++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

5 ข้อแนะนำ ชะลออาการวัยทองของผู้ชาย

@ 5 ข้อแนะนำ ชะลออาการวัยทองของผู้ชาย
ผู้ชายวัยทองเกิดจากการลดลงของฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) โดยปกติฮอร์โมนเทสทอสเตโรนจะทำให้เด็กผู้ชายเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนนี้จะช่วยความคุมการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและช่วยคงสภาพความชุ่มชื้นของผิวหนัง การลดลงของเทสทอสเตโรนจึงมีผลกระทบอย่างมากต่อร่างกายผู้ชาย
ฮอร์โมนเทสทอสเตโรนมีปริมาณมากที่สุดในวัยยี่สิบตอนต้น และจะลดลงอย่างช้า ๆ เมื่ออายุมากขึ้น เราเรียกว่า “ภาวะการขาดฮอร์โมนเพศชาย ”ในภาษาอังกฤษคือ Partial Androgen Deficiency in Aging Male (PADAM) อาการที่กล่าวมาเหล่านี้จะมากขึ้นตามระดับฮอร์โมนที่ลดลงตามอายุที่มากขี้นด้วย
ช่วงอายุ วัยทองอยู่ระหว่าง 48-52 ปี
อาการที่พบคือ
เครียด หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว นอนไม่หลับ มีกำลังลง และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะขัด สมรรถภาพลดลง ส่วนลักษณะภายนอกที่เห็นได้ชัดคือ กล้ามเนื้อลีบเล็ก อาการลงพุง เนื่องจากการเผาผลาญไขมันลดลง ผมบางลง เป็นต้น
‪#‎ข้อแนะนำเพื่อชะลออาการวัยทองในผู้ชาย‬
1 ดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย ด้วยการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
2 ควรนอนแต่หัวค่ำ เพราะฮอร์โมนเพศชายจะถูกสร้างตอนกลางคืน
3 งดบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลต่อร่างกายในทุก ๆ ระบบ
4 กินอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน
5 ออกกำลังกายเป็นประจำ และ
6 ลดความเครียด
ที่มา ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ

หาวิธีแก้อาการโทสะอย่างได้ผล ....ใครมีวิธีดีๆบ้างครับ

หาวิธีแก้อาการโทสะอย่างได้ผล ....ใครมีวิธีดีๆบ้างครับ
มีคนไข้มาปรึกษาด้วยอาการเครียด หลังจากรู้ตัวว่าทำร้ายลูกและสามีด้วยอาการตะบะแตกบ่อยครั้ง เธอเล่าว่าตนเองเป็นคนขี้หงุดหงิด ขี้โกรธง่าย เห็นอะไรผิดหูผิดตาเป็นได้เรื่อง โดยเฉพาะเวลาเห็นลูกตนเองทำอะไรที่ผิดจากที่เคยสั่งไว้เช่นเล่นตุ๊กตาแล้วไม่เก็บไว้ที่เดิม หรือสามีลืมล้างจาน ลืมตากผ้าที่ปั่นทิ้งไว้ในเครื่องซัก พอมาพบสิ่งที่ไม่เป็นไปตามทึ่ต้องการ อารมณ์จะพุ่งจี๊ด และอาละวาดอย่างรุนแรง เธอเกิดความทุกข์หนักหลังจากอารมณ์เย็นลง บ่อยครั้งที่ต้องหลบไปนั่งร้องไห้เสียใจอยู่คนเดียว ช่วงแรกลูกและสามีก็แสดงอาการเบื่อหน่าย บางครั้งก็ตอบโต้บ้าง แต่ช่วงหลังคงรู้ทันและพากันหลบไปเวลาที่เธออารมณ์ปรี๊ดใส่
เธออยากแก้ไขนิสัยเจ้าอารมณ์มากไปปรึกษาใครๆที่เธอรู้จัก ก็แนะนำให้ไปนั่งสมาธิ ไปสวดมนต์บ้าง บ้างก็แนะนำให้แผ่เมตตาบ่อยๆ แต่เธอทำไม่ทันตอนโกรธสักที ครั้งแล้วครั้งเล่า ...
วันนี้เธอมาตรวจด้วยอาการท้องอืด แน่นอก หายใจฝืดตอนเข้านอน นอนไม่หลับ เข้านอนสี่ทุ่มลุกขึ้นมาหกโมงเช้า แต่พอถามจริงๆ เธอบอกว่าหลับแค่สามชั่วโมง นอกนั้นนอนพลิกซ้ายพลิกขวาตลอด จนใบหน้าหม่นหมอง บ่อยครั้งที่มีอาการเวียนศรีษะ และก็ไปหาหมอแล้วได้ยาแก้เวียนศีรษะเม็ดสีเหลืองๆ ทานทีไรก็แค่สลึมสะลือแต่ไม่หลับเช่นเคย...
คุยกันนาน เพื่อให้เธอระบาย และจ่ายยาเพิ่มปริมาณฮอร์โมนสารสุขในสมอง พร้อมแนะนำฝึกสติเคลื่อนไหวฝึกรู้กายบ่อยๆ ตามแนวสร้างสติสายหลวงพ่อเทียน แรกๆเธอก็รับไม่ค่อยได้ สุดท้ายต้องเหลือแค่ยกมือขึ้นกับลง สลับมือขวามือซ้าย แค่4จังหวะ พร้อมนัดติดตามอาการเมื่อครบ 2สัปดาห์...
ด้วยใจอยากหาว่ามีคำสอนครูบาอาจารย์องค์ใดที่เคยสอนไว้บ้าง ก็พอดีเจอคำสอนของหลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ ท่านสอนวิธีดับโทสะไว้น่าสนใจและน่าปฏิบัติมาก และเคยมีคนเอาไปทำได้ผลดี เขาจึงเอามาแบ่งปันไว้ในอินเตอร์เน็ต เลยเอามาแบ่งปันไว้ในโพสต์ก่อน ตั้งใจว่านัดติดตามรอบหน้าจะแนะนำคนไข้ต่อไปด้วย...คำสอนหลวงพ่อมีว่า...
" เมื่อเรามีอารมณ์โกรธ อย่าไปพิจารณาหาเหตุหาผลในอารมณ์โกรธนั้น เพราะอารมณ์โกรธ เปรียบเสมือนไฟกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง ถ้าเราไปพิจารณาหาเหตุหาผล มันก็เหมือนกับเราสาดน้ำมันใส่ลงในกองเพลิง จะยิ่งโหมรุนแรงหนักขึ้น
วิธีแก้ก็คือ ให้เราหยุดคิดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วนั่งดูตัวจิตของเรา ดูจิตในขณะนั้น ดูเฉยๆอยู่อย่างนั้นแหละ อย่าคิดปรุงแต่งอะไรเลยนะ ดูมันเฉยๆยังงั้นแหละ ดูอาการของมัน การที่เรานั่งนิ่งดูมันเฉยๆอยู่อย่างนั้น มันเปรียบเสมือนเราเอาน้ำ ค่อยๆหยดลงบนถ่านไฟทีละหยดๆ ถ่านไฟที่ร้อนเป็นไฟอยู่นั้นมันก็จะค่อยๆเย็นลงๆ และดับไปในที่สุด "
คำสอนหลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ แห่งวัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ครับ

