รายการ "เคาะข่าวริมโขง" ออกอากาศทาง "อีสานทีวี" ช่วงเวลา
18.30-20.30 น. วันอังคารที่ 15 ก.ย. น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก นายประพันธ์
คูณมี และนายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย ดำเนินรายการ
โดยได้นำประเด็นข่าวสำคัญในรอบวันมานำเสนอให้กับพี่น้องชาวอีสานเช่นเคย
โดยเฉพาะ กรณีการทวงอธิปไตยบริเวณเขาพระวิหารคืนจากกัมพูชา
ซึ่งทางรัฐบาลตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ
ยังอ้างว่าไทยยังไม่เสียดินแดน พูดเหมือนไม่อยากให้พันธมิตรฯ เข้าไปยุ่ง
นอกจากนี้ยังมีหนังสือพิมพ์บางฉบับโดยอ้างแหล่งข่าวคนในพรรคประชา
ธิปัตย์อ้างว่า การนายวีระ
สมความคิดพาประชาชนไปเรียกร้องที่เขาพระวิหารก็เพื่อสร้างความคลั่งชาติ
สร้างคะแนนนิยมให้พรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งขึ้นมา
เช่นเดียวกับกรณีการลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล
ที่มีการออกมาเรียกร้องให้ตามหาคนยิง
ก็เพื่อสร้างคะแนนนิยมให้พรรคการเมืองใหม่เช่นกัน
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า ถ้าคนในพรรคประชาธิปัตย์ดังกล่าวพูดจริง
ก็เป็นการพูดที่ไม่คำนึงถึงการสูญเสียดินแดน
ไม่คำนึงถึงการวางแผนลอบยิงนายสนธิอย่างโหดเหี้ยม ด้วยกระสุน 200 นัด
และระเบิดอีก 2 ลูก ใครเป็นคนพูดแบบนี้ อยากจะเหยียบหัวแม่เท้าหน่อย
ด้าน นายประพันธ์กล่าวว่า คนที่ให้ข่าวไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง
ใช้คำว่าแหล่งข่าว แสดงว่าคนพูดเป็นอีแอบ
ขอถามว่าเรื่องอธิปไตยบนเขาพระวิหารนั้นแก้ได้หรือยัง ถ้าแก้ยังไม่ได้
ก็อย่ามาว่าคนอื่นที่เขารักชาติและออกมาเรียกร้อง
คนในพรรคประชาธิปัตย์แสดงนิสัยอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ที่ว่าพันธมิตรฯ
ใช้เรื่องนี้หาเสียงนั้น
ถ้าหาเสียงโดยเรียกร้องให้คนรักชาติมันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
และเป็นเพราะคุณยังแก้ปัญหาไม่ได้ เขาถึงจะไปทำให้ดู
เรื่องที่ดินธรณีสงฆ์ก็เช่นกัน ยังแก้ไม่ได้ แล้วยังจะไปแก้
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ให้คนครอบครองได้อีก แทนที่จะให้คนที่ทำผิดชดใช้กรรม
แต่กลับจะปล่อยให้ลอยนวล
ขณะที่ นายชัชวาลกล่าวว่า
คนที่บอกว่านายสนธิโดนยิงเพื่อหาเสียงนั้น
อยากให้เอาคนในพรรคประชาธิปัตย์มาลองโดนยิงบ้าง
นี่สะท้อนให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาก็ดีแต่ป้ายสีคน
อื่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ถูกป้ายสีว่าพาคนไปตาย แต่ตนเองเก่งแต่ปาก
ดีแต่พูดในสภา
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการทั้งสามได้ให้ความเห็นต่อกรณีที่
พล.อ.ชัยสิทธิ ชินวัตร อดีต ผบ.ทบ.ญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ได้กล่าวคำหยาบคายเมื่อถูกถามถึงการทำงานของ ป.ป.ช. โดย
น.ส.อัญชะลีกล่าวว่า ที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ พูดว่า
ไม่ทำมาหาแ...กกันหรือไงนั้น อยากให้ลองมาดูว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์
ทำมาหาแ...กอะไร ซึ่งพบว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ มีหุ้นส่วนกับผู้อำนวยการใหญ่
