++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

สสส.ในระยะเปลี่ยนผ่าน ; แกะรอยมรดกภาษีบาปสองพันล้าน...เส้นทางบาปของนักบุญ...

โดย ธงไท เทอดอุดม


แม้คลื่นใหญ่หลังบทความเรื่อง "คลี่ม่านแดนสนธยา ผ่าอาณาจักรสองพันล้าน ;
สสส. ในระยะเปลี่ยนผ่าน..." ตี พิมพ์ที่นี่ เมื่อวันที่ 6
กันยายนที่ผ่านมา จะถาโถมโรมรันพันตูอยู่ท่วมโลกไซเบอร์
จรดเถียงนาผ่ากลางโรงงาน
ผ่านมหาวิทยาลัยดังไปยังย่านธุรกิจสำคัญกลางเมืองหลวง
ที่ล้วนมีเม็ดเงินจาก สสส.แผ่ซ่านไปทั่วทุกแห่งหนในสังคมไทย...

ด้วยความกังขาว่างบประมาณของ สสส.ปีละมากกว่าสองพันล้านบาท
จะได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยใคร?
กับความไม่โปร่งใสของกระบวนการสรรหาผู้จัดการที่ดำเนินการกันอย่างลึกลับ
ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และรวบรัดยิ่งนัก...มิไยจะฟังคำท้วงติง
จากทั่วทุกสารทิศ....

กับคำถามที่ว่า กรรมการสรรหามีใครบ้าง? ก็เพียงเพื่อสังคม
สาธารณะจะรู้ได้ว่า....กรรมการแต่ละท่าน มีประวัติ เกียรติยศ
ดีแค่ไหนหรือใครไม่เข้าท่า อันนำไปสู่การ วินิจฉัย
ตัดสินใจเชื่อถือได้หรือไม่...???

กับคำถามที่ว่า มีหลักเกณฑ์การสรรหาเป็นเช่นไร? ก็เพื่อสังคม
สาธารณะผู้กระหายในธรรมาภิบาลจะกล่าวขานถึงได้ว่ากระบวนการสรรหานี้
ถูกต้อง โปร่งใส เหมาะควร แค่ไหน? อย่างไร?

กับคำถามที่ว่า ใคร คือผู้สมัครบ้าง?
ก็เพียงเพื่อได้พิจารณาเปรียบเทียบว่าใครคือผู้เหมาะสมเข้าตาประชาชน
และเขาก็จะสามารถยืดหน้าท้าสายตามหาชนอย่างอาจอง สง่างาม....วานบอก...

แต่แทนที่ สสส.จะเปิดตัว
เปิดใจทำทุกอย่างให้โปร่งใส..กลับไม่ทำ..ยิ่งมุดน้ำดำดินดิ้นหนีสายตามหาชน
แยกองค์กรอิสระที่เกิดภายใต้เจตจำนงบริสุทธิ์
ทั้งเคยพิสูจน์ตนเองในยุคสงครามกับคนดี..ปุระชัย
คราวที่ถูกการเมืองรุกไล่จนต้องซุกในอ้อมกอดอันอบอุ่นของภาคีนับพันองค์กร
ที่ชุมนุมใหญ่ที่ไบเทค บางนา
เพื่อปกป้องรักษาองค์กรอิสระนี้เอาไว้....เอาไว้เพียงเพื่อวันนี้องค์กรนี้
จะถูกแยกไปจากอ้อมกอดของมหาชน ไปเป็นเพียงสมบัติผลัดกันชมของหมอเด็กๆ
ไม่กี่คนที่พยายามสร้างอาณาจักรส่วนตัวของกลุ่มตนบนกองมรดก "ภาษีบาป"
มูลค่าปีละกว่าสองพันล้านบาท.....

คำถามคือทำไม? เพื่ออะไร? โดยใคร? และอย่างไร?

