โดยทั่วไปเรามักจะไม่ค่อยตั้งคำถามกันว่า ความยุติธรรมคืออะไร?
เพราะมักจะสันนิษฐานเอาว่า ความยุติธรรมลอยอยู่ในอากาศรอบๆ ตัวเรา
เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ตามธรรมชาติ
มนุษย์เมื่อเกิดมาในสังคมย่อมได้รับความยุติธรรมตามสมควร
ดังนั้นจึงมีคนส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องรับความยุติธรรมที่ถูกยัดเยียดให้
อย่างที่ต้องทำใจให้ยอมรับว่าเป็นผลมาจากกรรมเก่า
ตามประสาชาวไทยพุทธที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว
ความยุติธรรมตามพจนานุกรมฯ แปลว่า ความเที่ยงธรรม ความชอบธรรม
ความเสมอภาค การรักษาไว้ซึ่งสิทธิของผู้อื่น หรือการยุติที่ความเป็นธรรม
แต่คำถามต่อมาก็คือ แล้วใครจะเป็นผู้กำหนดว่าอะไรชอบธรรม
อย่างไหนคือเป็นธรรม
บันทึกของปราชญ์ชาวกรีกนามเพลโต (Plato) ในThe Republic I
มีบทสนทนาระหว่างปราชญ์โสเครตีส (Socrates) โพลีมาคุส (Polemarchus)
และเทรซีมาคุส (Thrasymachus) เกี่ยวกับความยุติธรรมกับนิยามความหมายว่า
"ความยุติธรรมคือผลประโยชน์ของผู้เข้มแข็งกว่า" "Justice is the
advantage of the stronger"
ซึ่งเป็นประโยคที่น่าสนใจและน่าจะสามารถนำมาถกเถียงกันต่อในบริบทสังคมไทย
ยุคปัจจุบันได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงนี้
ที่มักจะได้ยินคนวิพากษ์เรื่องปัญหาของสังคมไทยเกี่ยวกับความยุติธรรมกันมาก
ทั้งในปัญหาการเมืองระดับชาติไปจนถึงปัญหาเฉพาะบุคคล
หลายคนอาจจะเคยเห็นสติกเกอร์ติดตามท้ายรถว่า "ความยุติธรรมไม่มี
ความสงบไม่เกิด"
การป่าวร้องบนเวทีชุมนุมทางการเมืองเกี่ยวกับความยุติธรรมสองหรือหลาย
มาตรฐาน หรือการล้อเลียนกระบวนการยุติธรรมว่าเป็นกระบวนการที่ยุติความเป็นธรรม
ฯลฯ ปัญหาเรื่องความยุติธรรมนี้ จึงทำให้สังคมไทยกำลังสั่นคลอน
และคนในสังคมกำลังอยู่ในสภาวะที่เครียดกันอย่างถ้วนหน้า
ความจริงแล้ว ปัญหาความยุติธรรมในสังคมไทย
ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ หรือจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19
กันยายน 2549 ปัญหาความยุติธรรมก็ไม่ได้เป็นปัญหาเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติต่อคนฝ่ายนั้น
ฝ่ายนี้ หรือต่อนักการเมืองเท่านั้น
แต่ความอยุติธรรมได้ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ในสังคมนี้มายาวนานแล้ว
ซึ่งก็คือผลจากการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยอาศัยอำนาจรัฐและอำนาจทุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะสุ่มเสี่ยงของสังคมไทย
ในการบ่มเพาะฐานความคิด และทัศนะในการสร้างมาตรวัดคุณค่าความถูกต้อง
ความดีงาม ที่สัมพันธ์กับอำนาจทุนทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
เมื่อปัจจัยเรื่องทุนได้กลายมาเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดสถานภาพ
ทั้งทางเศรษฐกิจและทางสังคมแล้ว ผลที่เกิดขึ้นก็คือ
การแสวงหาและกอบโกยทุนทางเศรษฐกิจนี้กันอย่างไม่เกี่ยงวิธีการ
ลัทธินิยมทุนนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อทุกๆ สังคม
เพราะการพิจารณามิติเรื่องทุนด้านเดียว ย่อมกัดกร่อน
ทำลายโครงสร้างทางคุณค่าของสังคมทั้งระบบ ทดแทนโดยระบบเอารัดเอาเปรียบ
ระบบกดขี่ ไปจนถึงการทำลายล้างกัน
