++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

แดงยุทธศาสตร์อันตราย อาจก่อสงครามกลางเมือง

ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์ 10 ก.ย. 52 นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำ
นปช.ได้โฟนอินมาเข้าพูดคุยกับแฟนคลับว่า
...ขณะนี้คนเสื้อแดงกำลังเดินทางเข้าสู่เส้นทางปฏิวัติ
...ในสถานการณ์ฝ่ายอำมาตย์กำลังอยู่ในภาวะถดถอย เกือบล่มสลาย
...พยายามช่วงชิงอำนาจฝ่ายประชาชนกลับมา

นายสุรชัย แซ่ด่าน กล่าวว่า...ถวายฎีกาขอให้ปลด พล.อ.เปรม
ติณสูลานนท์ ออกจากประธานองคมนตรียังง่ายกว่า แต่ก็ไม่เอา

นายสุรชัย กล่าวย้ำว่า
...กลุ่มแดงสยามจะไม่ใช้วิธีการโค่นล้มอำมาตย์
แต่จะใช้การยกเลิกระบอบอำมาตย์ ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ...

เหตุวิกฤตชาติอันเป็นความหายนะทั้งปวงของชาติ
ขอยืนยันด้วยปัญญาว่าไม่ได้อยู่ที่คณะองคมนตรี
และไม่ได้อยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์

การแต่งตั้งและปลดองคมนตรี เป็นพระราชอัธยาศัย ก็แสดงว่า พวกแดง
ไม่ยอมรับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ พวกเขามียุทธวิธีบ่อนเซาะ ตัดแขน
ตัดขา ปิดหู ปิดตา สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เลี่ยงไปว่า โค่นอำมาตย์
ยกเลิกระบอบอำมาตย์

ในความเป็นจริงทางรัฐศาสตร์ ไม่มีระบอบอำมาตย์ พวกแดง
พูดเพื่อเบี่ยง เพิ่มความเกลียดชัง ทั้งนี้ก็เพราะพวกเขามองเหตุวิกฤตชาติ
ผิดไปจากความเป็นจริง นั่นเอง

ในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ตั้งยุทธศาสตร์ ว่า
"...ประเทศไทย เป็นประเทศกึ่งเมืองขึ้น กึ่งศักดินา...ปฏิวัติประชาธิปไตย
ประชาชาติ... อำนาจรัฐต้องมาจากกระบอกปืน..." ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าว
ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง พรรคคอมมิวนิสต์ฯ จึงได้พ่ายแพ้
และสิ้นสุดสงครามกลางเมืองลงอย่างสิ้นเชิงในปี 2525
ด้วยนโยบายอันสำคัญในช่วงนั้น คือ นโยบายที่ 66/2523 โดย พลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

พวกแดงที่นำโดยนายทักษิณ ชินวัตร และแกนเสื้อแดงทั้งหลายนั้น
ตั้งยุทธศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายเข้าโจมตี ทำลาย ...โค่นระบอบอำมาตย์
หรือสถาบันองคมนตรี... เป็นยุทธศาสตร์
เป็นยุทธวิธีที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง
เพราะเป็นยุทธวิธีที่ไม่ยอมรับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัดแขน ตัดขา
สถาบันพระมหากษัตริย์ ถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง

พวกเขามองปัญหาบุคคล เป็นศัตรู กล่าวร้าย โจมตีบุคคล
ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดจากความกลัว โลภ โกรธ หลง
เป็นยุทธศาสตร์ของความเกลียดชัง (ขบวนการคนชั่ว เกลียดชังคนดี)
จึงไม่ใช่แนวคิดทางการเมืองเพื่อประเทศชาติและประชาชน
แต่เป็นขบวนการหากิน "สู้แล้วรวย"
ยกเชิดชูบุคคลคนหนึ่งที่โกงกินกินชาติจนร่ำรวยอย่างมหาศาล
และกล่าวร้ายโจมตีบุคคลผู้มีคุณูปการต่อชาติ พิทักษ์รักษาชาติ
ให้พ้นจากความสิ้นชาติ ไปสู่ชาติไทยคอมมิวนิสต์

สรุปได้ว่า ยุทธศาสตร์แดง เป็นยุทธศาสตร์ของพวกคนพาล พวกเอาเปรียบ
กดขี่ข่มเหงประชาชนที่มากขึ้นๆๆ ในแผ่นดิน
ทั้งเพราะเหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง
ที่ครอบงำประเทศไทยอยู่เป็นลักษณะทั่วไป (General)
คือครอบงำทำลายประเทศทุกส่วนที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมด

เหตุวิกฤตชาติ ดังกล่าว จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล แต่ความเห็น
แนวคิด ความเชื่อของบุคคลเป็นอุปสรรค ที่มองปัญหาเหตุวิกฤตชาติไม่ออก
เช่น ทุกรัฐบาลมองว่า เหตุวิกฤตชาติคือ บุคคลบ้าง เศรษฐกิจบ้าง
ซึ่งเป็นการมองที่ผิดพลาดไปจากสภาพการณ์ที่เป็นจริง ที่มันดำรงอยู่จริงๆ
รัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็ยังมองไม่ออก เมื่อมองเหตุวิกฤตชาติไม่ออก
ก็แก้ไขเหตุวิกฤตชาติไม่ได้ ในท้ายที่สุด
พรรคประชาธิปัตย์จะถูกประชาชนไล่ เฉกเช่นรัฐบาลอื่นๆ ที่ผ่านมา
หรือไม่ก็จะถูกรัฐประหารโดยคณะบุคคลในกองทัพ
เพราะรัฐบาลประชาธิปัตย์ปล่อยให้มีการโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์
ขยายตัวมากขึ้นทุกที มัวแต่แก้ปัญหาปลายเหตุ
ประชาชนที่ไม่รู้การเมืองก็ตกเป็นเครื่องมือของพวกบ่อนทำลายชาติ

ปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบัน ปัญหาบุคคล
ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม ทุกระดับชั้น
ล้วนแล้วเป็นผลและเป็นปรากฏการณ์จากการปกครองแบบเผด็จการทั้งสิ้น

เหตุวิกฤตที่แท้จริงของชาติ คือ ระบอบเผด็จการฯ 2 ลักษณะ คือ
"เผด็จการรัฐประหาร และเผด็จการจากการเลือกตั้ง หรือเผด็จการรัฐสภา"
ทั้งสองแนวคิด ล้วนเป็นแนวคิดภายใต้ลัทธิรัฐธรรมนูญ
โดยยึดรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางและรัฐธรรมนูญนี่เองเป็นศูนย์กลางของความขัด
แย้งของคณะผู้ปกครองรุ่นแล้วรุ่นเล่า บนปรากฏการณ์รัฐประหาร
ร่างรัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง รัฐประหาร เป็นวงจรอุบาทว์ร้ายแรงของชาติ
ในช่วงเวลา 77 ปี ได้หลอกประชาชนมาเป็นแนวร่วม ล้มตายบ้าง พิการบ้าง
เพราะความไม่รู้ทางการเมืองของประชาชน

เหตุวิกฤตชาติ ที่แท้จริง สภาวะ หรือสภาพการณ์
ที่มันดำรงอยู่จริงๆ ที่ครอบงำประเทศ คือ ระบอบเผด็จการฯ
ยุทธศาสตร์ที่แท้จริงของชาติ ก็คือ ยกเลิกระบอบเผด็จการ
คือรัฐธรรมนูญที่ปราศจากระบอบฯ หรือหลักการปกครองโดยธรรม นั่นเอง

วิธีการสำคัญยิ่งใหญ่ คือ
พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม อันเป็นแก่นแท้ของชาติ
หรือเรียกว่า สถาปนาระบอบการปกครองโดยธรรม
จากนั้นปรับปรุงแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครองโดยธรรม
โดยรัฐธรรมนูญใหม่มีทั้งส่วนหลักการปกครอง (Principle of Government)
และส่วนที่เป็นวิธีการปกครอง (Methods of Government) ได้แก่มาตราต่างๆ
ประชาชนโดยทั่วไป ก็จดจำเพียงหลักการปกครองโดยธรรม ประชาชนก็จะรู้ว่า
การกระทำใดถูกต้องหรือไม่ถูกต้องทางการเมือง
ประชาชนกับนักการเมืองมีความรู้เท่ากันในหลักการพื้นฐานของชาติ
มันเกิดความก้าวหน้าทางการเมืองอย่างขนานใหญ่
เปลี่ยนเนื้อหาทางการเมืองเก่าๆ ลงทั้งหมด
ผู้เขียนได้นำเสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันเป็นแก่นแท้ของมนุษยชาติ
และเอกลักษณ์สำคัญของชาติไทยเรา โดยย่อได้แก่

