++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

บุญรำลึก 140 ปีชาตกาลหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มหาเถระ

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วิปัสสนาจารย์ใหญ่สายกรรมฐาน
ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่มีคุณูปการในการสืบพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนหยั่งรากลึกอย่างมั่นคงในดินแดนสุวรรณภูมิ
ด้วยการดำเนินตามรอยการปฏิบัติจากพระพุทธองค์ อย่างเคร่งครัด
เสมอต้นเสมอปลาย ได้สร้างพระอริยสงฆ์องค์ที่สำคัญหลาย องค์ ได้แก่
หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ชา สุภัทโท หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงปู่แหวน
สุจิณโณ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น
และส่งผลต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงคนรุ่นหลังจนถึงปัจจุบัน
ตลอดชีวิตในสมณเพศท่านได้เพียรสั่งสอนอบรมลูกศิษย์
ให้เข้าใจแก่นธรรมอย่างแท้จริงด้วยการเน้นการปฏิบัติและการฝึกรักษาใจของตนเอง

ในโอกาสครบรอบ 140 ปีชาตกาลของหลวงปู่
คณะศิษย์จึงจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกประวัติของหลวงปู่มั่น
ซึ่งเรียบเรียงโดยหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เพื่อเป็นการรำลึกบูชาพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ครูอาจารย์
เป็นหนังสือปกแข็งเย็บกี่ ขนาด 10X 7" หนา 300 หน้าเศษ พร้อม CD 2 แผ่น
คือ เพลงประวัติและคำอ่านประวัติหลวงปู่มั่น ทั้งชุด ราคา ชุดละ140 บาท
เท่านั้น (งดพิมพ์ชื่อรายชื่อเจ้าภาพในหนังสือ)

ร่วมบุญและโอนเงิน ภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 นี้
ผ่านผู้ประสานงานของท่านที่ได้รับเมลนี้มา

จัดหนังสือให้ผู้ร่วมบุญท่านละ 1 ชุด ประมาณต้นเดือนธันวาคม 2552
นอกนั้นจัดถวายพระและญาติธรรมเป็นธรรมทานทั้งหมด โดยเฉพาะในงานวันที่ 20
มกราคม 2553 ที่บ้านเกิดของท่านที่บ้านคำบง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี

(ติดต่อประสานงานที่ sirchaiyos@yahoo.com,089 8852899)


ขอนำประวัติและหลักธรรมที่สำคัญของท่านมาให้อ่านกันย่อ ๆ เพื่อให้เกิดศรัทธา ดังนี้


ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต(ย่อ)

กำเนิดพระอริยะ

หลวงปู่มั่น ท่านเกิดวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ที่บ้านคำบง
ตำบลโขงเจียม อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรของนายคำด้วง
และนางจันทร์ แก่นแก้ว เมื่อท่านอายุ ๑๕ ปี
ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักวัดบ้านคำบง พออายุได้ ๑๗ ปี
บิดาขอร้องให้ลาสิกขา จิตยังหวนคิดถึงร่มผ้ากาสาวพัสต์อยู่เสมอ
เพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า "เจ้าต้องบวชให้ยาย
เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก"

อุปสมบทเป็นพระ


ครั้นอายุได้ ๒๒ ปี มีความอยากบวชเป็นกำลัง ได้เข้าศึกษาพระธรรมในสำนักหลวงปู่เสาร์

กนฺตสีโล วัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้อุปสมบท ณ
วัดศรีอุบลรัตนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๑๒
มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ โดยมี พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทา
ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็น
พระอนุสาวนาจารย์
อุปสมบทแล้วได้กลับมา ศึกษากรรมฐานภาวนาในสำนักหลวงปู่เสาร์
กนฺตสีโล ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า "พุทโธ"