เพื่อที่จะสามารถครองครองทรัพยากรทางเศรษฐกิจให้ได้มากที่สุดเท่านั้น
ในสังคมไทยนั้น
ลัทธินิยมทุนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสังคมมายาวนานแล้ว
เพียงแต่ว่ายังมีเสาต้นหนึ่งที่ยังเป็นหลักยึดมั่นโครงสร้างทางคุณค่าให้แก่
สังคมไทย นั่นก็คือกระบวนการยุติธรรม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น
สังคมไทยยังคงเชื่อมั่นว่า กระบวนการยุติธรรม
เป็นกระบวนการที่ยุติข้อพิพาทโดยธรรม
เชื่อว่าการยอมรับหรือน้อมรับคำตัดสินเพื่อยุติข้อพิพาทต่างๆ โดยดุษฎี
ตามขั้นตอนการต่อสู้ที่กฎหมายเปิดโอกาสให้นั้น
มาจากความศรัทธาต่อบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเป็นหลัก
อย่างน้อยที่สุดความศรัทธาก็น่าจะเกิดจากวิถีการใช้ชีวิต
การปฏิบัติของบรรพตุลาการที่ยึดถือหลักความสมถะ ความพอเพียง
ดังจะเห็นได้ว่าสังคมของบรรพตุลาการนั้น จะเป็นสังคมปิด
มีวิถีการปฏิบัติตนอย่างระมัดระวัง
หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกเป็นอย่างมาก
มีชีวิตที่ปราศจากความฟุ้งเฟ้อ ไม่แสดงออกถึงการนิยมในวัตถุ
ซึ่งถือเป็นภูมิคุ้มกันต่อการเข้ามาของลัทธินิยมทุนได้เป็นอย่างดี
แต่กระบวนการยุติธรรมนั้น มีขั้นตอนมากกว่าในชั้นศาลเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
ซึ่งมีตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) และพนักงานอัยการ
เข้ามามีส่วนสำคัญยิ่งต่อกระบวนการแสวงหาความยุติธรรม
เมื่อมีขั้นตอนมากขึ้น
โอกาสในการบิดเบือนความยุติธรรมกลับมีมากขึ้นตามไปด้วย
เนื่องจากมีบุคคลที่เกี่ยวข้องมาก ทำให้มีช่องว่างสำหรับการวิ่งเต้น
ตัดตอนคดีความต่างๆ ได้ง่าย เกิดขึ้นได้ทั้งในชั้นของพนักงานสอบสวน
(ว่าจะทำสำนวนอย่างไร มีความเห็นให้สั่งฟ้องหรือไม่) ในชั้นอัยการ
(ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่) ไปจนถึงชั้นศาล (มี 3 ศาลว่าจะตัดสินลงโทษหรือไม่
อย่างไร)
นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า
ความสามารถในการเข้าถึงความยุติธรรมของคนทั่วไปในปัจจุบันนั้น
ก็ยากลำบากขึ้นไปทุกที
นอกเหนือจากต้นทุนซึ่งมาจากค่าใช้จ่ายตามระบบอย่างเช่น
ค่าดำเนินการของทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล เงินวางประกันศาล ค่าประกันตัว
ตลอดจนค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ
ในระหว่างกระบวนการอำนวยความยุติธรรมอันแสนยาวนาน
แล้วถ้าความยุติธรรมยังต้องอาศัยการต่อสู้ที่มุ่งชนะโดยไม่สนใจถึงวิธีการ
แล้ว ก็ยังจะมีราคาที่ต้องชำระนอกระบบอีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งค่าดำเนินการวิ่งเต้นคดี และการจ่ายเงินสินบน
ต้องยอมรับว่าปัจจัยที่เข้ามามีอิทธิพลต่อความยุติธรรมก็คือเรื่อง
เงินและผลประโยชน์
ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยเรื่องอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่มากก็ตาม
อย่างที่เรามักจะเคยได้ยินกันว่า
เรื่องนั้นเรื่องนี้มีผู้ใหญ่ขอมาหรือสั่งมา
แต่ถ้าพิจารณาในเชิงความสัมพันธ์แล้ว
ก็จะเห็นว่าปัจจัยเรื่องเงินและผลประโยชน์ยังเป็นปัญหารากแก้วที่หยั่งลึก
สามารถเข้าถึงขั้วอำนาจได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด
ประเด็นนี้เองที่ทำให้ต้นทุนดังกล่าวมิใช่เป็นเพียงเรื่องของสินบน
