คอลัมน์นี้ได้แสดงความห่วงใยถึงสถานการณ์ที่เป็นไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้
มาโดยลำดับว่า หากยังเป็นไปเช่นที่เป็นมา
วันหนึ่งก็จะเสียดินแดนสามจังหวัดภาคใต้
และวันนี้สิ่งที่หวาดหวั่นนั้นก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งใกล้เข้ามาเต็มที
จึงจำเป็นที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่พูดมาหลายครั้งแล้ว แต่หามีผู้ใดใส่ใจรับฟังไม่!
ถึงกระนั้นก็ยังต้องพูดกันต่อไปเพราะเราก็เป็นคนไทย
และประเทศไทยก็เป็นของเราเหมือนกัน
การ ที่คนร้ายใช้อาวุธสงครามบุกเข้าไปยิงพี่น้องมุสลิมที่กำลังทำละหมาดอยู่ใน
มัสยิด ในพื้นที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส จนมีคนตาย 12 คน
และคนเจ็บสาหัสอีก 12 คน เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และมันก็เกิดขึ้นแล้ว
มันเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวที่ติดตามมา 2 กระแส
คือการมุ่งร้ายป้ายผิดให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
และอีกกระแสหนึ่งคือจะมีการยกระดับความรุนแรงถึงขั้นใช้รถแก๊สเป็นคาร์บอมบ์
เรื่องของกระแสคำเล่าข่าวลือก็ว่ากันไป
แต่อย่างน้อยที่สุดกระแสข่าวดังกล่าวก็ส่งผลกระเทือนใน 2 เรื่องใหญ่ คือ
เรื่องแรก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ลบล้างคำกล่าวทั้งปวงที่ว่าการแก้ไขปัญหา
จังหวัดชายแดนภาคใต้มาถูกทางแล้ว ได้ผลดีแล้ว สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว
อย่างสิ้นเชิง และยังสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายตรงกันข้ามสามารถปฏิบัติการได้ตามอำเภอใจในทุก
พื้นที่ ในทุกเวลา และทุกระดับของสถานการณ์ สุดแท้แต่จะต้องการ
เรื่องที่สอง
เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีขีดความสามารถที่จะรู้ได้เลยว่ากำลังสู้รบอยู่กับใคร
ไม่อยู่ในฐานะที่จะรู้ "เขา" เลย แม้ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นมาถึง
5 ปี 6 เดือนแล้ว กระทั่งไม่รู้ว่าใครคือผู้ก่อเหตุร้ายคราวนี้
และย่อมเป็นที่แน่นอนว่าคงไม่สามารถจับคนร้ายได้เหมือนอย่างเคย
คัมภีร์ พิชัยสงครามระบุว่า
กองทัพที่กุมชัยชนะแล้วเข้าทำสงครามเพื่อให้ชัยชนะปรากฏขึ้นเท่านั้น
แต่กองทัพที่ปราชัยเข้าทำสงครามเพื่อหวังจะให้ได้ชัยชนะ
นับแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายทหารเจาะไอร้องเมื่อเดือนมกราคม
2547 นับถึงบัดนี้เป็นเวลา 5 ปี 6 เดือนแล้ว
ภายใต้คำกล่าวที่ว่าแก้ไขปัญหาถูกทางแล้ว สถานการณ์ดีขึ้นแล้วนั้น
ความจริงเป็นอย่างไรเล่า? ความจริงก็คือ
ประการแรก รัฐได้สูญเสียงบประมาณรวมกันกว่า 100,000 ล้านบาทแล้ว
มันมากมายสุดจะคณา
ถึงขนาดทำให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กลายเป็นดินแดนที่รุ่งเรือง ก้าวหน้า
และมีความมั่งคั่งได้แล้ว
แต่ความจริงในวันนี้บรรยากาศแห่งความตายกำลังครอบงำพื้นที่นั้นอย่างหนาแน่น
โดยที่ไม่มีถนนเกิดใหม่ ไม่มีการปักเสาเดินสายไฟฟ้า ไม่มีการพัฒนา
ไม่มีการลงทุน ไม่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเลย
ประการที่สอง
จากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีตำรวจระดับกองบังคับการจังหวัด
ก็เกิดมีศูนย์ปฏิบัติการตำรวจส่วนหน้าและล่าสุดก็ยกระดับกลายเป็นกอง
บัญชาการภาค 10 ของตำรวจ ที่มีอัตรากำลังถึง 20,000 คนไปแล้ว
แต่ความไม่ปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
ก็ยังแน่นหนามากขึ้นกว่าเมื่อปี 2547 เสียอีก