สาเหตุ 3 ประการ ที่แม่เขียนจดหมายถึงลูก

สุวิไล บุญทิวาพร
57 นาที ·
ลูกแม่....ที่แม่เขียนจดหมายให้หนูก็ด้วยสาเหตุ 3 ประการนี้
1. เพราะลูกกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
2. มีหลายอย่างที่นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ไม่มีใครกล้าบอกสิ่งเหล่านี้กับลูก
3.สัญญาระหว่างเราก็คือ พ่อกับแม่ตั้งใจทำงานหาเงิน ลูกตั้งใจเรียนหนังสือ เราจะได้ไม่กังวลต่อกัน
เรื่องที่ 1 .....คนเราไม่จำเป็นต้องมีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ แต่จะไร้จุดหมายไม่ได้ ต่อการเรียนนั้น ไม่ว่าที่ผ่านมาลูกจะพยายามหรือตั้งใจหรือเก่งสักแค่ไหน หากสอบไม่ผ่านลูกก็ต้องถูกรีไทร์ แม่หวังว่าลูกจะเข้าใจ การบ้านเยอะหรือที่กระเป๋าหนังสือของลูกหนักหรือต้องไปเรียนทุกๆวันนั้น ไม่ใช่พ่อกับแม่แล้งน้ำใจ แต่นี่คือหน้าที่ของลูกในตอนนี้ ขอให้ลูกทำให้ดีที่สุด แค่นี้พ่อกับแม่ก็พอใจแล้ว
เรื่องที่ 2....ลูกเป็นลูกคนเดียวของพ่อกับแม่ โดยทั่วไปบ้านไหนมีลูกโทน เด็ก
คนนั้นก็จะกลายเป็นลูกเทวดา แต่ในโรงเรียนลูกเทวดามีมาก ไม่มีใครสนใจลูกหรอก นอกเหนือจากเกรดการเรียนของลูกสูง ความสามารถของลูกมีมากกว่าคนอื่นๆ ลูกมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นๆ เหล่าครูบาอาจารย์ถึงเห็นลูกเป็นเหมือนของวิเศษ ในสังคมก็เช่นเดียวกัน ในอนาคตลูกจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก จะอยู่กระต๊อบหรือคอนโดหรู ถูกคนอื่นดูถูกหรือมีแต่คนเคารพ ก็อยู่ที่ตัวลูกเอง
เรื่องที่ 3....ตอนนี้ลูกเป็นนักเรียน การเรียนคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด ลูกเรียนดีแต่สุขภาพไม่ค่อยดี ก็ไม่ดีนะลูก เขาว่ากันว่าเวลาเลี้ยงรุ่น สิ่งที่เขาคุยแข่งกันก็ประมาณนี้นะลูก....อายุ 20 แข่งผลการเรียน
อายุ 30 แข่งความสามารถ....อายุ 40 แข่งประสบการณ์
อายุ 50 แข่งทรัพย์สมบัติ....อายุ 60 แข่งพละกำลัง
อายุ 70 แข่งใบนัดหมอ.....อายุ 80 แข่งฉีกปฏิทิน
ชีวิตคนเราอยู่ได้ไม่กี่สิบปี สิ่งสำคัญก็คือสุขภาพนะลูก หาเวลาออกกำลังกายบ้างนะ
เรื่องที่ 4...อนาคตของคนเรา อยู่ที่ความรู้ ความสามารถและท่าที
ความรู้ ได้มาจากการเรียน
ความสามารถ ได้มาจากการลงแรงฝึกฝนทำอย่างจริงจัง
ท่าที หล่อหลอมออกมาจากนิสัยความเคยชิน
แม่เห็นว่าลูกไม่ค่อยมีน้ำอดน้ำทนสักเท่าไหร่ ตอนนี้ยังไม่สายนะลูกที่หนูจะฝึกฝน แม่หวังว่าในอนาคตสิ่งที่ลูกทำ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ขอให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อทั้งตัวลูกเองและคนอื่นๆนะลูก
เรื่องที่ 5 ......ที่โรงเรียน เหล่าครูบาอาจารย์ไม่ได้มีหน้าที่ทำดีต่อลูกนะ นอกเสียจากว่าลูกเคารพท่านเหล่านั้นก่อน เพื่อนๆของลูกเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่มาทำดีกับลูกนะ นอกเหนือจากว่าลูกใส่ใจเพื่อนๆ และในชีวิตของลูก ก็ไม่มีใครเกิดมาเพื่อมีหน้าที่ทำดีต่อลูก นอกเหนือจากพ่อกับแม่ อย่าคิดว่าเมื่อวันใดโลกนี้ขาดลูกไป โลกมันจะหมุนต่อไปไม่ได้อีก และอย่าได้ดูแคลนว่าตัวเองไม่มีคุณค่าหรือความสำคัญอะไร จนละเลยไม่สนในตัวเองนะลูกนะ
