เมื่อประมาณต้นสัปดาห์ที่แล้ว เราคงได้ยินข่าวคราวที่เป็น
"ความคิดสร้างสรรค์" ของ "ภาคเอกชน" และ "ภาคประชาชน" เกี่ยวกับ
"การสร้างปราสาทพระวิหารจำลอง" ที่บริเวณ "ผามออีแดง"
ที่ตามความมั่นใจว่าอยู่ฝั่งไทย จนเป็นที่ฮือฮาอย่างมากในหมู่คนไทยกันเอง
จนมีเสียงขานตอบรับ "สนับสนุน" กันโดยทั่วไป
จากผลของการสำรวจของนานาสารพัดสำนัก น่าจะสูงถึงร้อยละ 80 กว่าๆ!
เป็นกรณีที่แทบไม่น่าเชื่อว่า "แนวคิด" นี้
เมื่อได้ถูกโยนออกมาสู่สาธารณชน
กลับได้รับทั้งการวิพากษ์วิจารณ์และเสียงตอบรับอย่างกว้างขวาง
จนน่าจะเป็นไปได้ที่ "แนวคิดการสร้างปราสาทพระวิหารจำลอง"
อาจจะได้รับการสนับสนุน และสามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้
แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากที่แม่ทัพภาคที่ 2 พล.อ.วิบูลย์ศักดิ์
หนีพาล ได้นำผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแก่บรรดานายทหารที่เฝ้าระวังตามแนวตะเข็บชายแดน
ไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะช่วงพื้นที่บริเวณที่มักมีการปะทะกันบ่อยครั้ง
จากความเข้าใจผิดของเขตแดนและความไม่ชัดเจนของพื้นที่ 3.5 ตารางกิโลเมตร
หรือประมาณ 3,000 ไร่
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ปัญหาระหว่างพื้นที่บริเวณทับซ้อน 3.5
ตารางกิโลเมตรนั้น เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาตลอดระยะเวลานับสิบๆ ปีที่ผ่านมา
เนื่องด้วยความไม่ชัดเจนของการปักหลักพรมแดนบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
ซึ่งทุกวันนี้ต่างก็ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจนของพื้นที่ 3.5 ตารางกิโลเมตร
ว่า "ไทย" หรือ "กัมพูชา" ได้ครอบครองบริเวณพื้นที่ใดบ้าง "กรณีพิพาท"
จนเลยเถิดถึง "ขั้นปะทะ" กัน จึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
แต่ว่าไปแล้ว บริเวณพื้นที่ดังกล่าวก็ "อึมครึม-คลุมเครือ"
มาตราบเท่าทุกวันนี้ โดยที่เมื่อเราได้ยินข่าวคราวปะทะกันทีไร เป็นต้อง
"อารมณ์เดือด!" ทุกครั้ง
และจินตนาการว่ามันคงสู้รบปะทะจนอาจกลายเป็นพื้นที่สงครามย่อยๆ
ไปเลยก็เป็นได้
ทั้งนี้ตามความเป็นจริงแล้ว เท่าที่ได้สดับตรับฟังมา
เหตุการณ์มิได้เลยเถิดบานปลายถึงขั้นสงครามชายแดนแต่ประการใด
แต่เป็นเพียงการยิงปืนขึ้นฟ้า "ข่มขู่" กันเท่านั้น ว่า "เฮ้ย!
หน่วยลาดตระเวนของเอ็งน่ะ กำลังรุกล้ำมาฝั่งเรานะ!" โดยที่แทบจะนานๆ
ครั้ง จะยิงถล่มกระสุนเข้าใส่กัน
อย่างไรก็ตาม แทบทุกครั้งที่บรรดา "ทหารลาดตระเวน"
ที่เฝ้าคุ้มกันแนวตะเข็บบริเวณนั้น เมื่อลาดตระเวนมาเจอกัน ก็จะทักทาย
พร้อมนั่งร่วมวงเสวนาและร่วมดื่ม
ร่วมรับประทานอาหารอย่างคุ้นเคยดังเพื่อนสนิทกัน มิได้เกลียดชัง
พุ่งจะห่ำหันกันแต่ประการใด
ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา นั้น
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่าเป็น "ปัญหาเก่าแก่" ที่ "คาราคาซัง"
กันมายาวนานจนทุกวันนี้ "คณะกรรมการเจรจาร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา"
กับบริเวณพื้นที่ 3.5 ตารางกิโลเมตร
ยังมิได้มีข้อยุติและคืบหน้าไปมากเท่าใดเลย
ดูเสมือนว่าทั้งสองฝ่ายมิได้จ้องจะเอาเป็นเอาตายจริงจังกันขนาดนั้น
ตราบใดที่พอจะยอมรับกันได้ เนื่องจากเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน
และมิได้ล่วงล้ำเขตพื้นที่จนน่าเกลียด!
