กล่าวถึงที่สุด ความฝันอันสูงสุดร่วมกันของบุคลากรและองค์กรเกี่ยวข้องกับการจราจรและขนส่ง
คือการลดจำนวนอุบัติเหตุลงเหลือ 'ศูนย์' คือไม่เกิดอุบัติเหตุเลย
ทว่าความวาดหวังเหล่านั้นยากจะเกิดขึ้นจริง
ยิ่งในสังคมไทยยิ่งยากมหาศาลจนเกือบจะฟันธงได้เลยว่าเป็นความฝันอันเหลือ
เชื่อ (The Impossible Dream) ทีเดียว ด้วยในทุกๆ
ปีมีผู้บาดเจ็บล้มตายนับหมื่นแสนราย ดังปี 2551
ที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนถึง 11,276 คน เฉลี่ยกว่า 30 คน/วัน
ยิ่งช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ตัวเลขจะสูงขึ้นเป็น 2 เท่า โดย 1 ใน 3
ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว
ด้านมูลค่าความสูญเสียก็ก้าวกระโดด
จากมูลนิธิวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)
เคยประมาณการว่าอุบัติเหตุทางถนนสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจราว 7
หมื่นล้านบาท/ปี เมื่อปี 2536
แต่ทว่าล่าสุดกระทรวงคมนาคมกลับพบตัวเลขน่าตระหนกว่าทะยานกว่า 2
แสนล้านบาท/ปี หรือร้อยละ 2.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP)
เข้าไปแล้ว ทั้งๆ เกณฑ์สากลตัวเลขความสูญเสียไม่ควรเกินร้อยละ 1
ในปรากฏการณ์ความสูญเสียเหล่านี้
แม้จะมีความพยายามลดอุบัติเหตุทางถนนจนสถิติลดลง
แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า อีกทั้งยังเข้าทำนองวัวหายแล้วล้อมคอก
คงเกิดโศกนาฏกรรมร้ายแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่อยมา
แม้นว่าเหตุปัจจัยในการเกิดอุบัติเหตุจะซ้ำซากเสมอๆ เหมือนกันก็ตามที
ทั้งนี้ก็เพราะไม่เพียงประเทศไทยไม่มีวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนอัน
เนื่องมาจากจำนนต่อการเมาแล้วขับ ขับเร็วเกินอัตรากำหนด
และประมาทไม่เคารพกฎจราจรเท่านั้น หากยังขาดแคลนเจตจำนงทางการเมือง
(Political Will) เรื่องความปลอดภัยทางถนนในระดับนโยบายสาธารณะด้วย
เนื่องจากหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย
ไม่เคยแม้แต่จะมีพันธสัญญาทางการเมือง (Political Commitment)
จากผู้นำรัฐนาวาว่าได้นำประเด็นปัญหาอุบัติเหตุจราจรเป็นวาระแห่งชาติ
(National Agenda) ฉะนั้นการที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องทิศทางนโยบายการแก้ปัญหาอุบัติเหตุจราจรในงานสัมมนา
ระดับชาติอุบัติเหตุจราจร ครั้งที่ 9 หัวข้อพลังเครือข่ายเพื่อถนนปลอดภัย
เมื่อ 20 สิงหาคม 2552
ก็น่าจะนำความเปลี่ยนแปลงเชิงลึกและกว้างมาสู่สังคมไทยได้
ด้วยเมื่อถ้อยใจความปาฐกถาที่ว่าสังคมไทยได้สูญเสียไปมหาศาลแล้วกับ
อุบัติเหตุถนนทั้งที่ป้องกันได้
บวกรวมเข้ากับการแปรสถิติบนกระดาษมาเป็นภาคปฏิบัติการที่ทุกภาคส่วนสังคม
ตระหนักถึงสาเหตุและแนวทางบรรเทาปัญหาร่วมกันนั้น
ท้ายสุดจึงน่าจะขับเคลื่อนปณิธานของรัฐบาลที่ปรารถนาลดจำนวนผู้เสียชีวิตจาก
อุบัติเหตุถนนลงครึ่งหนึ่งในทศวรรษหน้าได้
ไม่ต่างกันกับการบรรลุเป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ (UN)