เรื่องที่ 6 .....การคบเพื่อนก็เหมือนกับการลงทุน เมื่อจะลงทุนก็ต้องมีผลกำไรนะ หากลูกคบเพื่อนคนใดคนหนึ่ง แต่สุดท้ายเพื่อนคนนี้ไม่ได้ทำให้ลูกดีหรือเจริญขึ้น นั่นแปลว่าลูกล้มเหลวในการลงทุน ลูกจงเลือกคบคนที่ดีมีคุณธรรม และที่สำคัญ เมื่อเพื่อนของลูกตกทุกข์ได้ยาก ลูกต้องยื่นมือเข้าไปช่วย เพราะอะไร? เพราะคนที่หัวเราะไปพร้อมกับเรานั้นลืมง่าย คนที่ร้องไห้พร้อมกับเรานั้นลืมยาก เหมือนสุภาษิตที่ว่า “ให้ฟืนยามหน้าหนาวดีกว่าแต้มลายบนผ้างาม”นะลูก
เรื่องที่ 7 ....สักวันหนึ่ง ลูกก็ต้องมีความรัก แม่เป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน อยากจะเตือนลูกว่า “ยามแรกรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน พอเริ่มนานน้ำตาลยังว่าขม” เรื่องความรักนั้นหนีไม่พ้น ฉันรักคุณคุณไม่รักฉัน คุณรักฉันฉันไม่รักคุณ ฉันและคุณเรารักกัน ใครๆ ก็อยากได้ประโยคที่ 3 นี้ แต่มันนับเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยเสียเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ยามที่ลูกรักใคร ก็อย่าหลงหัวปักหัวปำ จับมือกับสาวสวย เปิดใจกับสาวที่รักลูกจริง พูดคุยกับสาวที่ประสบความสำเร็จ ใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงธรรมดา เอาอย่างนี้ก็ได้แล้วนะ
เรื่องที่ 8....ชีวิตของคนเรานั้น ใช่จะสมหวังตลอดไป และไม่มีใครผิดหวังตลอดชีวิต ยามลูกสมหวัง ลูกต้องรู้มีสติ ลูกต้องรู้ว่าในโลกใบนี้มีคนที่เก่งกว่าลูกอยู่อีกเยอะแยะมากมาย จงจำไว้ว่าเราเป็นเพียง....อนุภาคเล็กๆ ในโลกใบนี้
ยามผิดหวัง อย่าได้ถดถอย ต้องยืนหยัดให้ถึงที่สุด เมื่อก่อนเดินมายังไง ตอนนี้ก็เดินต่อไปอย่างนั้น....
เรื่องที่ 9....ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่คนใด ต่างก็อยากให้ลูกอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา แต่ลูกๆต่างก็ต้องโตขึ้นในวันหนึ่ง แม่เชื่อว่าโลกของลูกยิ่งมาจะยิ่งกว้างใหญ่ และเมื่อนั้น โลกของลูกก็จะยิ่งห่างไกลจากโลกของพ่อและแม่ แน่นอนว่าคนที่เป็นพ่อแม่ ก็อยากครอบครองพื้นที่ในโลกของลูกให้มากที่สุด ทำไมนะเหรอ? ก็เพราะโลกของพ่อกับแม่และลูกนั้น ยิ่งมายิ่งแตกต่างกันนะสิ! เวลาของพ่อกับแม่ยิ่งมาก็ยิ่งน้อยลงไปทุกที พ่อกับแม่ก็ยังมีความรู้สึกนะลูก พ่อกับแม่ยังอยากให้ลูกอยู่ใกล้ๆ ลูกจ๋า ข้อนี้ลูกอ่านแล้วเข้าใจพ่อกับแม่ไหมลูก
เรื่องที่ 10 ....เราเป็นพ่อแม่ลูกกันแค่ในชาตินี้ ต่อให้ชาตินี้พ่อกับแม่ไม่อาจเดินไปพร้อมกับลูกตลอดชีวิต แต่เมื่อใดที่พายุลมฝนกระหน่ำ พ่อกับแม่จะหาวิธีปกป้องลูกให้ดีที่สุด แม้ไม่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่สู้ไปกับลูก แต่ขอให้ลูกรู้ไว้ ยามที่ลูกมีความทุกข์ความเจ็บปวดใด พ่อกับแม่จะช่วยบรรเทา ไม่ว่าเวลาในชาตินี้ของพ่อกับแม่จะเหลืออีกมากน้อยเท่าไหร่ ขอให้ลูกถนอมเวลาที่ได้อยู่กับพ่อแม่ไว้นะ เพราะชาติหน้า เราคงไม่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกันอีก
(from ONE Browser)