แต่ช่วงที่ "รัฐบาลพลังประชาชน" เป็นรัฐบาลนั้น ในช่วงที่
"คุณนพดล ปัทมะ" ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น
ได้เร่งดำเนินการเต็มที่สนับสนุนให้มีการ "ประกาศ" ให้ "ปราสาทพระวิหาร"
เป็น "มรดกโลก" ด้วยการยินยอมประสานงานเป็นตัวกลางระหว่าง "กัมพูชา" กับ
"องค์กรยูเนสโกแห่งยูเอ็น-สหประชาชาติ"
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อเสนอบางสิ่งบางอย่างระหว่าง "นายใหญ่" กับ
"รัฐบาลกัมพูชา" ในขณะนั้น
ทั้งนี้ เราคงพิสูจน์อะไรไม่ได้จาก
"ข้อวิพากษ์วิจารณ์-ข้อกล่าวหา" ดังกล่าวข้างต้น
แต่แทบทุกฝ่ายทั้งในประเทศไทยและนานาอารยประเทศต่างตระหนักดีและถึงขั้นปักใจเชื่อว่า
น่าจะมี "การเจรจาต่างตอบแทน" กรณี "ผลประโยชน์" เกี่ยวกับ
"แหล่งทรัพยากรธรรมชาติด้านพลังงาน-แก๊สและน้ำมัน" และอาจเลยไปจนถึง
"เกาะกง" ที่ต้องการเพียงตอบสนอง "นายใหญ่!"
นอกจากนั้น ยังมีการนินทากันเพิ่มเติมว่า "การปะทะ" และ
"การแย่งพื้นที่ 3.5 ตารางกิโลเมตร" นั้น น่าจะเกิดจาก "การสนับสนุน"
จนถึงขั้น "ยั่วยุ" ของ "นายใหญ่" ที่ "กดปุ่ม-บงการ" อยู่ต่างประเทศ
ด้วยการให้เงินก้อนโตสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชา
ให้เกิดความตึงเครียดขึ้นระหว่าง "ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา"
จะจริงเท็จประการใด เราคงพิสูจน์ไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ
พอหมดยุคนายนพดล ปัทมะ ด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ
หลังจากที่องค์กรยูเนสโก ได้ประกาศให้ "ปราสาทพระวิหาร" เป็น "มรดกโลก"
ขึ้นกับ "ประเทศกัมพูชา" หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า คุณนพดล
"จบภารกิจสำคัญ" ก็ประกาศ "ลาออก-เปิดตูด" และอาจรับทรัพย์ไปอีกโข
จนเป็นที่มาของการด่าทอจากคนไทยว่า "ขายชาติ!"
นับแต่นั้นมา แนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา
บริเวณนั้นก็เกิดการเผชิญหน้าและปะทะกันอย่างประปราย
โดยที่ทุกฝ่ายในฝั่งไทยต่าง "ชี้นิ้ว" ไปที่ "นายใหญ่" หมดว่า
"อยู่เบื้องหลัง!"
