++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

หวัดมรณะกำลังจะกลายเป็นเรื่องมรณะเรื่องใหญ่จริงๆ

หวัดมรณะกำลังจะกลายเป็นเรื่องมรณะเรื่องใหญ่จริงๆ

หวัดมรณะกำลัง จะกลายเป็นเรื่อง ใหญ่จริงๆ ครับ ในด้านของรัฐบาล
ได้แถลงข่าวไปแล้วว่า ไม่มีอะไรน่าวิตก และวิธีสยบข่าวความตื่นเต้น
ของคนไทยนั้น ผมเห็นว่า นายกฯ ซีอีโอ และ รมต.สุดารัตน์ทำได้ดี
คนไทยตื่นเต้นตกใจ เรื่องหวัดมรณะ น้อยกว่าต่างประเทศ
แต่การไม่ตื่นเต้นตกใจนี้ไม่ได้ หมายความว่า หวัดมรณะจะ
ไม่ระบาดในเมืองไทย และถ้าเกิดการระบาดขึ้นมาแล้ว ไม่ได้หมายความว่า
เราจะปราบการระบาดของ หวัดมรณะนี้ได้ และไม่ได้หมายความว่าคนไทย
จะปลอดภัยจากภัยของ หวัดมรณะนี้
ทั้งนี้เพราะในด้านเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเจ็บป่วยและสุขภาพของเมืองไทยนั้น
ยังไม่แสดงให้เห็นเลยว่า รู้เรื่องของหวัดมรณะดี และได้เตรียมการใดๆ
ไว้ต่อสู้กับหวัดมรณะและ จะปราบการระบาดหวัดมรณะได้ ขอพูดตรงๆว่า
เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องนี้ก็คือ ตัวกระทรวงสาธารณสุขเองนั่นแหละ