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 205 - เมืองน่าอยู่จากสายพระเนตรของในหลวง

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 205 - เมืองน่าอยู่จากสายพระเนตรของในหลวง

http://youtu.be/jmzHs43MVEI


รายการรักพ่อ205  เมืองน่าอยู่จากสายพระเนตรของในหลวง





ฟังรายการทั้งหมด http://www.youtube.com/playlist?list=PLVsD_y46lu19IBjGZuLlduIOhOAgJrXSq

พบกับสารคดี  เมืองน่าอยู่ -เพื่อประโยชน์สุขสู่ปวงประชา, เสียงการปฏิญาณตนของกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ, คำกลอนสอนธรรมะ -  เป็นมนุษย์หรือเป็นคน,   , กลเมล็ดเคล็ดลับ กับการพึ่งตนเอง, ช่วงรักพ่อ-มุสลิม "คบคนอย่างไร เป็นคนอย่างนั้น",
คติเตือนใจและพระราชดำรัส, ฟังเพลง บทเพลงของพ่อ (อัลบั้ม Classicnova), พระภูมิพล, ผนึกแรงแสดงพลัง,


มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ



๕๐ "โรงเรียนควาย" : สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร

๕๐ "โรงเรียนควาย" : สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินี ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร
สารคดีเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ชุดพระเมตตาดั่งสายธาร ตอนที่ี ๕๐ "โรงเรียนควาย"
แถวบ้านผมเนี่ยทุกคนมีการศึกษานะครับ เด็กๆได้ไปโรงเรียนกันทุกคน และไม่เฉพาะเด็กๆนะ เคยเห็นควายที่อยู่ตามท้ายรถไหม ถ้าเป็นที่อื่นเขาก็คงเอาควายไปขายที่โรงฆ?่าสัตว์ แต่ที่บ้านผมเนี่ยมันกำลังไปโรงเรียน โรงเรียนนี่ชื่อว่า โรงเรียนควายครับ เขาสอนควายยังไง สอนควายทำไม อยากรู้ละสิ จะสอนอะไรหละ สอนควายก็ต้องสอนให้มันไถนาสิ อ้าวอย่าคิดว่าควายทุกตัวไถนาเป็นตั้งแต่เ?กิดนะครับ สมัยก่อนชาวนาเขาใช้ควายไถนากัน เขาก็สอนมันกันเป็นทุกคนก็เลยไม่ต้องมีโรง?เรียน แต่เดี๋ยวนี่คนไถนาด้วยควายไม่เป็นแล้ว เอาแต่พึ่งรถไถและต้องไปจ้างเขาแพงทั้งค่า?จ้างแถมค่าน้ำมันยังแพงอีก ที่โรงเรียนควายนี่ไม่ได้สอนแค่ควายนะครับ เขาก็สอนให้คนรู้จักบังคับควาย สอนให้รู้จักเลี้ยงควาย มันกินอะไร กินยังไง วันละกี่ครั้ง นี่ผมเรียนมา พ่อผมบอกว่าโรงเรียนเกิดจากตอนที่ชาวบ้านเ?ขาไถชีวิตควายถวายพระราชินีฯ เมื่อตอนพระองค์ท่านอายุ ๗๒ พรรษา มีควายหลายสิบตัวมากเลย ก็เลยทดลองตั้งโรงเรียนควายขึ้นมา จนเดี๋ยวนี้คนที่รู้ เขาก็ไถ่ชีวิตควายมาที่นี้ เป็นร้อยๆตัวแล้วนะครับ ใครมาเรียนที่่นี้ เรียบจบเขาก็ให้ควายไป ๒ ตัว จนแถวนี้ควายเต็มไปหมด หลายหมู่บ้านเลยครับ ไม่ต้องพึ่งพารถไถ ประหยัดเงิน ประหยัดน้ำมันกันได้หลายสบายละครับ
https://www.youtube.com/watch?v=-oq_Z6waEO8



วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำฟรีแลนซ์ โดนภาษีเพิ่มตั้ง 173,000บาท เพราะอะไร?

