็นเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ
อาการเริ่มต้นครั้งแรกเกิดจากก้มตัวลงยกของอย่างไม่ถูกท่าทาง
มีอาการแปล๊บขึ้นที่กระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว
ขณะนั้นขยับขาทั้งสองข้างต่อไม่ได้
รอไม่ถึงห้านาทีเริ่มทุเลาจึงค่อยๆขึ้นรถขับไปหาหมอด้วยตนเอง
แต่ยังคงเดินแบบลากขาอย่างช้าๆ
หมอที่คลินิคให้ความเห็นว่ากล้ามเนื้อคงอักเสบ
จึงฉีดยาแก้ปวดและอักเสบให้
กลับไปบ้านต้องหยุดงานเพราะเดินไม่สะดวกไปสามวัน
หลังจากนั้นอาการแปล๊บๆข้างต้นก็จะเกิดกับตนเองปีละสองสามครั้งอยู่หลายปี
ทุกครั้งต้องหยุดพักผ่อนอย่างน้อยสามถึงสี่วันเพราะลุกเดินไม่ไหว
จนไปพบแพทย์ออร์โธปีดิคเฉพาะทางซึ่งนับเป็นกระบี่มือหนึ่งของจังหวัด
รักษากันอยู่นานเป็นปี โดยเริ่มจากยากิน ยาฉีด
และเอ็กซเรย์แบบคอมพิวเตอร์ติดตามดูอาการ
จนสุดท้ายหมอสั่งให้ไปทำเอ็กซเรย์ MRI ที่รพ.บำรุงราษฎร์ กทม.
ซึ่งขณะนั้นมีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย
ภาพจากฟิล์มฟ้องว่าหมอนรองกระดูกสันหลังมันปลิ้นออกมาขวางและดันไขสันหลังและเส้นประสาทจนเกิดอาการชาไปถึงหลังเท้า
หมอตัดสินใจผ่าตัด เพื่อขูดเอาหมอนรองกระดูกที่แตกออก
โดยเปิดแผลคืบนึงที่หน้าท้อง
พร้อมทั้งตัดกระดูกเชิงกรานมาแว่นนึงขนาดเท่ากับหมอนรองกระดูกที่ขูดออก
อัดเข้าไปรับช่องว่างข้อกระดูกสันหลังแทน
ซึ่งแน่นอนมันจะส่งผลให้ข้อต่อส่วนนี้ไม่มีการยืดหยุ่นอีกต่อไป
เวลาผ่านไประยะนึงมันก็จะเชื่อมข้อบนและข้อล่างให้ต่อเป็นชิ้นเดียวกัน
งานนี้ต้องหยุดพักรักษาแผลไปร่วมเดือน
หลังผ่าตัดก็ยังคงพบแพทย์เพื่อติดตามอาการเป็นระยะๆ จากสัปดาห์
เป็นเดือน เป็นปี แต่อาการดูเหมือนมันยังไม่หายขาด
แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าเก่ามาก
สุดท้ายหมอขอแก้ตัวอีกครั้งโดยการผ่าตัดจากด้านหลัง
เปิดแผลช่วงกระดูกสันหลังที่มีปัญหา พร้อมยึดโยงข้อกระดูกสันหลังบน
และล่างด้วยโลหะ
เพื่อเสริมความแข็งแรงไม่ให้เกิดการเสียดสีหรือกดทับเส้นประสาทอีก
งานนี้ต้องพักรักษาแผลไปเกือบสามอาทิตย์
แต่ก็พบว่าอาการที่ยังคงชาอยู่ที่หลังเท้าไม่ได้หายขาดไป
เลยรู้สึกปลงๆและไม่สนใจอะไรมากมายอีก
นานๆเป็นปีถึงจะเจ็บหนักๆสักครั้งนึง
เลยถือโอกาสยอมรับว่ามันคงเป็นอย่างนี้แหละจนเวลาล่วงเลยไปไปอีกหลายปี
ประมาณปี 2544 ก็เริ่มเกิดอาการปวดระดับต้องนอนพักถี่ขึ้น
ไปพบแพทย์ที่รพ.กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำรพ.เลิดสิน
เชี่ยวชาญเรื่องกระดูก เอ็กซเรย์ไปหลายครั้งทั้งธรรมดา
และแบบสแกนคอมพิวเตอร์ แต่ก็เห็นไม่ชัดเลยต้องลองทำ MRI อีกครั้ง