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว "ปราสาทพระวิหาร"
เท่านั้นที่ประกาศให้เป็น "มรดกโลก" ที่ตกเป็นของกัมพูชา แต่
"บริเวณเขาพระวิหาร" นั้น ยังมิได้ถูกประกาศให้เป็นของกัมพูชา
ซึ่งบริเวณพื้นที่ทับซ้อน 3.5 ตารางกิโลเมตรนั้น
ยังคงร่วมประชุมเจรจาระหว่างรัฐบาลทั้งสองที่ยังไม่ได้ข้อยุติแต่ประการใด
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า "ปราสาทพระวิหาร"
เป็นปราสาทโบราณมีความเก่าแก่ยาวนานนับเกือบพันปี
ดังที่กล่าวตามประวัติศาสตร์ข้างต้น และโด่งดังไปทั่วโลก
จนมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาท่องเที่ยวปีละจำนวนหลายแสนคน
แต่ก็ต้องเดินขึ้นจากฝั่งไทย เพราะเดินทางขึ้นจากฝั่งเขมรนั้นยากลำบากมาก
ทางการกัมพูชาเพียรพยายามสร้างถนนและทางขึ้นจากฝั่งประเทศเขามาโดยตลอด
แต่ยากเย็นแสนเข็ญ เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาลาดชัน
และต้องลงทุนสูง จึงยังไม่สำเร็จบรรลุผลมาถึงวันนี้
ความเก่าแก่โบราณและสถาปัตยกรรมของ "ปราสาทพระวิหาร" นั้น
ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
แม้กระทั่งถูกนำมาสร้างเป็นสารคดีและภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง
จนทำให้นักท่องเที่ยวต่างประทับใจเมื่อได้ไปเยี่ยมชมทุกครั้ง
ว่าไปแล้ว "ปราสาทพระวิหาร"
น่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เลื่องชื่อทีเดียวของกัมพูชา
นอกนั้นแทบจะไม่มีอะไรเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่สร้างรายได้ให้แก่
"อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกัมพูชา" ได้ดี
เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเราที่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค
แนวคิดในการสร้าง "ปราสาทพระวิหารจำลอง" ที่ "ผามออีแดง"
ฝั่งไทยนั้น เป็นแนวคิดที่น่าสนับสนุนอย่างมาก และขอย้ำว่า
"มิใช่เป็นความคิด" ของแม่ทัพภาคที่ 2 กับผู้บัญชาการทหารบก
แต่เป็นแนวคิดของ "ภาคเอกชน-ภาคประชาชน"
ที่เอือมระอาและเบื่อหน่ายความขัดแย้ง จน "ลักปิด-ลักเปิด" กล่าวคือ
เดี๋ยวก็เปิดให้ชม เดี๋ยวก็ปิดให้ชม
จนบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติเอือมระอากับปัญหาดังกล่าว ขาดรายได้ไปเยอะ!
นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องอาศัยฝั่งไทยในการเดินทางขึ้นสู่ปราสาทฯ
จนฝั่งเขมรเองก็ไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก เนื่องด้วยทำให้เขาขาดรายได้
จนเกิดการ "ตีรวน-สร้างปัญหา" จนนักท่องเที่ยวไม่เป็นสุข
การจะสร้างปราสาทพระวิหารจำลอง
น่าจะต้องใช้พื้นที่จำนวนนับร้อยไร่ และงบประมาณมหาศาล
แต่ระยะยาวก็ต้องตอบว่า "คุ้ม!" อย่างแน่นอน เพราะจะ "สวยกว่า-ใหญ่กว่า"
ตลอดจนบริเวณผามออีแดงนั้น
เป็นชะง่อนเขาที่ทิวทัศน์สวยงามมากกว่าที่ตั้งของปราสาทฯ จริงในปัจจุบัน
มีเพียงปัญหาเดียวที่อาจจะไม่สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว
คือ "ความโบราณ" และ "ประวัติศาสตร์" ที่นักท่องเที่ยวต้องการ
"ความประทับใจ" กับสองประเด็นข้างต้น
ซึ่งในกรณีปัจจัยปัญหาหลักข้างต้นนั้น "โบราณ-ประวัติศาสตร์"
เป็นเป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยว การสร้าง "ปราสาทพระวิหารจำลอง"
อาจเป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวเพื่อ "การประชัน" กันเท่านั้น ซึ่งแน่นอน
"ความอลังการ" ย่อมยิ่งใหญ่กว่าแน่นอน แต่ "ความรู้สึก" นั้น
น่าจะต้องมาขบคิดเป็นประเด็นสำคัญสูงสุดเช่นเดียวกัน!
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000061820
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น