ผสมท คนปัจจุบัน ในการทำบริษัทผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ทางทีวี
นี่คือการทำมาหาแ...กของ พล.อ.ชัยสิทธิ์
นายประพันธ์กล่าวว่า ที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์บอกว่า
พล.อ.ชวลิตเป็นรองนายกฯ ที่ชี้เป็นชี้ตายให้กับข้าราชการได้นั้น
เหมือนเป็นการตั้งคำถามว่า แล้ว ป.ป.ช.เป็นใคร มีสิทธิอะไรมาชี้มูล
พล.อ.ชวลิต ก็อยากจะบอกว่าเพราะมีการฆ่าคน ป.ป.ช.ถึงชี้มูล
ซึ่งไม่สนใจว่าใครคนนั้นจะเป็นใคร ถ้า พล.อ.ชัยสิทธิ์ฆ่าคน
ป.ป.ช.ก็จะชี้มูลเหมือนกัน
ด้าน นายชัชวาลย์กล่าวว่า สมองของ พล.อ.ชัยสิทธิ์มีปัญหา
บวกกับสุราที่อาละวาดในสมอง เลยคุมตัวเองได้นิดหน่อย
แต่คุมปากที่มีตะกวดไม่ได้ เลยปล่อยออกมาเพ่นพ่าน
แสดงว่าวุฒิภาวะต่ำกว่าตะกวด เพราะตะกวดไม่เคยด่ามนุษย์
คนที่เคยเป็นถึงระดับ ผบ.ทบ.ยังเป็นแบบนี้
"เคาะข่าวริมโขง" 15 ก.ย.52 ช่วงที่ 3
ในช่วงต่อมา พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร
อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจได้มาเป็นแขกรับเชิญของรายการ โดย
พล.ต.อ.วิสิษฐได้เล่าประวัติว่าบิดาเป็นคนภาคอีสาน เกิดที่ จ.อุดรธานี
ตอนเด็กนั้นตั้งใจจะเป็นแพทย์ ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นตำรวจ
แต่ตอนมาเรียนที่กรุงเทพฯ ถูกตำรวจจับเข้าห้องขังฟรีที่พญาไท 1 วัน
เพราะไปทะเลาะกับคนที่สนิทกับตำรวจ
จึงเกิดความแค้นและคิดว่าสักวันหนึ่งจะเป็นนายตำรวจใหญ่ให้ตำรวจคนนั้นได้มา
คำนับตนบ้าง แล้วจะลาออกไปทำอย่างอื่นต่อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรียนจบเตรียมอุดมศึกษาปี 2491
หวังจะเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจแต่บังเอิญว่าตอนนั้นโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
ยังไม่รับนักเรียนจากข้างนอก จึงเข้าเรียนที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ที่เพิ่งเปิดใหม่ โดยหวังว่าเมื่อจบออกมาจะไปเป็นปลัดอำเภอ
ซึ่งตอนนั้นจะทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนเหมือนกับตำรวจ
แต่พอเรียนจบก็ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก
ในคณะรัฐประศาสนศาสตร์ (Master of Public Administration)
และบังเอิญช่วงนั้น ได้จัดโครงการปริญญาโทให้ตำรวจมาเรียนโดยเฉพาะ
ตนจึงจบปริญญาโทแขนงวิชาการตำรวจมาเป็นคนแรกของเมืองไทย เมื่อกลับมาในปี
2497 ได้เป็นอาจารย์สอนอยู่ 1 ปี แต่พอจะขอโอนไปเป็นตำรวจ
คณบดีต้องการดัดหลังที่ไม่ยอมอยู่กับมหาวิทยาลัยโดยการไม่รับรองความประพฤติ
จึงใช้วิธีลาออกก่อน แล้วไปเข้ารับราชการที่กรมประมวลราชการแผ่นดิน หรือ
สำนักข่าวกรองแห่งชาติในปัจจุบัน โดยได้ยศร้อยเอก
จึงได้เป็นตำรวจตั้งแต่ตอนนั้น และอยู่ในวงการตำรวจมาเป็นเวลา 34 ปี
พล.ต.อ.วสิษฐกล่าวว่า การเป็นตำรวจมีความประทับใจหลายอย่าง
เริ่มตั้งแต่ตอนเป็นตำรวจสันติบาล ติดยศ พ.ต.ต.เมื่อปี 2510
ซึ่งตอนนั้นมีการจับกุมคนอีสานในคดีคอมมิวนิสต์จำนวนมาก
ตนจึงอยากรู้ว่าทำไมญาติพี่น้องของตนจึงเป็นคอมมิวนิสต์กันมาก
จึงขออนุญาตหัวหน้าไปทำหน้าที่สอบสวนคนอีสานที่ถูกจับกุมเหล่านั้น