(เหมือนกรณีถุงขนม) ซึ่งเป็นเพียงค่าใช้จ่ายที่ปลายทางเท่านั้น
แต่ต้นทุนดังกล่าวหมายถึงราคาที่ต้องชำระในการสร้างความสัมพันธ์
(connection) ตั้งแต่ในระดับบุคคลไปจนถึงระดับองค์กรของกระบวนการยุติธรรม
ไม่ว่าจะเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับผู้ใหญ่ในเทศกาลสำคัญๆ
การจัดเลี้ยงฉลองในโอกาสต่างๆ
การเป็นสปอนเซอร์หรือการสนับสนุนแก่องค์กรในรูปแบบของสาธารณกุศล
รูปแบบความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน
ได้พัฒนากลายเป็นเครือข่าย (network) แห่งผลประโยชน์
ซึ่งก็เหมือนกับที่เราเห็นได้ในสังคมธุรกิจและสังคมการเมือง
แต่ก็ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันนี้เครือข่ายผลประโยชน์ได้ก้าวเข้าไปครอบงำ
สังคมของกระบวนการยุติธรรมแล้วด้วย
เครือข่ายผลประโยชน์นั้นก็คล้ายกับตลาดธุรกิจและตลาดการเมือง
กล่าวคือเปรียบความยุติธรรมเป็นตัวสินค้า
มีกลุ่มผู้ซื้อที่แสวงหาทุนทางเศรษฐกิจโดยไม่เกี่ยงวิธีการ
และกลุ่มผู้ขายก็คือผู้ที่อยู่ในอำนาจ (authorized person)
ซึ่งประสงค์ต่อเงินทุน ที่จะใช้ในการซื้อหาตำแหน่ง
เพื่อการส่งเสริมอำนาจบารมีของตัวเองต่อไป นอกจากนี้ยังมีกลุ่มตัวกลาง
(agent) ทำหน้าที่เป็นตัวเจรจาประสานประโยชน์กันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
ความจริงแล้วรูปแบบเครือข่ายผลประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรมนี้
ก็ไม่สามารถจะสถาปนาขึ้นได้ง่ายนัก
เพราะในระบบราชการทั่วไปจะมีระบบอาวุโสควบคุมอยู่ระดับหนึ่ง
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันระบบอาวุโสนี้ก็ยังคงอยู่ (ในนาม?) ก็ตาม
แต่กระแสการแทรกแซงทางการเมืองก็มีมากจนกระทั่งระบบดังกล่าวได้ถูกสั่นคลอน
โดยกลยุทธ์การวิ่งเต้นตำแหน่งและการซื้อขายตำแหน่งอย่างที่มักจะได้ยินกัน
อยู่เสมอ
ผู้เขียนทราบดีว่า
สังคมไทยได้ตระหนักถึงปัญหานี้มายาวนานกว่าสองทศวรรษแล้ว
ดังจะเห็นได้จากการจัดตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญขึ้นมาหลายองค์กร
ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คณะกรรมการสิทธิฯ
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฯลฯ
แต่ก็ดูเหมือนว่าปัญหาดังกล่าวก็ยังคงดำรงอยู่อย่างมั่นคง
ทั้งยังกลับดูเหมือนว่าจะแพร่ขยายไปสู่องค์กรอิสระต่างๆ อีกด้วย
นั่นเป็นเพราะว่าการสร้างองค์กรใหม่ตามรัฐธรรมนูญ
เข้ามาเพื่อที่จะควบคุมถ่วงดุลการใช้อำนาจของระบบราชการ
แต่กลับอาศัยการโอนย้ายบุคลากรมาจากระบบราชการเดิมเข้ามาสู่องค์กรใหม่
จึงคาดหวังได้ยากว่าองค์กรอิสระฯ เหล่านี้
จะสามารถปลอดจากระบบเครือข่ายผลประโยชน์ได้อย่างสิ้นเชิง
แต่ สิ่งที่น่าจะอันตรายกว่าการสถาปนาเครือข่ายผลประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรม
ก็คือ การเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมไทย
เพราะถ้าสังคมจะกลายไปเชื่อตามนิยามที่ว่า
"ความยุติธรรมคือผลประโยชน์ของผู้เข้มแข็ง (หรือมั่งคั่ง) กว่า" แล้ว
ราคาของการเข้าถึงความยุติธรรมในสังคมไทยก็คงจะแพงกว่าที่เป็นอยู่นี้หลาย
เท่า ไปจนกระทั่งอาจจะไม่มีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่อีกต่อไปก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น