นำไปสู่ความมหัศจรรย์เหนือความมหัศจรรย์ทั้งปวง
พวกเราเป็นมนุษย์ผู้ประกอบด้วยกายใจ มีศักยภาพในการเจริญสติอย่างถูกต้อง
จึงไม่ควรรีรอแม้แต่นาทีเดียวในอันที่จะพิสูจน์
เพื่อทราบว่าที่สุดของความคุ้มในชีวิตมิใช่การใช้ชีวิตได้ตามอำเภอใจ
แต่เป็นการได้หลุดพ้นจากการครอบงำตามอำเภอใจของชีวิตต่างหาก
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์คือการดำเนินชีวิตเยี่ยงอริยบุคคลผู้บรรลุมรรคผล
เมื่อรู้ความจริงอย่างอริยะ คิดอย่างอริยะ พูดอย่างอริยะ กระทำอย่างอริยะ
มีสติรู้อย่างอริยะ และจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิอย่างอริยะ
วันหนึ่งย่อมกลายเป็นอริยะ
ดังนั้นถ้าเราสงสัยว่าทำไมเจริญสติแล้วสติไม่เจริญ
หรือสติเจริญแต่ไม่บรรลุมรรคผลเสียที
ก็สมควรใช้ข้อปฏิบัติของเหล่าอริยะเป็นเกณฑ์ในการสำรวจตรวจตรา
ว่าวิธีดำเนินชีวิตของเราเข้าทางตรงหรือยัง
การดำเนินชีวิตเยี่ยงอริยะประกอบด้วยองค์ ๘ ประการดังนี้
๑. รู้ความจริงอย่างอริยะ คือรู้ว่าอะไรคือทุกข์
รู้ว่าอะไรคือเหตุแห่งทุกข์ รู้ว่าอะไรคือความดับทุกข์
และรู้ว่าการดำเนินชีวิตอย่างไรจึงดับทุกข์ได้
ผู้รู้ความจริงอย่างอริยะได้ชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ
ซึ่งอาจหมายถึงสัมมาทิฏฐิระดับรับฟังแล้วจดจำ
หรือสัมมาทิฏฐิระดับการตรึกนึกให้เข้าใจ
ตลอดจนเกิดสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ด้วยการเจริญสติแล้วบรรลุมรรคผล
๒. คิดอย่างอริยะ คือคิดออกจากกาม คิดอภัยไม่พยาบาท
และคิดหลีกเลี่ยงการเบียดเบียนใดๆ เพราะกาม พยาบาท และการเบียดเบียนนั้น
เป็นเปลือกหนาห่อหุ้มจิตให้มืดมนอยู่
เมื่อมืดอยู่ความจริงใดๆย่อมไม่ปรากฏให้เห็น
๓. พูดอย่างอริยะ คือการเว้นจากการพูดเท็จอันเป็นเหตุให้จิตบิดเบี้ยว
เว้นจากการพูดส่อเสียดอันเป็นเหตุให้จิตเร่าร้อน
เว้นจากการพูดหยาบคายอันเป็นเหตุให้จิตสกปรก
และเว้นจากการพูดเพ้อเจ้ออันเป็นเหตุให้จิตพร่ามัว
กล่าวโดยสรุปคือการพูดไม่ดีเป็นเหตุให้ไม่อาจมองเห็นอะไรตามจริง
ถ้างดเว้นเสียได้จึงค่อยเห็นตามจริงได้
๔. กระทำอย่างอริยะ คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการขโมย
เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
อันล้วนเป็นบาปที่พอกหนาแล้วกลายเป็นความโง่เขลา
เมื่อเห็นบาปเป็นของดีย่อมได้ชื่อว่าเห็นผิดเป็นชอบ
คนเราย่อมไม่อาจเห็นความจริงทั้งที่ยังเห็นผิดเป็นชอบอยู่
๕. เลี้ยงชีพอย่างอริยะ คือหากินด้วยความสุจริต
ถ้าเป็นพระต้องรักษาวินัยสงฆ์และเพียรเพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งตามกติกาการบวช
ถ้าเป็นชาวบ้านต้องทำอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม
๖. เพียรอย่างอริยะ คือตัดใจละบาปอกุศลทั้งปวงจนเหือดแห้งไปหมด
ขวนขวายเพิ่มบุญกุศลทั้งหลายจนบริบูรณ์เต็มที่ เช่น
มีน้ำใจสละให้ทานคนและสัตว์เพื่อทำลายความตระหนี่ เป็นต้น
ไม่มัวหลงประมาทว่าเราดีแล้ว ไม่ต้องเพิ่มความดีแล้ว
๗. มีสติระลึกรู้อย่างอริยะ คือมีความรู้สึกตัวอยู่ รู้สึกถึงกาย เวทนา
จิต และธรรม กำจัดความอยาก ละความเศร้าโศกเสียได้
๘. มีสมาธิตั้งมั่นอย่างอริยะ คือเป็นผู้สงัดจากกาม สงัดจากบาปอกุศล
จิตตั้งรู้อยู่ในขอบเขตกายใจคงเส้นคงวา กระทั่งเกิดปีติสุขอันวิเวก
แล้วพัฒนาขึ้นไปถึงการมีอุเบกขาอันเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์
จิตเหมือนปรากฏเป็นอีกภาวะหนึ่งแยกออกมาตั้งมั่นเป็นต่างหากจากกาย
เป็นต่างหากจากความรู้สึกนึกคิด สว่างจ้าด้วยปัญญา
มีหน้าที่อย่างเดียวคือรู้เห็น ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับกายใจใดๆ
ผู้ใกล้บรรลุมรรคผลย่อมเห็นตามจริงว่า
ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ทั้ง ๘ ประการควรเจริญให้มาก
เมื่อเอากายใจเป็นที่ตั้งแห่งความจริง เราจะพบว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดมา นอกจาก
ทุกข์ไม่มีอะไรดับไป ทุกข์ทั้งหลายล้วนเป็นเท็จด้วยอาการเลอะเลือนไป
เมื่อสงบจากทุกข์ได้เฉพาะตน จึงชื่อว่าเข้าถึงของจริงอันเป็นบรมสุข
ตั้งมั่นถาวรไม่กลับกลายเป็นอื่นอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น