นอกจากดูหนังฟังเพลงแล้ว
อดไม่ได้ก็ต้องอ่านหนังสือนวนิยายด้วยจึงจะครบสูตรครับ
นักเขียนยอดนิยมตลอดกาล อ่านแล้วอ่านซ้ำไม่เบื่อ ผมเรียงลำดับดังนี้
สุดยอดเหนือกว่าใคร ไม่ว่าฝรั่งมังค่าที่ไหน ก็คือ ป.อินทรปาลิต
ครับ ผมพูดจริงๆ คนนี้เขียนได้หลายรส ขายดีกว่านักเขียนฝรั่งและเป็นอมตะ
ตลกมาก หนังสือของเขาขายดีข้ามศตวรรษก็ว่าได้
เขาเขียนประวัติชีวิตไว้เอง
ประวัติที่เขาเขียนเองนะครับ
"ผมเกิดปีไหน ผมจำไม่ได้
ผม เกิดที่สะพานขาว คือสะพานจตุรพักตรรังสฤษดิ์ จังหวัดพระนคร
แต่ไม่ได้เกิดบนสะพานหรือข้างสะพานนะครับ ตำบลนั้นเขาเรียกกันว่าสะพานขาว
... เอาเป็นว่าผมเติบโตขึ้นนะครับ เริ่มตอนแตกเนื้อหนุ่ม...
บิดาของผมท่านเห็นว่าผมควรจะเจริญรอยตามท่าน
ท่านก็พาผมไปเข้าที่โรงเรียนแห่งหนึ่งตรงข้ามสนามมวยราชดำเนินนั่นแหละครับ
โรงเรียนนี้ทำให้ผมเป็นหนี้บุญคุณอย่างล้นเหลือ
เพราะผมได้กินขนมปังกินข้าวสุกอยู่หลายปี เงินทองไม่ต้องเสีย...
ท่านจอมพลสฤษดิ์ ท่านก็เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับผม
แต่ท่านเป็นรุ่นพี่
ท่านจอมพลถนอมก็เคยอยู่โรงเรียนนั้นรุ่นเดียวกับผมนั่งโต๊ะใกล้ๆ
กันด้วยซ้ำไป ตอนนั้นผมไม่คิดหรอกครับว่า
ท่านทั้งสองจะมีอนาคตรุ่งโรจน์แจ่มใสเช่นนี้
เพราะผมรักเพื่อนมีเพื่อนต่ำชั้นกว่าหลายคน
ผมก็เลยแกล้งสอบให้มันตก
เพื่อรอคอยเพื่อที่ผมรักให้ขึ้นมาเรียนร่วมชั้น....
ผมต้องรีไทม์ (เพราะตกสองปี)
... ผมเริ่มเป็นนักเขียนละครับ นั่งๆ นอนๆ
อยู่กินกับบ้านก็เลยลองแต่งหนังสือดู เรื่องแรกชื่อ "นักเรียนนายร้อย"
ต้นฉบับของผม 100 หน้ากระดาษฟุลสแก๊ปพอดี ผมนำไปเสนอขายที่สำนักพิมพ์
"เพลินจิตต์" แต่เจ้าของท่านบอกว่าเรื่องของนักเขียนหน้าใหม่ไม่ทำตลาด
ที่นั่นมีนักเขียนมือดีประจำอยู่หลายคนแล้ว
ผมเกือบหมดหวังที่จะได้เป็นนักเขียน
บังเอิญคุณ ส.บุญเสนอ ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญของ "เพลินจิตต์"
ในยุคนั้น เห็นลายมือผมสวยก็ชักสนใจเลยรับไว้พิจารณา แล้วคุณ ส.บุญเสนอ
คนนี้แหละครับที่รับซื้อเรื่อง "นักเรียนนายร้อย" ของผมไว้เป็นเงิน 20
บาท ผมกลายเป็นนักเขียนขึ้นมาแล้ว
สมัย นั้น "เพลินจิตต์" พิมพ์หนังสือครั้งละ 30,000 เล่ม
จำหน่ายในราคา 10 สตางค์ พอ "นักเขียนนายร้อย" พิมพ์ขายได้ไม่กี่วัน
ท่านเจ้าของ "เพลินจิตต์" ก็สั่งให้ผมเขียนอีก
"เขียนมาอีก คุณปิ๋ว เขียนได้เดือนละกี่เรื่องก็ส่งมา
ผมเพิ่มให้อีกเรื่องละ 15 บาท" โอ้โฮ ผมไม่ใช่คนจนแล้ว
ผมจะทำงานหาพระแสงอย่างว่าทำไมกัน งานอะไรไม่เอาทั้งนั้น
เป็นนักเขียนดีกว่า....