แม้กระทั่งข่าวคราวความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงกันข้ามก็ยังคงเลื่อนลอยและไม่
สามารถรู้ได้ว่าฝ่ายตรงกันข้ามเป็นใคร มีสายการบัญชาการอย่างไร
และแสวงหาวัตถุระเบิดมาจากที่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการป้องกันใดๆ
เพราะในเมื่อไม่รู้ในสิ่งเหล่านี้แล้ว จะป้องกันได้อย่างไรเล่า
ประการที่สาม จากการใช้กำลังฝ่ายทหารในพื้นที่
ซึ่งมีกองพลหลักอยู่ที่จังหวัดปัตตานีก็ยกระดับขึ้น
จนกลายเป็นกองกำลังผสมขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีปฏิบัติการภายในประเทศ
มีการใช้กำลังจากแหล่งอื่นเข้าไปเสริมสมทบ
จนอาจกล่าวได้ว่าได้ทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่แล้ว
แต่เหตุการณ์ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยกระดับความรุนแรงยิ่งขึ้นดัง
ที่รู้เห็นกันอยู่
ที่สำคัญคือรูปแบบการใช้กำลังยังคงเป็นแบบเดิม
คือการใช้คนไปล่อเป้าให้เขายิงด้วยวิธีการตั้งกำลังส่วนใหญ่ไว้ในที่ตั้ง
ใช้กำลังส่วนน้อยออกไปลาดตระเวน หรือไปอารักขาครู พระ และสถานที่ราชการ
ทำให้ถูกลอบทำร้าย ถูกลอบฆ่าอย่างต่อเนื่อง
รูปแบบนี้คือรูปแบบของความพ่ายแพ้
ซึ่งสหรัฐอเมริกาผู้เป็นต้นแบบในการออกรูปแบบชนิดนี้ได้สรุปผลของการใช้รูป
แบบใช้กำลังชนิดนี้แล้วว่าเป็นรูปแบบเพื่อความพ่ายแพ้ในการสงครามยุคใหม่
ประการที่สี่ พื้นที่สามจังหวัด สี่อำเภอของจังหวัดชายแดนภาคใต้
ประกอบด้วยหมู่บ้านประมาณ 1,500 หมู่บ้าน ในภูมิประเทศที่แตกต่าง
ตั้งแต่ภูเขาสูง ควน ที่ราบระหว่างเชิงเขา พื้นที่ราบ ป่าเขารกชัฏ
แหล่งน้ำ และชายทะเล ยังคงตกอยู่ในการควบคุมของ "ทหารบ้าน"
ของฝ่ายตรงกันข้ามแทบจะสิ้นเชิง
สามารถกุมสภาพการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถเคลื่อนย้ายกำลัง
ซ่องสุมกำลัง ฝึกฝนกำลัง
ออกปฏิบัติการและหลบหนีได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยเสมอมา
โดยที่กำลังจำนวนมหาศาลของรัฐไม่สามารถจำกัดการเคลื่อนไหวและปฏิบัติการของ
ฝ่ายตรงกันข้ามได้
บางพื้นที่ที่มีความสงบ เงียบ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญหา
แต่นั่นอาจหมายความว่าฝ่ายตรงกันข้ามได้ยึดครองจนสามารถก่อตั้งอำนาจรัฐซ้อน
อำนาจรัฐแล้วก็ได้
เรามีความกล้าหาญพอที่จะพูดและยอมรับความจริงกันได้สักเพียงไหนเล่า
ด้วยสี่ประการนี้ สถานการณ์จึงยังคงต้องพัฒนาต่อไป
และมันจะพัฒนาไปสู่สถานการณ์ที่คนไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีน
ต้องหลบลี้หนีภัยออกจากพื้นที่จนหมดสิ้น
และขณะนี้จำนวนประชากรเหล่านี้ก็ลดต่ำลงจนน่าวิตก
คือจากปริมาณที่เคยมีถึง 350,000 คน ขณะนี้เหลืออยู่ไม่ถึง 120,000 คน
เป็นตัวเลขที่ใกล้สภาพที่ทั่วทั้งพื้นที่ไม่มีคนไทยเชื้อสายอื่นเหลืออยู่
อีกเลย
พลเอกณ พล บุญทับ ราชองครักษ์พิเศษ
เคยนำข้อมูลมาเปิดเผยว่าบางตำบลมีชาวไทยพุทธเหลืออยู่แค่ 30 คนเท่านั้น
นี่คือสภาพที่วิกฤตแล้ว แต่หามีผู้ใดเข้าใจไม่
ไม่ เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นคือสงครามประชากร
ที่อาศัยธงการเมือง 3 ผืนคือ เชื้อชาติ ศาสนา มาตุภูมิ เป็นธงนำ
มีเป้าหมายเพื่อขับไล่คนไทยพุทธและคนไทยเชื้อสายจีนออกจากพื้นที่
และอาศัยการยึดครองในลักษณะประชาชาติ
ไม่เข้าใจว่ายุทธศาสตร์ที่ฝ่ายตรงกันข้ามใช้คือ
ยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อ และยุทธศาสตร์สงครามจรยุทธ์ในสงครามยืดเยื้อ
ประสานการเคลื่อนไหวกับแนวรบสากลที่มีเป้าหมายสุดท้ายคืออาศัย
องค์กรสันนิบาตประเทศอิสลามโลกหรือโอไอซีเป็นปากเสียงในการเสนอปัญหาต่อคณะ
มนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่ารัฐไทยล้มเหลว