1. หลักธรรมาธิปไตย อันเป็นเหตุให้เกิดความปัญญา ความก้าวหน้าทางจิตใจ

2. หลักพระพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ

3. หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน

4. หลักเสรีภาพบริบูรณ์

5. หลักความเสมอภาคทางโอกาส

6. หลักภราดรภาพ

7. หลักดุลภาพ

8. หลักเอกภาพ

9. หลักนิติธรรม ส่วนการเลือกตั้ง การสรรหา
เป็นวิธีการได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง

ย้อนกลับมาดู ยุทธศาสตร์ประชาธิปไตย (หลอก)
ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์และลักษณะพิเศษของประเทศไทยต่อสถาบันชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ ในยุคปัจจุบันและโลกในอนาคตอีกต่อไป

ระบอบประชาธิปไตย (หลอก)
เป็นยุทธศาสตร์ที่ยังไม่สมบูรณ์เป็นวิธีคิดที่เกิดจากฐานแนวคิดเทวนิยม
การสร้างระบอบประชาธิปไตย
หากเปรียบเทียบคุณภาพในความเป็นประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ เช่น
ประเทศอินเดีย มาเลเซีย หรือประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เป็นต้น
หากประเทศไทยสร้างระบอบประชาธิปไตยได้สำเร็จ ก็เป็นเพียงต้นกล้าอ่อน
ไม่มีอะไรใหม่

ขบวนการรัฐธรรมนูญ
และอำนาจรัฐปัจจุบันยังยึดการปกครองเผด็จการระบบรัฐสภาไว้อย่างเหนียวแน่น
จะแก้ปัญหามิจฉาทิฐิคนเหล่านี้ได้ ก็ด้วยสันติวิธี
และความรู้ขั้นปรมัตถธรรมอันลึกซึ้งสูงสุดเท่านั้น
ถ้าความรู้ไม่ถึงขั้นนั้น ไม่สามารถจะแก้ไขความเห็นผิด
และความยึดมั่นของพวกเขาได้เลย ยึดมั่นในรูปแบบวิธีการปรัชญาตะวันตก
ซึ่งไม่สอดคล้องกับประเทศไทย
มองในแง่สังคมวิทยาก็เพราะคนไทยมีคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว
จึงไม่นิยมแนวคิดตะวันตกหรือเทวนิยม ผู้ปกครอง นักการเมืองไปทางหนึ่ง
ประชาชนไปทางหนึ่ง

กระแสสากล โลกกำลังแสวงหาอะไรในอนาคต
นักปรัชญาตะวันตกกำลังแสวงหาสิ่งใหม่ๆ คือ
สัจธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าอันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ
ที่จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปสู่ความมั่นคงของมนุษยชาติและสันติภาพโลกในท้าย
ที่สุด

ความมุ่งหมายแห่งสันติธรรม เมตตา
ความรักและธรรมาธิปไตยอันสูงส่งคือสิ่งที่นักปราชญ์แสวงหา
ไม่ใช่กระแสประชาธิปไตยอีกต่อไปอันเป็นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายของโลกแล้ว
การปฏิวัติประชาธิปไตยอาจเกิดสงครามกลางเมือง
หากทำได้สำเร็จก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น
ประเทศมาเลเซียเขาก็จะหัวเราะเยาะเอาได้
ประเทศมาเลเซียปฏิวัติประชาธิปไตยกว่า 50 ปีแล้ว"
ไทยก็จะตามประเทศมาเลเซียเขาไม่ทัน

หากประเทศไทยได้สร้างระบอบการปกครองแบบธรรมาธิปไตย
ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดด
จะมีความก้าวหน้าทางจิตใจและการเมืองกว่าประเทศใดๆ ในโลก

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ จึงได้เสนอ หลักยุทธศาสตร์แห่งความมั่นคง
ยั่งยืน ตามกฎธรรมชาติ ประยุกต์เข้ากับลักษณะพิเศษ แก่นแท้ของไทยเรา คือ
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เพื่อสร้างสรรค์ประเทศชาติและเป็นแบบอย่างแห่งการสร้างสันติภาพโลกต่อไป
หากเราตั้งใจจริง ร่วมมือกันจริง คนไทยเรา
ประเทศไทยเราก็เก่งไม่แพ้ประเทศใดๆ ในโลก


โดย ดร.ป. เพชรอริยะ


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000106982

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น