ที่ต้องการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั่วโลกแต่ละปีกว่า 1.2
ล้านคน บาดเจ็บและพิการกว่า 50 ล้านคน โดยจำนวนมากเป็นเด็กและเยาวชน
ตลอดจนยังสอดผสานกับการประชุมรัฐมนตรีทั่วโลกว่าด้วยความปลอดภัยทาง
ถนนครั้งแรก (Global Ministerial Conference on Road Safety)
โดยสหประชาชาติที่กรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย ระหว่าง 19-20 พฤศจิกายน 2552
เพื่อร่วมกันผลักดันให้อุบัติเหตุทางถนนเป็นวาระสำคัญที่ทุกประเทศต้อง
ตระหนักและเร่งแก้ไขเพื่อพิชิตเป้าหมายลดผู้เสียชีวิตลงครึ่งหนึ่งในทศวรรษ
ข้างหน้าด้วย
หลัก ไมล์ (Milestone)
ในระดับโลกและประเทศที่กำลังลงหลักปักฐานหนักแน่นเช่นนี้จึงทำให้ความสูญ
เสียแสนมหาศาลจากอุบัติเหตุทางท้องถนนเรียวแคบเข้าใกล้ศูนย์ขึ้นเรื่อยๆ
กล่าวเฉพาะไทย
การได้คำมั่นสัญญาการเมืองจากผู้กุมอำนาจรัฐให้ความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระ
แห่งชาติ โดยดำเนินการผ่านศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)
ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนนผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐานอย่าง
ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง และแผนแม่บทจราจรที่กำหนดให้ทศวรรษต่อจากนี้
อัตราผู้เสียชีวิตไม่ควรเกิน 10 คนจากประชากรแสนคน
ควบคู่กับขับเคลื่อนมาตรการรูปธรรมทั้งการรวบรวมฐานข้อมูลอุบัติเหตุและจุด
เสี่ยง/จุดอันตราย (Black Spot) โดยการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น
และชุมชน การวางแผนขนส่งระบบรางที่ชัดเจนทั้งในภูมิภาคและกรุงเทพฯ
และการขยายระบบขนส่งสาธารณะอย่างน้อยร้อยละ 30 ภายใน 5
ปีข้างหน้าเพื่อรองรับประชากรที่ทวีขึ้น
รวมถึงแก้ปัญหาจุดตัดที่ไม่ได้มาตรฐานระหว่างรางรถไฟกับถนน
ตลอดทั้งยังได้ภาคีเครือข่ายหลายหลากร่วมสังสรรค์ถนนปลอดภัยอย่าง
เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทยที่มีพันธกิจจัดเก็บข้อมูล
อุบัติเหตุอย่างเป็นระบบโดยการศึกษาสืบค้นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุเชิงลึก
(Accident Investigation) และศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)
ที่มีคนไทยปลอดภัยจากอุบัติภัยทางถนนเป็นวิสัยทัศน์
โดยใช้องค์ความรู้กอบกู้ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินนั้น
ก็น่าจะจุดประกายสังคมไทยให้ฝันใฝ่ในสิ่งที่เหลือเชื่อได้
ด้วยถ้าภาครัฐและประชาสังคมถักทอ 'ความฝันอันสูงสุด' ร่วมกัน
การพลัดพรากบาดเจ็บล้มตายหมื่นแสนรายภายในแต่ละปีก็จะลดน้อยถอยลงจนเข้าใกล้
ศูนย์ได้ ขอเพียงระหว่างนั้นไม่ถดถอยท้อแท้แพ้พ่ายต่อการขาดจิตสำนึกความปลอดภัยทาง
ถนนของคนไทยที่มักตีความความเชื่อว่าทำอิสระตามใจได้คือไทยแท้อย่างผิดๆ
และถึงถูกจับหลังผิดกฎจราจรก็คิดว่าติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐได้
การ ก้าวตามความฝันที่เปลี่ยนแปรเป็นปฏิบัติการมุ่งสู่ศูนย์