จากเอกสารรายงานประจำปีที่แถลงอย่างเป็นทางการล่าสุดคือปี 2550
ระบุถึงเม็ดเงินที่ สสส.ได้รับการจัดสรรจากภาษีเหล้า บุหรี่ ยอดเงินรวม
2,035 ล้านบาท ได้ถูกใช้สำหรับเป้าหมายกลุ่มปัจจัยเสี่ยงหลัก (บุหรี่
เหล้า ออกกำลังกาย และอุบัติเหตุ) เป็นวงเงินสูงสุดถึง 587.5 ล้านบาท
(28.9%) เพื่อสุขภาวะองค์รวม 529 ล้านบาท (26%) พัฒนาระบบและนโยบาย 320.8
ล้านบาท (15.8%) และที่ต้องขีดเส้นใต้คือ งบการตลาดเพื่อสังคม 319.2
ล้านบาท 15.7%...เป็นงบ "เนื้อๆ" ทีเดียว...ฯลฯ

ปรากฏการณ์ที่เป็นร่องรอยสำหรับการตามรอยหรือแกะรอยกองมรดกภาษีบาปสองพันล้าน/ปี
ได้แก่...

ปัญหาการอนุมัติโครงการ
ซึ่งเปรียบเหมือนหนังไทยโบราณคือมีหลายแบบหลายแนว ทั้งชีวิต ซึม เศร้า
บู๊ ตลก ......เช่น การอนุมัติโครงการส่วนใหญ่ต้องตกลงในวงนอกก่อนเสมอมี
ผอ.สำนักฯ ต่างๆ เป็น Key man คอยปั้น ชง โยง
โยกงบที่ระบุในกรอบงบประมาณทางการลงในช่องของกลุ่มองค์กร
เครือข่ายที่เป็นที่รู้จักหรือตกลงเป็นการภายในกันก่อนแล้ว
โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สสส. เป็นผู้ถือติ้วชี้ขาดให้
หรือไม่ให้...หรือบางโครงการขนาดใหญ่ติ้วที่โยนเข้ากลางวงพิจารณานั้นมาจาก
ผู้หลักผู้ใหญ่(ในวงการ) แต่นอกวงพิจารณาอย่างเป็นทางการ
ก็มีมาให้เห็นเป็นระยะ....เมื่อเจรจาภาษาเดียวกัน (ต้องท่องคำขลังๆ
อย่าง...สุขภาวะ/สุขภาวะองค์รวม) ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็จัดพิธีกรรม พิธีการ อันสลับซับซ้อน (เอาไว้ร่อนคนนอกออกพ้นกองมรดก ?)
คือมีทั้งพิธีการให้นักวิชาการ (พวกตน)
มาอ่านงานผู้เสนอก่อนเข้าที่ประชุมวงใหญ่พิจารณาอีกทีหนึ่ง....

คำถามว่ากระบวนการ "เขาวงกต" เช่นนี้
ช่วยกลั่นกรองอะไรได้บ้าง....ในปรากฏการณ์ที่เป็นจริงก็คือ กลุ่มคน ชมรม
องค์กร หรือ เครือข่าย ที่สามารถผ่านช่องทางหรือกระบวนการเขาวงกตนี้
ล้วนเป็นกลุ่มคนที่คุ้นเคยกันกับอย่างน้อย ผอ.สำนักฯ หรือระดับรองฯ
ผู้บริหารองค์กรแทบทั้งสิ้น
เม็ดเงินมากกว่าครึ่งของแต่ละปีหล่อเลี้ยงกลุ่มคนเก่า คนคุ้นเคยเอาไว้
ส่วนคนใหม่ สด ซิง walk in
เข้ามาแบบไม่ต้องรู้จักใคร...เขียนใบสมัครที่หน้าเว็บเพจ
...ข้อมูลเชิงประจักษ์ก็คือเคยส่งโครงการชั้นดีเข้ามาในช่องทางนี้...
นานกว่าครึ่งปีเห็นเงียบไปเฉยๆ โทร.ไปถาม ได้รับคำตอบว่า
มีโครงการยื่นมาเยอะ 170 กว่าโครงการ แต่เพิ่งพิจารณาเสร็จไปแค่ 7
โครงการเท่านั้น... "รอหน่อย"
เสียงปลายสายไม่ตอบกำหนดการชัดเจนให้ได้....ไม่รู้ว่าชาติหน้าถึงคิวหรือ
ยัง?