แต่แล้วผมก็หนีคำว่าไส้แห้งไปไม่พ้น
เขียนเรื่องได้เงินมาก็ใช้หมด หมดไปกับสุรา, นารี, พาชี, กีฬาบัตร
ไม่ มีใครยอมอดตาย ผมเขียนเรื่องขายทั้งๆ
ที่สำนักพิมพ์เขาเลิกพิมพ์ผมขายถูกๆ เกือบจะเรียกว่า ชั่งขายเป็นกิโล
ซึ่งก็พอขายได้แบบแค่น ขายจนกระทั่งสงครามเลิกแล้ว
ชะตาผมก็พุ่งขึ้นสูงสุดโดยไม่รู้ตัว
ผมออกหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขายดีเป็นบ้า
นวนิยายเรื่องบู๊ดุเดือดคือ "เสือใบ" ทำให้ผมกลายเป็นเศรษฐีย่อยๆ ขึ้นมา
ไม่ใช่โม้นะครับ
ผม เต๊ะท่าและเบ่งจนใครๆ เขาหมั่นไส้ผม และอยากถุยน้ำลายรดผม
ผมเป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น มีอำนาจเต็มที่
ผู้หญิงห้อมล้อมตอมผมเหมือนแมลงวันตอมเม็ดทุเรียน
สันดานของผมก็เหมือนกับนักเป่ากระหม่อมทั้งหลายแหละครับ
ทำใจให้เป็นอุเบกขาอย่างไรก็อดไม่ได้เลยเกิด "ห้วงรักเหวลึก"
กับเด็กสาวคนหนึ่งและตอนหลังก็กลายเป็นนักเขียนชื่อดังไป
คนต่อมาคือ Jeffrey Archer ครับ
Jeffrey Archer ชื่อเต็มๆ คือ Jeffrey Howard Archer
เกิดในโรงพยาบาลกรุงลอนดอน หลังจากนั้นครอบครัวก็ย้ายบ้านไปอยู่ริมทะเล ณ
เมืองซอมเมอร์เซทท์ โดยเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนเวลลิงตัน ย่าน O-level
ด้านวรรณคดีอังกฤษ, ศิลปะและประวัติศาสตร์
หลังจากนั้นทำงานระยะหนึ่งแล้วเข้ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้
โดยเรียนด้านการศึกษาเพื่อเอาอนุปริญญาหลักสูตรปีเดียว
ซึ่งเขาหวังว่าจะออกมาสอนหนังสือ
อายุแค่ 29 ได้รับเลือกเป็นสมาชิกผู้แทนในลินคอร์นเชียร์ ในเขต
Loutl สังกัดพรรคอนุรักษนิยม นวนิยายเล่มแรกคือ Not A Penny More
พิมพ์ในอเมริกาก่อน และพิมพ์ในอังกฤษปี 1976
ประสบความสำเร็จขายดีมากทันที
ตามมาด้วย Kane & Abale ขึ้นอันดับยอดนิยมของ New York Best
Sellers ซึ่งต่อมาทำเป็นภาพยนตร์ mini-series ในปี 1985
โดยใช้พระเอกชาวนิวซีแลนด์ แซม นีล...
เขามีชื่อเสียงดังในฮอลลีวูดจาก I Dream of Leannie (1957-70)
Heart to Heart (1979-84)
พออายุ 50 เขียนนิยายเล่มแรก Master of The Gane (1982) ก็ขายดี
ขายหมดไม่กี่สัปดาห์ และก่อนหน้านั้นมี The Otherside of Midnight และ
Rage of Angles
ตอนเกิดเขาชื่อ Sidny Schechtel โดยเกิดในชิคาโก
พ่อแม่มีบรรพบุรุษชาวยิวรัสเซีย ตอนเศรษฐกิจตกต่ำยุค 1929
ต้องมีภาระทำงานหนัก และต้องเรียนมหาวิทยาลัยด้วย
โดยเรียนมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น
เขาทำละครบรอดเวย์โดยมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ เรื่อง The
Bachelor & the Bobby-Soxer ทำให้ได้รางวัล Academy Award ในสาขา Best
Original Screenplay (ในปี 1947)
เสียชีวิตแล้วเมื่ออายุ 89 ปี เขียนนวนิยายไว้ 18 เล่ม ขายดีทุกเล่ม
จอห์น กริชแฮม
เกิดที่ โจนส์โบโร รัฐอาคันซอร์
บิดามารดานับสือคริสต์นิกายแบ๊บติสต์ พ่อทำงานวิศวกรก่อสร้าง
แม่เป็นแม่บ้าน
ระหว่างอยู่โรงเรียนเล่นฟุตบอล เป็นควอร์เตอร์แบค
ได้รับอิทธิพลด้านวรรณกรรมจากจอห์น สโตนเบค
จบมหาวิทยาลัยด้วยปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์
แต่ในสาขาบัญชีจากมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี้ อยู่ในทีมเบสบอลของ Delta
State University พูดสั้นๆ เขาเป็นนักกีฬาหลายประเภท
เพื่อนๆ บอกว่าเขาควรเบนเข็มเขียนหนังสือดีกว่า
เขาได้รับเลือกเป็นผู้แทนสังกัดพรรคเดโมแครตในสภาของมิสซิสซิปปี้
และอยู่ในสภาจนถึงปี 1990
ระหว่างว่าความ เขาเห็นคดีเด็กผู้หญิงอายุแค่ 12 ถูกข่มขืน
นวนิยายเรื่องที่ว่าคือ A Time to Kill เสร็จในปี 1987
แต่หลายสำนักพิมพ์ปฏิเสธที่จะพิมพ์ครั้งแรกแค่ 5,000 เล่ม ในปี 1988
นวนิยายต่อมาคือ The Firm ขายดี ขึ้นอันดับ 7 ของ Best Selling
Novel ในปี 1991 หลังจากนั้นเขาก็ผลิตนิยายปีละเล่ม
โดยทั้งหมดขายติดอันดับ Best Seller ทุกเล่ม
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000108122
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น