(Towards Zero) ในโลกแห่งความเป็นจริงจึงเรียกร้องการบูรณาการระหว่างภาคการเมืองและประชา
สังคมเข้มข้น โดยพิเคราะห์แล้วจักพบว่าเงื่อนไขนี้มีอยู่แล้วเต็มเปี่ยมในปัจจุบัน
ด้วยในระดับนโยบายนั้นอุบัติจราจรก็เป็นวาระแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีตระหนัก
ความสำคัญ ขณะเดียวกันพันธมิตรภาคีเครือข่ายมากมายก็มีฉันทะ
ขณะต้นแบบที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ก็มี ดังผลรายงานเรื่อง
'มุ่งสู่ศูนย์: การพิชิตเป้าหมายถนนปลอดภัยและแนวทางสร้างระบบปลอดภัย'
จากการร่วมกันทำงานนาน 3 ปีขององค์กรสถาบันด้านความปลอดภัย 21 ประเทศ
รวมถึงธนาคารโลก (World Bank) องค์การอนามัยโลก (WHO) และมูลนิธิเอฟไอเอ
(FIA Foundation) โดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(OECD) โดยเนเธอร์แลนด์และสวีเดนจะปัดปฏิเสธการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากระบบขนส่ง
ทางบกอย่างสิ้นเชิงผ่านนโยบายความปลอดภัยชื่อความปลอดภัยที่ยั่งยืน
(Sustainable Safety) และวิสัยทัศน์ศูนย์ (Vision Zero) ตามลำดับ
อันขยายมาสู่รูปแบบการเดินทางทางอากาศ รถไฟ และเรือ
แม้นเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน
การบังคับใช้กฎหมายของไทยจะอ่อนด้อยกว่าสองประเทศข้างต้น
แต่การตอกหมุดหมายลดจำนวนอุบัติเหตุเข้มขึ้นเรื่อยๆ จาก 10
คนจากประชากรแสนคน ก็อาจลดเหลือแค่ 6 คน จนถึงศูนย์ได้ในที่สุด
แม้ใช้เวลาและทรัพยากรมาก หากก็คุ้มค่ากว่ามหาศาล
ทว่าระยะเฉพาะหน้าต้องเร่งสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบต่อตนเองและผู้คนบน
ถนนอื่นๆ ผ่านพื้นฐานการขับขี่ปลอดภัย ทั้งสวมหมวกกันน็อก
คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง หมั่นตรวจระบบเบรก ยาง และระบบส่องสว่าง
มองด้านหลังและให้สัญญาณไฟทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนช่องทาง
จดจำสัญญาณจราจรสำคัญ ไม่ขับขี่สวนทางหรือข้ามช่องทางวิ่ง
ลดความเร็วขณะถนนขรุขระเปียกลื่น ไม่ขับเร็วกว่ากฎหมายกำหนด
งดเสพของมึนเมาขณะขับขี่ และหยุดหรือชะลอความเร็วขณะผ่านสี่แยก
โดยอาศัยการบริหารจัดการความท้าทายนี้บนฐานการสนับสนุนทางการเมือง
ซึ่งนานๆ จะมาถึงสักครั้งหนึ่ง
เพื่อถึงฝั่งฝันอันสูงสุด นอกจากต้องทำงานร่วมกัน (Synergy)
ระหว่างภาครัฐกับภาคีเครือข่ายเข้มข้นขึ้นแล้ว
ยังต้องลงมือทำเพื่อคลี่คลายวิกฤตนี้เดี๋ยวนี้ด้วยเครื่องมือ ความรู้
และวิธีที่มี
ที่ สำคัญสุดต้องไม่ละทิ้งความใฝ่ฝันอันเป็นคุณลักษณะของมนุษย์ผู้ไม่แพ้พ่าย
เพราะการถักถ้อยร้อยเป้าหมาย 'ลดอุบัติเหตุให้ถึงศูนย์ก่อนสิ้นสูญ'
ที่เป็นความฝันสูงสุดแสนงดงามร่วมกันของทุกภาคส่วนสังคมนั้นจะสร้างสรรค์การ
พัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development)
ได้บนพื้นฐานความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและการเมืองไทย
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น