วันที่: 2015/03/12 | คอลัมน์ เรื่องเล่าการลงทุน
แท็ก: ภาษี, ออมหุ้น, เครดิตภาษี, เงินปันผล
วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์พร้อมเทคนิคส่วนตัวเกี่ยวกับภาษีซักนิดนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่ามีน้องที่รู้จักซี้ๆเป็นฟรีแลนซ์ ยื่นภาษีไปแล้วต้องจ่ายเพิ่มอีก 173,000 บาท

#ร้องไห้หนักมากเลยครัช

 

ก็เลยมาคุยกับกระผมว่าจ่ายภาษีไปหมดแล้วทำไมมีจ่ายเพิ่มอีก เพราะอะไร???????

จริงๆแล้ว Fan Page ผมเนี่ยก็คงมีหลากหลายอาชีพละนะ แต่ที่เยอะๆก็คือ

1. มนุษย์เงินเดือน : จ่ายผ่าน 40(1) เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส จะถูกหักภาษี ตามอัตราก้าวหน้า

2. ทำงานฟรีแลนซ์ : จ่ายผ่าน 40(2) ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าจ้าง จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%

3. นักออมหุ้น : จ่ายผ่าน 40(4) (ข) เงินปันผลหุ้น ส่วนแบ่งกำไร จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%

 

อะไรคือประเด็นรู้ป่ะว่าเราต้องจ่ายภาษีเพิ่ม ?

เพราะมือใหม่หลายๆคนคิดว่า การหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วคือเราได้จ่ายภาษีอย่างครบถ้วนนะสิ

แต่รายได้ทั้ง 3 ประเภทข้างบนนะ….

ข้อ 1-2 มนุษย์เงินเดือนกับฟรีแลนซ์ จะต้องเอารายได้ทั้งหมดมาคิดฐานภาษีแหระ ยังไงก็ต้องยื่น

ข้อ 3 เงินปันผลหุ้น หักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วจบเลย ไม่ต้องยื่นก็ได้ แต่ถ้าอยากยื่นก็ได้

บางคนเข้าใจว่า จ่ายภาษี 40(2) หักนะที่จ่ายไปแล้วจะเหมือน 40(4)(ข) นะสิ แต่มันไม่ใช่….. 

 

อย่างมนุษย์ฟรีแลนซ์เนี่ย จ่าย 3% แล้วไม่จบนะ เราต้องเอารายได้มาคำนวณภาษีดู

เท่าที่ดูแล้วน้องเขามีรายได้สุทธิรวมแล้ว 1.4 ล้านบาท (ลดหย่อนทั้งหลายไปแล้วนะ)

ส่วนในสลิปเนี่ยรายได้บางอย่างหัก 3% ณ ที่จ่ายไป บางอย่างไม่ได้หัก แต่รวมๆแล้วหักไป 42,000 บาท

อันนี้แต่ละคนที่ทำ Freelance จะต้องคำนวณเองตามความเป็นจริงของตัวเองนะครับ

แต่ทั้งหมดที่เราต้องจ่ายคือ…… (ตามตารางนี่เลย)


บระเจ้าาาาาาา 215,000 บาทเจ้าค่ะ!!!!! #ร้องไห้หนักยิ่งกว่าสิ่งใด

เข้าใจผิดกันตั้งนานว่าจ่าย 42,000 ตามสลิปก็จบ ที่เหลือใช้เงินสะบั้นหั่นแหลกกันเลยชิมิ

แหม… สรรพกรก็จะกวักมือเรียกว่า เธอ… ไอ 42,000 ที่หักไว้น่ะ หักให้มาจ่ายเพิ่มที่หลัง

กรุณามาจ่าย 215,000 – 42,000 = 173,000 บาทนะจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา 

 

สิ่งที่เราไม่สามารถหนีได้ในชีวิตนี้ก็คือ ภาษีและความตายนะครัชชชชชชชช

 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องระวัง และการเป็น Freelance เราต้องนับรายได้เอง

ก็คือพวกเราควรจะต้อง Track รายได้แล้วคิดเสมอว่ามันยังมีภาษีที่ต้องจ่ายนะ

ลดหย่อนภาษีได้ก็ทำเถอะ ตราบที่เขายังให้ทำ LTF RMF ประกัน เครดิตภาษีเงินปันผล

วางแผนให้ดีๆ เก็บเอกสารให้แม่นๆ แล้วเราจะมีความสุขได้ 

เอออ… ผมเห็นน้องๆเจอเหตุการณ์อย่างงี้ ก็เลยทำ File มาแจกนะครับ

เป็น File คอยบันทึกเอกสารรายได้ โดยเฉพาะคนเป็น Freelance จะได้มีการตรวจสอบได้เนอะ

เรามีรายได้เท่าไหร่ เราเสียภาษีไปเท่าไหร่แล้ว เราอาจจะต้องเสียภาษีอีกเท่าไหร่

โหลดได้ที่นี่เลยครับ Freelance Income Tracking Template 

 ปล. ใครสนใจข้อมูลเกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติมลองไปอ่านใน Blog @Taxbugnoms เพิ่มเติมนะครับ

 

ต้าร์ กวิน สุวรรณตระกูล

เจ้าของผลงานหนังสือ ออมหุ้น ออมความสุข จากเวปไซต์ www.aomstock.com

 และ หนังสือรวยได้จริงกับสิ่งที่เรียกว่าเงินเดือน

นักเขียนประจำเวปไซต์ www.aommoney.com/tarkawin

จะไปเรียกร้องอะไรจากคนอื่น?