ปรากฏว่าภาพเกิดแสงสะท้อนมากจนดูไม่รู้เรื่องเพราะมีโลหะอยู่ข้างใน
สุดท้ายคุณหมอขอฉีดสีเข้าไขสันหลังเพื่อให้ภาพเอ็กซเรย์ธรรมดาชัดเจนมากขึ้น
ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำ
ครั้งนี้พบว่ามีหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทเพิ่มอีกสองตำแหน่ง คือ
ข้อบน และข้อล่างของข้อที่เคยมีปัญหามาก่อน
ซึ่งคุณหมอบอกว่าเกิดจากข้อที่เสียไปไม่ยืดหยุ่น
จึงไปเพิ่มภาระให้กับข้อบนและล่างมากกว่าปกติ...เฮ้อ..เวรกรรม
ไม่รู้เพราะตอนเด็กไปตีงูหลังหักไปหลายตัวจนตาย
กรรมเลยตามสนองในชาตินี้เลยหรือปล่าว
สุดท้ายหมอนัดให้ไปนอนรอที่รพ.เลิดสินเพื่อผ่าตัด
นอนรออยู่สามวันคณะแพทย์ของรพ.เลิดสิน มาแจ้งผลว่ายกเลิกนัดที่จะผ่าตัด
เพราะไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะผ่าตัดจุดเดิมซ้ำซากหลายๆครั้ง
เลยจำใจอดทนรับการเจ็บปวดปีละหลายครั้งต่อไป จนกระทั่งปี 46
ต้องโยกย้ายไปช่วยงานที่เมืองจีนสามปี
ระหว่างอยู่ที่นั่นก็นับว่าโชคดีที่เกิดการปวดรุนแรงไม่บ่อยมาก
ส่วนใหญ่พอเริ่มมีอาการเพียงเล็กน้อยก็จะรีบกินยากันไว้
และระวังท่าทางการเคลื่อนไหวไม่ให้เสี่ยงเจ็บเป็นกรณีพิเศษ
ทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทย ต้องแวะหาหมอเพื่อตรวจอาการ
และขอยาไปสำรองไว้ครั้งละร่วมหมื่น
มีอยู่หลายครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้านได้รับคำแนะนำให้ไปหาหมอคนนั้น คนนี้
ซึ่งแต่ละท่านมีชื่อเสียงระดับประเทศ ก็ลองไปขอคำปรึกษามาแล้วทั้งนั้น
เพื่อสร้างความมั่นใจว่าช่วงทำงานในจีนจะไม่เกิดปัญหาบาดเจ็บรุนแรงจนเสียการเสียงาน
มีคุณหมอท่านหนึ่งของโรงพยาบาลจุฬาฯสรุปอย่างตรงประเด็นให้ฟังว่า
โรคนี้น่ะมันรักษาไม่หายขาดหรอก
หากเจ็บบ่อยหรือชาลงขามากก็ผ่าตัดสถานเดียว
และถ้าเจ็บจุดอื่นต่อไปก็ต้องผ่าตัดไปเรื่อยๆ
แต่มีทางช่วยป้องกันและลดโอกาสการเจ็บปวดได้โดยต้องบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงเพื่อยึดโยงกระดูกสันหลังให้มั่นคง
ซึ่งฟังดูแล้วก็เห็นคล้อยตามที่หมอบอกเลยว่าจริง
แต่หมอสอนท่าบริหารกล้ามเนื้อหลังมาให้หลายท่า
ซึ่งใช้เวลาต่อครั้งเกินชั่วโมงและไม่เหมาะกับคนขี้เกียจบริหารตัวเอง
และคงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบริหารอย่างไร
เพราะผมเองทำอยู่ได้ไม่กี่วันก็ยอมแพ้
เอาเป็นว่าตอนนี้เริ่มเก็ทแล้วว่าหัวใจของปัญหาอยู่ที่กล้ามเนื้อหลัง
หลังจากย้ายกลับจากจีนเพราะสุขภาพโดยรวมไม่เอื้ออำนวยให้ลุยงานที่ต้องสมบุกสมบันที่นั่น
เมื่อเกิดอาการปวดอีกก็เลยไปพบคุณหมอสมศักดิ์ที่มักจะหาอยู่เป็นประจำที่รพ.กรุงเทพฯ
คุณหมอเองก็พยายามจะบอกว่า ฟังประวัติการรักษาที่ผ่านมา