ไม่สามารถดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ได้
จำเป็นจะต้องขอแบ่งแยกดินแดนเพื่อปกครองกันเองแบบที่เคยเกิดขึ้นในติมอร์
ตะวันออก
เมื่อไม่เข้าใจเรื่องใหญ่ 2 เรื่องนี้
ไหนเล่าจะเข้าใจสถานการณ์และพลิกผันสถานการณ์นำความสงบสุขกลับคืนสู่ดินแดน
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ มีแต่จะจมปลักดำดิ่งลงไป
จนกระทั่งความปราชัยขั้นสุดท้ายมาถึง
เพราะเหตุไม่เข้าใจ 2 เรื่องนี้
จึงไม่ใฝ่ใจศึกษายุทธศาสตร์พระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งทรงพระราชทานไว้ว่า เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา
พูดกันแต่ปากว่าเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา แต่ในส่วนเนื้อหาเล่า
เข้าใจภูมิประวัติศาสตร์แค่ไหน เข้าใจภูมิประชากร เข้าใจภูมิประเทศ
เข้าใจภูมิอากาศ เข้าใจสถานการณ์ ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ
ระดับนานาชาติเพียงไหนเล่า เมื่อไม่เข้าใจเสียแล้วจะเข้าถึงได้อย่างไร
หรือเมื่อไม่สามารถเข้าถึงในเรื่องเหล่านี้แล้วจะเข้าใจได้อย่างไรเล่า
และ เมื่อไม่เข้าถึง ไม่เข้าใจ การพัฒนาก็ไม่เกิดขึ้น
ไม่เห็นหรือว่างบประมาณร่วม 100,000
ล้านบาทที่ถูกใช้ไปนั้นไม่ได้มีการพัฒนาใดๆ เกิดขึ้น
ผลที่ได้ก็คือบรรยากาศแห่งความตายที่ปกคลุมพื้นที่นั้นอย่างแน่นหนา
บ้างก็พูดกันเรื่องการเมืองนำการทหาร แต่ถามจริงๆ
เถิดว่าการเมืองที่ว่านี้คืออะไร เพราะหากไม่เข้าใจพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ผู้เป็นบิดรแห่งหลักยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร
อันเกริกก้องนับแต่อดีตถึงปัจจุบันแล้ว
ไหนเลยจะเข้าใจยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหารได้ อย่างมากก็ได้แค่พูดตามๆ
กันมา โดยที่ไม่มีเนื้อหาแก่นสารใด ๆ
หากอยาก จะรู้และเข้าใจหลักยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร
เพื่อนำไปใช้หรือนำไปปฏิบัติให้เป็นมรรคเป็นผล
ก็พึงศึกษาค้นคว้าเอาจากหนังสือปรัชญาแผ่นดิน ซึ่งพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ได้รวบรวมไว้นั้นเถิด
เรื่องของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และพี่น้องมุสลิมถูกคิดว่าเป็นปัญหา
ถูกมองว่าเป็นปัญหา และถูกปฏิบัติอย่างเป็นปัญหามานับร้อยปีแล้ว
จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือปัญหาและวิกฤต
ซึ่งจะก้าวไปสู่การสูญเสียดินแดนในอนาคตอันไม่ไกล
หยุดเสียทีเถิดความคิดที่ปรับแต่โครงสร้าง เพิ่มแต่กำลัง
หรืออัตรา หรือตำแหน่ง หรืองบประมาณ แต่จะต้องเร่งการใช้ความคิดอ่าน
และสติปัญญา ความกล้าหาญตัดสินใจ
ในการแก้ไขปัญหาเพื่อพิทักษ์รักษาดินแดนนี้ไว้ชั่วกัลปาวสาน
พี่น้องมุสลิมและสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คือโอกาสอันประเสริฐของ
ประเทศไทย ไม่ใช่ปัญหาหรือวิกฤต
จึงต้องปรับความคิดส่วนนี้ให้มีความชัดเจน เพราะเมื่อคิด พูด
และทำอย่างเป็นโอกาสแล้ว
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะกลายเป็นประตูทองคำของประเทศไทย
เชื่อม ประเทศไทยเข้ากับโลกอิสลามอันมั่งคั่งและรุ่งเรือง
ที่มีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน
เพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว
เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชาติไทยและประชาชาติมุสลิมทั่วโลกด้วย.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000065850
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น