คนอื่นเขาเป็นอย่างไรก็เข้าใจเขา เขามีเหตุมีปัจจัย ทำให้เขาต้องเป็นอย่างนั้น เข้าใจเขา เห็นใจเขา คนได้ก็ทน ถ้าทนไม่ได้ก็ขออยู่ห่างๆ แต่ไม่คิดที่จะฟาดฟัน โต้เถียง อธิบาย แลกเปลี่ยน แต่ถ้าเขายังคิดแบบนั้นก็ไม่เป็นไร หลายอย่างก็เปลี่ยนอะไรเขาไม่ได้ แม้แต่ตัวเราเองหลายเรื่อง เรายังเปลี่ยนไม่ได้จนป่านนี้ แล้วจะไปคาดหวังอะไร ไปเรียกร้องอะไร ไปกะเกณฑ์อะไรกับคนอื่น ท่านพุทธทาสใช้คำๆ นี้ที่ประใจมาก ท่านบอกว่า ทำดี...ดี แต่อย่าไปผูกพันว่าทำดีแล้วจะต้องได้ดี ดีก็ยุติแล้วว่าเราได้ทำดี มันดีแล้วน่ะ นพ.บัญชา พงษ์พานิช

เรื่องน่าอ่าน คำไว้อาลัยงานพระราชทานเพลิงศพ นพ.สุรพล รักทุม

อ่านให้จบ
ก่อนส่งต่อ
นะ คนดี

คำไว้อาลัยงานพระราชทานเพลิงศพนายแพทย์ สุรพล รักทุม

ท่านเป็นหมอ ทำงานรักษาคนไข้มาตลอดชีวิต เปิดคลีนิคของตัวเอง ร่วมธุรกิจกับพอล-ภัทรพล

เปิดบริษัทผลิตยา และลงทุนกับยุรนันท์ ภมรมนตรี(คงรู้จักดี)
เปิดคลีนิคสุขภาพ เป็นที่ปรึกษาให้เหล่าดารา ไปฉีดสเตมเซลล์เพื่อรักษาสุขภาพชลอความแก่ มีลูกค้าเป็นดารามากมาย และเงินทองก็มีมากเช่นกัน แต่กลับพบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ และใช้เงินที่หามาทั้งชีวิตพยายามรักษาตัวเองด้วยการไปผ่าตัดเปลี่ยนตับที่เมืองนอก กลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นาน ตรวจพบมะเร็งรุกลามมาที่ปอด ก็ยังพยายามหาวีธีต่อสู้กับมะเร็งร้ายเรื่อยมา สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะมันได้

ท่านเสียชีวิตในที่สุด ท่านฝากให้พวกเราทั้งหลายระลึกไว้ว่า


1. อย่าเอาแรงกดดัน มาเป็นแรงขับเคลื่อน ใช้ร่างกายจนเกินกำลัง เท่ากับทำร้ายร่างกาย

2. อย่าลืมว่าสุขภาพดี คือ ต้นทุน ร่างกายไม่แข็งแรง คุณจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไร

3. อย่าเห็นชื่อเสียง และลาภยศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ชื่อเสียงลาภยศ เปรียบดังหมอกควัน สุดท้ายก็มลายสูญ

4. อย่าคิดว่าหมอจะช่วยชีวิตคุณได้ หมอที่ดีคือตัวคุณ ดูแลชีวิตดีกว่าให้ใครมาช่วยชีวิต

5. อย่าคิดว่าอุทิศให้แล้วจะต้องได้รับตอบแทนเสมอไป ให้อะไรกับใครอย่ารอให้เขาทดแทนบุญคุณ

6. อย่าคิดว่ารับราชการแล้วจะเหนือกว่าชาวบ้าน ถึงเวลาเกษียณก็ต้องเป็นชาวบ้านเหมือนเดิม

7. อย่ามองข้ามคนที่มีบุญสัมพันธ์กับคุณ เมื่อคุณตกอับ คุณจึงจะรู้ว่าใครบ้างที่ไปจากคุณ และตอนนั้นคนรู้ใจยิ่งหายาก

8. อย่าเห็นการทักทายของใครเป็นสิ่งน่ารำคาญ คนที่ส่งข้อความให้คุณเสมอเพราะคุณยังอยู่ในใจเขา

คำถามที่น่าคิด คุณมีเงิน แต่คุณมีค่าไหม? เรามักแสวงหาสิ่งที่เราคิดว่า มีค่ามากที่สุดในชีวิต แต่สุดท้าย ทุกคนหนีไม่พ้นอนิจจัง หมั่นคิดดี พูดดี ทำดี คุณค่าของชีวิต สร้างได้โดยไม่ต้องใช้(Party Crowd) สุขภาพดีมาจากไหน ? (Banana)(Papaya)(Raspberry)(Orange)(Coconut)(Cherry)(Papaya)(Apple)(Banana)

พื้นฐาน 4 ประการ​ในชีวิตประจำวัน คือ

󾌵 -สภาวะจิตที่สงบสุข
󾌸 -มีโภชนาการที่สมดุล
󾌱 -ออกกำลังกายพอเหมาะ
󾌾 -นอนหลับให้เพียงพอ

(blue triangle button) คนเราจะอยู่ได้​อย่างมีคุณภาพ​ต้องอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต

(red triangle button)WHO เตือนเราว่า คนเราเกิดโรคจาก

(1) รูปแบบการดำรงชีวิต​ไม่เหมาะสม

(2) กินอาหารไม่สมดุล

(large green triangle)หากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร ? คำตอบที่ได้ คือ

(1) เพื่อการมีชีวิตอยู่
(2) เพื่อป้องกันโรค
(3) เพื่อรักษาโรค

(blue circle)บรรดาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เกิดจากการกินทั้งนั้น ในเมื่อกินแล้ว​ทำให้เกิดโรคได้ ก็ต้องกินแล้ว​รักษาโรคได้เช่นกัน

(purple square)แพทย์แผนจีนนั้น เป็นมรดกตกทอดมา 5 พันปี เพื่อให้คนรุ่นหลัง​ใช้รักษาโรค 5 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอน 1 รักษาด้วยอาหาร

หมอจะให้สูตรอาหาร​แก่คนไข้​เป็นเวลาหลายเดือน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

ขั้นตอน 2 กวาดทราย ดูดด้วยสุญญากาศ บีบนวด และดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

ขั้นตอน 3 ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

ขั้นตอน 4 ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้

ขั้นตอน 5 ใช้ยา

ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันที ที่คนไข้มาหา ยาย่อมมีพิษ คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด

(red circle) Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า

“ จงกินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหาร ”

(purple square)จีนโบราณก็มีคำกล่าวว่า “ใช้อาหารรักษาโรค​ดีกว่ายา”

แต่ทุกวันนี้ มันกลับกันหมด

(blue circle)เรากินอาหารเพื่ออวัยวะ​ชิ้นไหนกันแน่ ?

เราอยู่ได้ เพราะอาศัยพลังงาน​จากอวัยวะทั้ง 5

• ตับดีชอบให้กินสีเขียว
• หัวใจดีชอบให้กินสีแดง
• ม้ามดีชอบให้กินสีเหลือง
• ปอดดีชอบให้กินสีขาว
• ไตดีชอบให้กินสีดำ

คำว่าดุลยภาพ หมายถึง​กินหลากหลายชนิด

• ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว
• หัวใจมีปัญหา สีหน้าจะออกแดง
• ม้ามมีปัญหา สีหน้าจะออกเหลือง
• คนไข้หอบหืด สีหน้าจะออกขาว
• คนไข้ไตเสื่อม สีหน้าจะออกดำ

(red triangle button)ว่าด้วยเรื่องอาหาร

• ถั่วเขียวบำรุงตับ

คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียว​จนเละซึ่งไม่ถูกต้อง
วิธีที่ต้มถั่วเขียว​ที่ได้ประโยชน์ ที่ถูกคือ ต้มให้น้ำเดือดประมาณ 5-6 นาที​ ก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด รินเอาน้ำออก​จะได้น้ำถั่วเขียว ที่มีสีเข้มข้นที่สุด ดื่มแล้ว มีสรรพคุณขับพิษสูงสุด จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำ ต้มต่อจนเละ กินเป็นอาหาร

• หัวใจชอบสีแดง ให้กินถั่วแดง
• ม้ามชอบสีเหลือง ให้กินถั่วเหลือง
• ปอดชอบสีขาว ให้กินถั่วขาว
• ไตชอบสีดำ ให้กินถั่วดำ

ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว ? เพราะตำรายาจีนมีคำว่า “คนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุข ”

โภชนาการแผนจีน ก็เน้นว่า “กินไม่พ้นถั่ว”

ดังนั้น เราควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต​

(blue triangle button)ในตำรายาจีน ได้พูดถึง รสชาติ ไว้ดังนี้

• เปรี้ยวบำรุงตับ (หากกินมาก ตับพัง)
• ขมบำรุงหัวใจ (หากกินมาก หัวใจพัง)
• หวานบำรุงม้าม (หากกินมาก ม้ามพัง)
• เผ็ดบำรุงปอด (หากกินมาก ปอดพัง)
• เค็มบำรุงไต (หากกินมาก ไตพัง)

หมายความว่า ต้องกินให้ครบทุกรสชาติ

(red circle)กินอาหารอย่างไร​จึงจะเหมาะ ?
ง่ายนิดเดียว ขอแนะนำว่า แต่นี้ไป​ ให้กินผักดิบผลไม้สด แต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้ ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี
เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า กินของดิบลดอาการร้อนใน แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบ​ให้วิตามินดีกว่า

(blue circle)ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้
“ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา โรงพยาบาลที่ดีที่สุด คือ ห้องครัว ยาที่ดีที่สุด คือ อาหาร ที่มีคุณค่า การรักษาที่ดีที่สุด คือเวลา ”

(blue circle)ซินแสจีนแนะนำดังนี้
1. หลังจากฟัง​คำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
2. เขียนข้อความ “ก่อนถึงอายุ​ 99 ห้ามเข้า (โลง) เด็ดขาด” ติดไว้หน้าเตียง เพื่อสั่งจิตใต้สำนึกของเรา​ให้ดูแลร่างกายของเรา