ถ้าท่านเป็นผู้ผ่าตัดตั้งแต่ครั้งแรกๆ
ท่านจะต้องบังคับให้ทำกายภาพบำบัดด้วยตนเองหลังแผลหายดีแล้ว
ซึ่งหากทำมาตั้งแต่แรกก็คงจะช่วยทำให้ไม่ต้องมาพบหมออีกเหมือนในตอนนี้
เพราะกายภาพบำบัดโดยบริหารกล้ามเนื้อหลังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากอีกต่อไป
เพียงแต่เราต้องไม่หลีกเลี่ยงบริหารเป็นประจำทุกวัน
ซึ่งหลังจากคุณหมอได้อธิบายให้ฟังวิธีการบริหารแล้วรู้สึกได้เลยว่าหมูมาก
และใช้เวลาน้อยมากๆต่อวัน จึงเริ่มทำต่อเนื่องมาได้สองสามเดือนแล้ว
รู้สึกว่าแผ่นหลังแข็งแรงขึ้น พร้อมกับหน้าท้องก็เฟิร์มขึ้น
ที่สำคัญอาการเจ็บแปล๊บๆที่เป็นบ่อยแต่ไม่รุนแรงหลายเดือนก่อนหน้าหายขาดไปเลย
ทั้งที่ช่วงต้นปีเป็นต้นมาชักเริ่มมีปัญหาถี่มาก
จนคุณหมอเองยังออกปากว่าถ้าลองบริหารแล้วไม่ดีขึ้นก็คงต้องผ่าตัดแน่นอน
ด้วยก่อนหน้านี้อัดไปทั้งยาฉีด, ยารักษา, ยาบำรุงเต็มพิกัดแล้ว
เมื่อผลออกมาว่าอาการปวดหายเหมือนปลิดทิ้งอย่างนี้
เลยต้องยกเครดิตให้การบริหารกล้ามเนื้อหลังเป็นพระเอกตัวจริง
อยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าทำยังไง
เอ้าฟังนะ.....ตื่นเช้าทุกวันให้บริหารกล้ามเนื้อหลังดังนี้
o นอนหงายยืดเท้าตรงแนบชิดกัน
o ยกปลายเท้าลอยสูงขึ้นประมาณหนึ่งฟุต (ไม่ควรยกให้สูงกว่านี้)
o ฝืนค้างไว้พร้อมนับสิบวินาที
o ครบแล้วลดปลายเท้าวางลงพักห้าวินาที...ดังนี้คือหนึ่งเซ็ท
o ทำติดต่อกันรวมสิบเซ็ท
นั่นหมายถึงใช้เวลาไปรวมร้อยห้าสิบวินาทีต่อวันเท่านั้น
เห็นแล้วยังครับ ว่ามันง่ายมากจริงๆ
o แต่ละสัปดาห์ให้เพิ่มน้ำหนักห้าร้อยกรัมถ่วงไว้
(อาจใช้ถุงทรายที่มีขายทั่วไป)
o น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆสร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อหลังเพื่อแก้ปัญหาที่เหตุ
o น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะสิ้นสุดที่เท่าใดเหรอครับ
คุณหมอบอกว่าจนกว่ายกไม่ไหว...แต่
o น้ำหนักขั้นต่ำที่แต่ละคนต้องยกให้ได้มีวิธีคำนวณดังนี้ครับ
น้ำหนักขั้นต่ำที่ต้องยกได้ = น้ำหนักตัว - น้ำหนักท่อนขาสองข้าง / 10
โดยปรกติน้ำหนักท่อนขาสองข้างประมาณสิบกิโลกรัม
ถ้าอ้วนหรือผอมกว่าปกติก็ปรับเพิ่มหรือลดเอาตามความเหมาะสม
(อย่าบอกว่าขาสองข้างหนักห้าสิบโลนะ)
หวังว่าวิทยาทานในการบริหารด้วยตนเองวันละร้อยห้าสิบวินาทีจะช่วยให้ผู้เป็นโรคปวดหลังคลายทุกข์ได้ในเร็ววันนี้นะครับ
และขอให้ผลบุญที่ช่วยให้ผู้อื่นคลายทุกข์จงอย่าได้มีอาการปวดหลังมากล้ำกลายข้าพเจ้าอีกต่อไปเลย
ส่งต่อมากๆก็ได้บุญอีกมากๆนะครับ
วิวัฒน์ อัครวิเนค
07-08-2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น