กับอีกปรากฏการณ์เชิงประจักษ์ที่กลไกระดับ "แผนงานฯ"
ที่ถืองบมหาศาลในแต่ละปี ถึงเวลาเทศกาลต้องรณรงค์
เพื่อนหญิงอยู่ในแผนงานฯ ชง งบ ผ่านเพื่อนชายที่เป็น Agent
ติดต่อองค์กรกึ่งทางการที่ทำงานในระดับท้องถิ่น
อัดงบระดับสิบล้านผ่านเข้าองค์กรนั้นไปกระจาย (หรือละลาย?) กับสาขาสมาชิก
โดยมี "สินน้ำใจ" ในรูปแบบ "งบวิทยากรกระบวนการ"
กว่าครึ่งล้านผ่านคืนมาทางเพื่อนชาย แบบชงเอง แบ่งๆ กันกิน...

เป็นบางตัวอย่างของการ "อนุมัติโครงการ"
ในโครงสร้างการบริหารแบบเดิมๆ ที่แปลความหมายของคำว่า "ภาคี"
หรือเครือข่ายความร่วมมือไปเป็น "บริวาร" หรือลูกน้อง-ลูกสมุน
ในทางปฏิบัติเหยียดปลายเท้าก้าวเข้าสู่ความเคยชินทางการบริหารของระบบคิด
เชิงอุปถัมภ์ ไม่ว่าจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม....
ทำให้มรดกภาษีบาปปีละสองพันล้านบาทนี้
แทนที่จะเป็นปุ๋ยรดน้ำพรวนดินให้ไม้ใหญ่น้อยในสวนเติบใหญ่เบิกบาน
กลับกลายเป็นปุ๋ยเคมีที่เจ้าของใช้รดหล่อเลี้ยงบอนไซไว้ดูเล่น

ไม่นับที่ขีดเส้นใต้ไว้ในหมวดงบการตลาดเพื่อสังคม ยอดเงิน 319
ล้านบาทในปี 2550 ในความหมายของงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการรณรงค์ต่างๆ
ซึ่งในรูปการจัดจ่ายงานนั้นก็เป็นที่รู้กันดีว่าจำกัดอยู่ในแวดวงคนกันเอง
แค่ไหน หรือรายไหนผูกปิ่นโตเถายาวอยู่ที่นี่

รวมทั้งยังมิได้วิพากษ์ประเด็นเรื่องความเหมาะสมของเนื้อหาการโฆษณา
หรือรูปแบบการรณรงค์ที่ทุ่มเทงบมากกว่า 200 ล้านบาท เสนอคำหรือวลีเท่ห์ๆ
ออกมาฮือฮาแบบไฟไหม้ฟาง วูบเดียวเผาเงินไปเป็นร้อยๆ ล้านบาท...แล้วยังไง?
คนเลิกเหล้าได้กี่คน? พอไฟวาบแล้ว...ออกพรรษาแล้วก็กลับมากินต่อ?
ปีหน้าเอาเงินมาเผาใหม่...เอางั้นหรือ?

ตามลายแทงขุมทรัพย์สองพันล้านฯ ต่อปี ของ สสส.ถึงนาทีนี้
หากกล้ายอมรับความจริง ฟังเพื่อนรอบข้างอย่างมีสติ
กลับมาอยู่ในลู่ทางอย่างที่ควรจะเป็นปล่อยวางอย่าสร้างอาณาจักรเฉพาะกลุ่มตน
คืนองค์กรอิสระเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชนชาวไทย กลับสู่อ้อมกอดของสังคมไทย

เปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสร้างสรรค์ ด้วยเถิด....

เราต้องการการเปลี่ยนแปลง

Changes!

เดี๋ยวนี้.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000107406

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น