(pink square) สรุปว่าต่อไปนี้​

- กินอาหารให้เป็นยา ไม่ใช่กินยา เป็นอาหาร
- อารมณ์ดี หัวเราะ สามเวลา เพื่อห่างไกลจาก โรคและยา
- บริโภคถั่ว ตลอดชีวิต เพื่อบำรุง​อวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต ควรกินทั้ง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วขาว และ ถั่วดำ นั่นเอง !!!
- ให้กินผักดิบ ผลไม้สด​ที่สะอาดปลอดสารพิษ ถ้าเปลือกกินได้ ก็กินทั้งเปลือก
- กินอาหารให้ถูกต้อง เปรียบเสมือน กินยาจากธรรมชาติ​ที่ดีที่สุดนั่นเอง !!!
(Lime)(Lime)(Lime)(Lime)(Lime)(Lime)(Lime)(Lime)(Lime)

อ่านจบแล้ว
ส่งต่อได้บุญนะ

อย่าใช้คำว่า จะมาปฏิรูปศาสนา

“เจตนาดีไม่พอ ท่าทีต้องมีเมตตา“
ติง อย่าใช้คำว่าจะมาปฏิรูป กับศาสนา

พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี บินตรงมาจาก
สปป.ลาว ตามคำกราบนิมนต์ ของ
คณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปกิจการศาสนา
สภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมี
พลเอกเอกชัย ศรีวิลาศ เป็นประธาน
เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ
ห้องรับรอง ๒ อาคารรัฐสภา ๑ มีเนื้อหา
ที่ประทับใจ ตลอดระยะเวลาการสนทนาธรรม
กว่าสองชั่วโมง ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ
การฟื้นฟูพระพุทธศาสนา และในส่วนของ
ศาสนิกสัมพันธ์ ซึ่งไม่อาจจะนำมาบอกเล่าได้
ทั้งหมด จึงขอกล่าวโดยย่อแบบขาดอรรถรส
ตามที่ควรจะเป็น ดังนี้

- ก่อนอื่น อยากขอให้สื่อฯ นำเสนอข่าว
พระศาสนาอย่างสร้างสรรค์ มีความรู้จริง
ไม่ว่ากับศาสนาใด เพราะข่าวที่ลงผิดพลาดไป
มันได้สร้างความเสียหายไปแล้ว และตามแก้ไขยาก ไม่มีใครอยากจะแก้ไขข่าว
- ท่าทีต่อพระสงฆ์ แม้จะมีเจตนาดีแต่่ขอ
อย่าแข็งกร้าว อย่าใช้คำว่าจะมาปฏิรูป เพราะ
ไม่มีใครยากให้ใครมาปฏรูปตน เพราะเหมือน
กับว่า เราผิดอะไร เขาถึงต้องมาปฏิรูป.
ขอให้ใช้คำว่าฟื้นฟู และเข้าไปอย่างมีเมตตา
แนวทางการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา อย่าง
ที่ควรจะเป็น คือ
ฝ่ายศาสนจักร
- ต้องมุ่งปรับด้านการศึกษา
ให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
- ด้านการเผยแผ่พระธรรมคำสอน
- ด้านการปกครองคณะสงฆ์ ขอให้นำ
พ.ร.บ.สงฆ์ ปี 2484 มาปรับใช้ เพราะเป็น
พ.ร.บ.ที่ดี มีส่วนที่สามารถแก้ไขปัญหาได้มาก
- ด้านการเงินการบัญชีของวัดต้อง
โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
- ส่งเสริมพระดีให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม

ฝ่ายอาณาจักร
- รัฐ ไม่ควรใช้สถาบันสงฆ์เป็นที่หวังผล
ทางการเมือง
- ส่งเสริม การเผยแผ่ที่ถูกต้อง
- ป้องปราม อย่าส่งเสริมความเห็นผิด
และความวิปริตจากพระธรรมวินัย
- ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในหมู่สังคมไทย
ให้พุทธศาสนิกชนได้เรียนรู้ในพระวินัยของ
สงฆ์ด้วย
- ส่งเสริม การกระจายอำนาจของคณะสงฆ์
อย่าให้พระเถระต้องแบกรับภาระหนักจนเกินไป
กล่าวโดยสรุปแล้ว ก็ต้องฟื้นฟูกัน ทั้งพระ
และโยม และขอให้มีเมตตาต่อกัน และให้มี
ศาสนิกสัมพันธ์ มีความใจกว้างทางศาสนา
รักศาสนาอื่น เหมือนรักศาสนาตน รู้จริง
และรู้แจ้ง ในศาสนาตน และในศาสนาของ
เพื่อน หาโอกาสให้ทุกๆศาสนาได้มาพบปะกัน
ดังครั้งโบราณนานมา แล้วความศรัทธา
จะฟื้นคืน สันติสุขอันแท้จริงก็จะบังเกิดกับ
ทุกผู้คน ในทุกๆศาสนา

“ ไม่มีศาสนาใดที่ดีที่สุด มีแต่
ศาสนาที่เหมาะสมที่สุด เพราะคนเรา
เกิดมาต่างกัน สถานะ เหตุการณ์ต่างกัน
จงเข้าใจ และรัก ให้เกียรติ ศาสนาอื่น
เหมือนที่ทำกับศาสนาของตนเอง “

ท่าน ว.วชิรเมธี
ห้องรับรอง 2 อาคารรัฐสภา 1
16 มีนาคม. 2558