สุบินนิมิตร

วันหนึ่งท่านเกิดสุบินนิมิตว่า "ได้เดินออกจากหมู่บ้านๆหนึ่ง มีป่า
เลยป่าออกไปก็ถึงทุ่งเวิ้งว้าง จึงเดินตามทุ่งไป
ได้เห็นต้นชาติต้นหนึ่งที่บุคคลได้ตัดให้ล้มลงแล้ว ปราศจากใบ
ตอของต้นชาติสูงประมาณ ๑ คืบ ใหญ่ประมาณ ๑ คนโอบ ท่านขึ้นสู่ขอนชาตินั้น
พิจารณาดูอยู่ว่าผุพังไปบ้าง และจักไม่งอกขึ้นได้อีก
ในขณะที่กำลังพิจารณาอยู่นั้น มีม้าตัวหนึ่งไม่ทราบว่ามาจากไหน
มาเทียมขอนชาติ ท่านจึงขี่ม้าตัวนั้น
ม้าพาวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างเต็มฝีเท้า
ขณะที่ม้าพาวิ่งไปนั้นได้แลเห็นตู้ใบหนึ่ง เหมือนตู้พระไตรปิฎก
ตั้งอยู่ข้างหน้า ตู้นั้นวิจิตรด้วยเงินสีขาววาววับเป็นประกายยิ่งนัก
ม้าพาวิ่งเข้าไปสู่ตู้นั้น ครั้นถึงม้าก็หยุดและหายไป
ท่านลงตรงมายังตู้พระไตรปิฎกแต่มิได้เปิดตู้ดู ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่
ในนั้น แลดูไปข้างหน้าเห็นเห็นเป็นป่าชัฏเต็มไปด้วยขวากหนามต่างๆ
จะไปต่อไม่ได้" เลยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

เมื่อท่านพิจารณาสุบินนิมิตนั้นจึงได้ความว่า
การที่ท่านออกบวชในพระพุทธศาสนาและปฏิบัติตามอริยมรรคนั้น
ชื่อว่าออกจากบ้าน บ้านนั้นคือความผิดทั้งหลาย และป่านั้นคือกิเลส
ซึ่งเป็นความผิดเหมือนกัน ขอนชาติ ได้แก่ ชาติความเกิด ม้า ได้แก่
ตัวปัญญาวิปัสสนา จักมาแก้ความผิด การขึ้นสู่ม้าแลัวม้าพาวิ่งไป
สู่ตู้พระไตรปิฎกนั้น คือ เมื่อพิจารณาไปแล้วจักสำเร็จปฏิสัมภิทานุศาสน์
ฉลาด รู้อะไรๆ ในเทศนาวิธี
ทรมานแนะสั่งสอนลูกศิษย์ทั้งหลายให้ได้รับความเย็นใจในข้อปฏิบัติทางจิต
แต่จะไม่ได้ในจตุปฏิสัมภิทาญาณ เพราะไม่ได้เปิดดูตู้นั้น

สุบินนิมิตนี้เป็นบุพพนิมิตบอกความมั่นใจในการทำความเพียรของท่าน
ท่านจึงตั้งหน้าทำความเพียรประโยคพยายามมิได้ท้อถอย มีการเดินจงกรมบ้าง
นั่งสมาธิบ้าง ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ก็มิได้ทอดทิ้ง
คงดำเนินตามข้อปฏิบัติอันท่านโบราณบัณฑิตทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ทรงบำเพ็ญตามทางแห่งอริยมรรค

การธุดงควัตร


ท่านได้แสวงหาวิเวกบำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่างๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฏ
ที่แจ้ง หุบเขา ซอกเขา ห้วยธาร เงื้อมผา ท้องถ้ำ เรือนว่าง
ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับเจ้าพระคุณ

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนโท) ๓
พรรษาแล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลางคือ

ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง
เขาพระงามและถ้ำสิงห์โตจังหวัดลพบุรี ขึ้นไปทาง

ภาคเหนือ จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง ๑
พรรษาได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงและเป็นพระอุปัชฌาย์
แต่ท่านไม่รับตำแหน่ง หนีเข้าป่าไปอาศัยอยู่ตามดอยมูเซอ ถ้ำเชียงดาว ฯลฯ
แล้วออกไปพักตามที่วิเวกต่างๆ
ในเขตภาคเหนือหลายแห่งเพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้นๆ นานถึง ๑๑ ปี
จนได้รับความรู้แจ่มแจ้งในพระธรรมวินัย สิ้นความสงสัยในสัตถุศาสน์
บรรลุพระอรหัตผลที่ถ้ำดอกคำ ต.น้ำแพร่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
จึงกลับมาภาคอีสาน

วาระสุดท้าย


วาระสุดท้ายท่านพระอาจารย์มั่นจำพรรษาที่ วัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน
อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ท่านละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน
ที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ เวลา
๐๒.๒๓ น. สิริอายุ ๘๐ ปี ๕๖ พรรษา

วิปัสสนาจารย์ใหญ่สายวัดป่ากรรมฐาน

หลวงปู่มั่นเป็นอาจารย์สอนธรรมทาง วิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียง
มีผู้เคารพนับถือมาก หลวงปู่มีศิษยานุศิษย์ ที่เป็นพระเถระ
ซึ่งเป็นที่เครารพของ ผู้คนทั้งประเทศ อาทิเช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงปู่ชา สุภัทโท หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ฝั้น
อาจาโร หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น หลวงปู่ได้รับ
การเรียกขานจากบรรดาศิษย์ว่า "พระอาจารย์ใหญ่" เป็นผู้มีประวัติงดงาม
เป็นฐานที่พึ่งอันมั่นคงตลอดจนเป็น
ที่ยึดเหนี่ยวทางใจของเหล่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายจนปัจจุบัน

แนวคำสอนหลวงปู่มั่น

มุ่งเน้นพิจารณาภาวะปัจจุบัน

สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรไปทำความผูกพัน
เพราะเป็นสิ่งของที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้จะนำความผูกพันและมั่นใจในสิ่ง นั้น กลับมาเป็นปัจจุบัน ก็เป็นไปมิได้
ผู้ทำความสำคัญ มั่นหมายนั้น เป็นทุกข์ แต่ผู้เดียว
โดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคต ก็ยังไม่มาถึง ก็เป็น สิ่งไม่ควรยึด
เหนี่ยว เกี่ยวข้องเช่นกัน อดีต ควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้
ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้น ที่จะสำเร็จเป็น ประโยชน์ได้
เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย

ตัวตนนั้นเป็นที่เกิดแห่ง สมบัติทั้งปวง

"ธรรมชาติ ของดีทั้งหลายนั้น ย่อมเกิดมาแต่ของไม่ดี
มีอุปมาดังดอกปทุมชาติอันสวยงาม ก็เกิดขึ้นมาจาก โคลนตม อันเป็นของสกปรก
ปฏิกูล น่าเกลียด แต่ว่า
ดอกบัวนั้นเมื่อขึ้นพ้นโคลนตมแล้วย่อมเป็นสิ่งสะอาด
เป็นที่ทัดทรงของพระราชา อุปราช อำมาตย์ เสนาบดี เป็นต้น
และดอกบัวนั้นก็มิกลับคืนไปยังโคลนตมอีก -ดีใดไม่มีโทษ
ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ -ได้สมบัติทั้งปวงไม่เท่าได้ตน
เพราะตัวตนนั้นเป็นที่เกิดแห่ง สมบัติทั้งปวง"

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

เรา ทั้งหลาย ต่างเกิดมา ด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้ อย่างเต็มภูมิ
ดังที่ทราบ อยู่แก่ใจ อย่าลืมตัว ลืมวาสนา โดยลืม สร้างคุณงาม
ความดีเสริมต่อ ภพชาติของเรา ที่เคยเป็นมนุษย์ จะเปลี่ยนแปลง และกลับกลาย
หายไป เป็นชาติที่ต่ำทราม ท่านจึงสอน ไม่ให้ดูถูก เหยียดหยามกัน
เมื่อเห็นเขาตกทุกข์ หรือกำลังจน จนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลา เป็นเช่นนั้น
หรือ ยิ่ง กว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริงๆ ไม่มีใครมีอำนาจ
หลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดี กรรมชั่ว เรามีทางสร้างได้ เช่นเดียวกับผู้
อื่น ผู้สงสัยกรรม หรือไม่เชื่อกรรมว่ามีผล คือ ลืมตน
จนกลายเป็นผู้มืดบอด อย่างช่วยไม่ได้ กรรม คือ การกระทำดีชั่วทาง กาย
วาจาใจต่างหาก ผลจริง คือ ความสุขทุกข์ มนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่ง
ที่พาให้มาเป็นเช่นนี้ ซึ่งล้วนผ่านกำเนิดต่างๆ มา จนนับไม่ถ้วน
ให้ตระหนักในกรรมของสัตว์ว่า มี ต่างๆกัน เพราะฉะนั้น
ไม่ให้ดูถูกเหยีดหยาม ในชาติกำเนิด ความเป็นอยู่ ของกันและกัน
และสอนให้รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมดี กรรมชั่วเป็นของๆตน

ไม่ควรติเตียน

การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อก วนจิตใจตนเอง
ให้ขุ่นมัวไปด้วย การกล่าวโทษผู้อื่น โดยขาดการไตร่ ตรอง
เป็นการสั่งสมโทษ และบาปใส่ตน ให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวช
ต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาป ภัยแก่ตนเสีย ผู้เห็นคุณค่าของตัว
จึงควรเห็นคุณค่า ของผู้อื่น ผู้มีปัญญา ซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่
มีความพากเพียร แยก กิ เลสให้หมดไป จะไม่เกียจคร้านขยันหมั่นเพียร
ทั้งกลางวันและกลางคืน