เท่าที่ผมทราบแม้กระทั่งบัดนี้ ยังไม่มีเจ้าหน้าที่หรือแพทย์คนใด
ที่รู้เรื่องหวัดมรณะนี้อย่างจริงจัง
จากการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนที่มาเลเซีย ซึ่ง
รมต.สาธารณสุขของไทยพร้อมด้วยคณะแพทย์ไทย เข้าร่วมประชุมด้วยนั้น
เป็นแต่เพียงการประชุมปรึกษาหารือและฟังรายงานการระบาดของประเทศต่างๆ
ที่มีการเจ็บป่วยด้วยโรคหวัดมรณะหรือซาร์สเท่านั้น
ยังไม่มีแพทย์คนใดออกมารายงานว่า ได้พบเชื้อของซาร์สแล้วว่าคืออะไรและ
ความเป็นมาของซาร์สเป็นอย่างไร
เมื่อยังไม่พบเชื้อ-ไม่พบสาเหตุก็แน่นอนที่จะยังหายารักษาไม่ได้
และวิธีรักษาซาร์สให้หายก็ไม่มีใครรู้ว่าจะทำอย่างไร
มีแต่ข่าวจากอธิบดีกรมวิทยา-ศาสตร์การแพทย์ ของไทย รายงานข่าวล่าสุด
ยืนยันว่า "ผลของการตรวจนักธุรกิจหญิงไทย
ที่มีอาการเข้าข่ายจะป่วยเป็นโรคซาร์ส พบว่าไม่ใช่ เชื้อโคโรน่า ไวรัส
จึงคาดว่าน่าจะไม่ใช่ โรคซาร์ส" ก็เลยอยากจะถามตรงนี้แหละครับว่า
มีการยืนยันหรือมีรายงานแน่นอนมาจากไหนกันว่า
โคโรน่าไวรัสเป็นต้นเหตุของโรคซาร์ส เคยทราบมาแต่ว่ามีการคาดคะเน
(POSTULATION) ว่า โคโรน่าไวรัส อาจจะ เกี่ยวข้องกับโรคซาร์สได้เท่านั้น
คาดคะเนก็คือ คิดว่าอาจจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ข้อ เท็จจริง
(PROOF) จะเอามายืนยันทางการแพทย์ไม่ได้
มีข้อเสนอจากไทยต่อที่ประชุมที่มาเลเซียคราวนี้ซึ่งผมเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี
ก็คือว่า "เสนอให้จัดศูนย์ ซี.ดี.ซี.อาเซียนติดตาม
สถานการณ์โรคอุบัติใหม่ จัดทำเว็บไซต์โรคซาร์สของเอเชียน
แลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่องค์ความ รู้เพื่อป้องกัน และควบคุมโรคร่วมกัน
จะเป็นความคิดของเจ้าหน้าที่ไทยคนไหนก็ไม่ทราบ ในข่าวไม่ได้บอกไว้
แต่ผมขอชมเชยว่าเป็นความคิดที่ดี
ศูนย์แห่งนี้น่าจะมีการก่อตั้งมาตั้งนานแล้ว
เพราะโรคติดต่อหรือโรคระบาดใหม่ๆ เกิดขึ้นในเอเชียเราได้ง่าย
และเกิดขึ้นบ่อยเหลือเกิน
เราน่าจะมีศูนย์ประสานงานและติดต่อข่าวคราวเกี่ยวกับโรคต่างๆ ตั้งนานแล้ว
ซี.ดี.ซี. ก็คือ CENTRE FOR DISEASE CONTROL
ซึ่งหมายถึงศูนย์การควบคุมโรคต่างๆ
เป็นศูนย์กลางที่จะรวบรวมข้อมูลโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น
และเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนและแหล่งความรู้ในการรักษาโรคต่างๆ นั้นด้วย
แต่ก่อนที่จะมีศูนย์ ซี.ดี.ซี.
สำหรับประสานงานส่วนภูมิภาคหรือทั่วโลกนั้น เราน่าจะมีศูนย์
ซี.ดี.ซี.ของเราเองเสียก่อน
พูดมาถึงแค่นี้ก็คงมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงลุกขึ้นมาแถลงว่า งานแบบศูนย์
ซี.ดี.ซี.ของไทยเรานั้น มีมานานแล้ว
และก็ทำหน้าที่ควบคุมและประสานงานเรื่องโรคภัยไข้เจ็บมาตลอด
คุณไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ จึงไม่รู้เรื่องนี้เอาเสียเลย ขอประทานโทษครับ
ศูนย์ ซี.ดี.ซี. ในที่นี้ผมหมายถึงศูนย์ทางวิชาการจริงๆ และ
ทำหน้าที่ค้นคว้าวิจัยและศึกษาโรคต่างๆ อย่างแท้จริง
มีห้องแล็บห้องทดลองค้นคว้า และมีเจ้าหน้าที่ผู้รู้และทรงความรู้จริงๆ
และก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานทางวิชาการเท่านั้น
ไม่ใช่ทำงานแบบนักการเมืองและเอาวิถีการทำงานแบบการเมืองเข้ามาเกี่ยว
น่าจะมีมานานแล้วนะครับ จะได้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริงเสียที
ขอย้ำเรื่องความร้ายแรงของหวัดมรณะอีกหน่อยหนึ่งครับ
จากคำรายงานของพยาบาลเวียดนาม ซึ่งรอดตายจากหวัดมรณะนี้ เหงียน ที.เมิน
อายุ 46 ปี จากโรงพยาบาลฮานอย เฟรนด์
ติดโรคหวัดมรณะจากคนไข้อเมริกันเชื้อสายจีน
ซึ่งเดินทางมาจากเซี่ยงไฮ้มาเวียดนาม
ล้มป่วยด้วยหวัดมรณะและเสียชีวิตไปแล้ว เหงียน ที.เมิน เล่าว่า
เพื่อนพยาบาล อีก 5
คนซึ่งติดโรคหวัดมรณะจากคนไข้รายนี้ก็เสียชีวิตไปหมดแล้วเช่นกัน
เธอเล่าว่า เมื่อเริ่มติดหวัดมรณะ เธอหมดสติไปถึง 9 วัน
สลบไสลไม่รู้เรื่อง และเมื่อรู้ตัวฟื้นมาแล้ว
ก็ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลอยู่หนึ่งเดือน เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา
เธอมีอาการคล้ายอัมพาตไปครึ่งซีก เท้าขวาใช้การไม่ได้
และมีอาการทางสมองและสายตาด้วย
นอกจากจะเหนื่อยเพลียจนเคลื่อนไหวร่างกายแทบไม่ได้แล้ว
เธอยังรู้สึกเจ็บปวดเมื่อยล้า ไปหมดทั้งตัว หนาวสั่นและมีอาการท้องเดิน
หายใจไม่ได้ เหนื่อยหอบ และแพทย์ต้องเจาะคอใส่เครื่องช่วยหายใจ
แปลว่าเชื้อหวัดมรณะนี้ร้ายแรงน่ากลัว
นอกจากเริ่มโจมตีที่ระบบหายใจก่อนแล้ว ยังโจมตีไปทุกระบบของร่างกาย
ระบบเลือดใช้ไม่ได้ ระบบกล้ามเนื้อทำงานไม่ได้ ปวดระบมหมดทั้งตัว
ที่สำคัญที่สุด ทำลายระบบประสาทและ สมองของคนไข้ด้วย
ความจำเสื่อมและสมองสั่งงานให้ระบบอื่นๆ ทำงานไม่ได้
คนไข้จึงมีอาการอัมพาต ตายไปครึ่งตัว คงจะต้องขอใช้คำว่า "หวัดมรณะ"
ต่อไปอีกจนกว่าคุณสุดารัตน์ หรือนายกฯ ซีอีโอ
จะออกมายืนยันและแถลงว่ารู้จักโรคนี้อย่างดี
และรู้จักวิธีรักษาและป้องกันโรคนี้แล้ว นั่นแหละครับ ผมจะเลิกใช้คำว่า
"หวัดมรณะ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น