ซึ่งการที่ตนพูดภาษาอีสานทำให้การสอบสวนพูดจาถึงกัน
และได้รู้ว่าคนอีสานไปเป็นคอมมิวนิสต์กันมากเพราะถูกทอดทิ้งและหน่วยราชการ
ก็ไปซ้ำเติม เมื่อมีคนอื่นมาปลุกระดมว่ามีระบอบที่ดีกว่าก็เอนเอียงไป
ซึ่งต้องยอมรับว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์มีการปลุกระดมอย่างเป็นระบบมาก
มีการสอนให้ชาวบ้านรู้จักทฤษฎี Dialectic หรือวิภาษวิธี
วัตถุนิยมประวัติศาสตร์
อดีตอธิบดีกรมตำรวจกล่าวอีกว่า
สิ่งที่ประทับใจมากคือตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไปทำงานด้วยกันตอนนั้น
ซึ่งแต่ละคนแม้จะมีรายได้น้อย แต่ทำงานทุ่มเท นอนกลางดินกินกลางทราย
ไม่บ่นไม่ปริปาก
จึงเกิดความรู้สึกตำรวจอย่างที่จับตนไปขังฟรีนั้นมันพวกหนึ่ง
แต่ตำรวจระดับล่างๆ ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
ที่เคยคิดจะเป็นตำรวจสักพักหนึ่งแล้วลาออก
จึงเปลี่ยนใจตั้งแต่ตอนนั้นว่าจะอยู่เป็นตำรวจไปตลอดจนกว่าจะถูกไล่ออก
และตอนเป็นอาจารย์สอนตำรวจ ก็มีนายตำรวจที่เคยจับตนขังคุกมาเรียน
ต้องมาคำนับตนตลอดทั้งหลักสูตร ก็ถือว่าหายแค้นแล้ว
พล.ต.อ.วสิษฐกล่าวว่า ตอนรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้น
ตนได้รับมอบหมายให้ทำเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างตำรวจ
โดยเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจ
ซึ่งพบว่างานตำรวจของเรานั้นแม้มองภายนอกจะดูว่าทันสมัย
เวลาประชุมตำรวจแต่ละคนก็ถือคอมพิวเตอร์โน้ตบุกมา แต่ในทางจิตใจ ศีลธรรม
จิตสำนึกนั้นยังไม่มีอะไรก้าวไหน้า มีแต่ถอยหลัง
หลังจากตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบงานตำรวจขึ้นมา
เราได้ทำรายละเอียดการปฏิรูปตำรวจไว้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว
จากคณะทำงานทั้งหมด 100 กว่าคน มีการทำวิจัย และสัมมนาทั่วประเทศ
ไปพบตำรวจชั้นสัญญาบัตร ชั้นประทวนและคนที่ไม่ใช่ตำรวจ
ซึ่งใครต้องการดูผลงานดังกล่าวขอดูได้ที่กระทรวงยุติธรรม
และหากรัฐบาลต้องการนำเอาไปปรับปรุงงานตำรวจก็ไปเอามาดูได้
"ถ้าจะถามว่าถึงเวลาที่จำเป็นจะต้องปรับปรุงระบบตำรวจไหม
มันเลยเวลาจำเป็นแล้ว รัฐบาลไหนก็ควรจะทำแล้ว ที่จริงตำแหน่งผมยังอยู่นะ
เพราะในสมัยรัฐบาลคุณสมัคร ท่านมายุบกรรมการต่างๆ เยอะแยะ
แต่กรรมการที่ผมทำยังอยู่ อย่างไรก็ตาม ในรัฐบาลปัจุบัน
รู้สึกเห็นใจท่านนายกฯ เพราะเป็นรัฐบาลผสม
ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นความสำคัย มันคงเป็นกระดาษต่อไปอีก
แต่ถ้าคิดจะทำ ทำได้แน่นอน ในรัฐบาลท่าน
พล.อ.สุรยุทธ์ก็มีร่างกฎหมายออกมา 2
ฉบับส่งถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว แต่หมดอายุเสียก่อน"
เมื่อถามว่า มองตำรวจแบบ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร
พล.ต.อ.วสิษฐกล่าวว่า เมื่อตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ
เกิดความพยายามที่จะใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือทางการเมือง
พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติปี 2547 สมัย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ
ก็เอาตำรวจไปขึ้นกับนายกรัฐมนตรี นายกฯ จึงเป็นนายของตำรวจ เมื่อ
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายของตำรวจ ผลกระทบตามมาจึงรุนแรงมาก
มีการแต่งตั้งตำรวจเข้าสู่ตำแหน่งต่างๆ
โดยไม่มีหลักประกันเรื่องความป็นธรรมหลักคุณธรรมกลายเป็นชื่อเฉยๆ
แต่วิธีปฏิบัติเป็นการเล่นพรรคเล่นพวก เปิดช่องให้มีการวิ่งเต้น
ตำแหน่งสำคัญๆ ตกไปอยู่กับผู้ที่นายกฯ พอใจ
และเป็นครั้งแรกที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจใหญ่ๆ
ไปกินตำแหน่งข้างนอก เช่น ผู้อำนวยการกองสลาก หน่วบข่าวกรอง ปปง. เป็นต้น
ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับวงการตำรวจ
พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า ถ้าการปฏิรูปตำรวจทำสำเร็จ
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)จะไม่มีอำนาจล้นฟ้าเหมือนในขณะนี้
แต่จะลดอำนาจให้ ผบ.ตร.มีฐานะคล้ายปลัดกระทรวง
ไม่สามารรถลงล้วงลูกถึงข้างล่างได้ และจะกระจายอำนาจลงข้างล่างให้มาก
อย่างไรก็ตาม แผนปฏิรูปดังกล่าว มีคนออกมาต่อต้าน
ทั้งจากตำรวจที่ยังอยู่ในราชการและพ้นราชการ
และยังโดนคณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยต่อต้านอีก
พล.ต.อ.วสิษฐ ยังกล่าวถึงข้อเขียนที่ชื่อ
"สงครามอนารยชนของทักษิณ" ที่รวบรวมอยู่ในหนังสือ "รู้ทันทักษิณ 5" ว่า
ทีแรกไม่ได้คิดไปกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ
แต่เมื่อดูจากพฤติการณ์ตอนที่พ้นจากตำแหน่ง และหนีคดีไปแล้ว
พฤติกรรมมันโผล่ พฤติกรรมที่หยาบช้าโสมมที่ทำกับในหลวงและพระราชินี
เกิดขึ้นอย่างมากกมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตนเรียนมาในทางการหาข่าว
กรมประมวลข่าวกลางก็เคยอยู่ และจนขณะนี้ก็ยังไม่เลิกศึกษา
หนังสือแต่ละเล่มที่เขียนต้องทำวิจัยค้นคว้าก่อน
จึงรู้อะไรพอสมควรที่จะดูออกว่า ไม่ใช่ต่างคนต่างทำแน่
แต่เป็นเรื่องของการวางแผน เมื่อดูจากใครต่อใครทั้งหมด
ดูอย่างอาจารย์ที่ออกไปด่าสถาบันอยู่ต่างประเทศ
ตนรู้ว่านี่เป็นแผนที่ทำสอดคล้องกันทั้งหมด และเหตุที่มาลงที่
พ.ต.ท.ทักษิณก็มาจากการที่เขาให้สัมภาษณ์ไฟแนนเชียลไทม์ เมื่อวันที่ 20
เมษายนที่ผ่านมา โดยอ้างคำพูดของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ว่ามีองคมนตรี 2
คนเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลก่อนวันที่ 19 ก.ย.49 ว่าจะกำจัดทักษิณถวาย
เพราะไม่จงรักภักดีแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการใส่ร้ายสถาบันเบื้องสูง
และตอนนั้นทุกอย่างมันประสานกันหมด ตนจึงกล้าที่จะเขียนถึง
พ.ต.ท.ทักษิณต่อ
ในตอนท้ายรายการ พล.ต.อ.วิสิษฐ
ได้ให้เกียรติเป็นผู้มอบพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ซึ่งวาดโดยนายชิงชัย อุดมกิจเจริญ หรือ ตี๋ ชิงชัย ศิลปินพันธมิตรฯ
ที่ถูกระเบิดแก๊สน้ำตาจนเสียมือขวาและหลอดเสียงทะลุ
จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาฯ 51 ให้กับคุณอานา
ซึ่งเป็นผู้ประมูลภาพดังกล่าวได้ ในงานคอนเสิร์ตการเมืองของพันธมิตรฯ ที่
จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000107760
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น