ใครผิดถูกชั่วดีก็ตัวเขา ใจของเราเพียรระวัง ตั้งถนอม

อย่าให้อกุศล วนมาตอม ควรถึงพร้อมบุญกุศล ผลสบาย

การได้ฟังธรรมทุกเมื่อ

ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อถึงจะอยู่คนเดียวก็ตาม
คืออาศัยการสำเหนียก กำหนดพิจารณาธรรมอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน ตา หู
จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรมที่มีอยู่ปรากฏอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ก็มีอยู่ปรากฏอยู่ ได้เห็นอยู่ ได้ยินอยู่ ได้สูด ดม ลิ้ม เลีย
และสัมผัสอยู่ จิตใจเล่า ? ก็ มีอยู่ ความคิดนึกรู้สึกในอารมณ์ต่างๆ
ทั้งดีและร้ายก็มีอยู่ ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภายนอกภายใน ก็มีอยู่
ธรรมชาติอันมีอยู่โดยธรรมดา เขาแสดงความจริงคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา ให้ปรากฏอยู่ ทุกเมื่อ เช่นใบไม้มันเหลืองหล่นร่วงลงจากต้น
ก็แสดงความไม่เที่ยงให้เห็น ดังนี้เป็นต้น
เมื่อผู้ปฏิบัติมาพินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา โดยอุบายนี้อยู่เสมอแล้ว
ชื่อว่าได้ฟังธรรมอยู่ทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืนแล ฯ

สอนอานาปานสติกรรมฐาน

โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอานาปานสติกรรมฐานพึงเข้าไปอาศัยอยู่ในป่า
หรือโคนไม้ หรืออยู่ในเรือนโรงศาลากุฏิวิหารอันว่างเปล่า
เป็นที่เงียบสงัดแห่งใดแห่งหนึ่งอันสมควรแก่ภาวนานุโยคแล้ว
พึงนั่งคู้บัลลังค์ขัดสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
ตั้งกายให้ตรงดำรงสติไว้ให้มั่น คอยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
อย่าให้ลืมหลง เมื่อหายใจเข้าก็พึงกำหนดรู้ว่าหายใจเข้า
เมื่อหายใจออกก็พึงกำหนดรู้ว่าหาย ใจออก เมื่อหายใจเข้าออกยาวหรือสั้น
ก็พึงกำหนดรู้ประจักษ์ชัดทุกๆ ครั้งไปอย่าลืมหลง
อนึ่งท่านสอนให้กำหนดนับด้วย เมื่อลมหายใจเข้าและออกอันใด ปรากฏแจ้ง
ก็ให้นึกนับว่าหนึ่ง ๆ รอบที่สองนับว่าสองๆ ไปจนถึงห้าๆ เป็นปัญจกะ
แล้วตั้งต้นหนึ่งๆ ไปใหม่ไปจนถึงหกๆ เป็นฉักกะ
แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปถึงเจ็ดๆ เป็นสัตตกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปจนถึงแปดๆ
เป็นอัฏฐกะ แล้วนับตั้งแต่ต้นใหม่ไปจนถึงเก้าๆ เป็นนวกะ
แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปจนถึงสิบๆ
เป็นทสกะแล้วกลับนับตั้งต้นใหม่ตั้งแต่ปัญจกะหมวด 5 ไปถึงทสกะหมวด 10
โดยนัยนี้เรื่อยไป เมื่อกำหนดนับลมที่เดินโดยคลองนาสิกด้วยประการดังนี้
ลมหายใจเข้าออกก็จะปรากฏแก่โยคาวจรกุลบุตรชัดและเร็วเข้าทุกที
อย่าพึงเอาสติตามลมเข้าออกนั้นเลย พึงคอยกำหนดนับให้เร็วตามลมเข้าออก
นั้นว่า 1. 2. 3. 4. 5. /1. 2. 3. 4. 5. 6. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. /1.
2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. / 1. 2. 3. 4. 5. 6.
7. 8. 9. 10. / พึงนับตามลมหายใจเข้าออกดังนี้ร่ำไป
จิตก็จะเป็นเอกัคคตาถึงซึ่งความเป็นหนึ่ง
มีอารมณ์เดียวด้วยกำลังอันนับลมนั้นเทียว
บางองค์ก็เจริญแต่มนสิการกรรมฐานนี้ด้วยสามารถถอนนับลมนั้น
ลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ ก็ดับไปโดยลำดับๆ กระวนกระวายก็ระงับลง จิตก็เบาขึ้น
แล้วกายก็เบาขึ้นด้วยดุจถึงซึ่งอาการอันลอยไปในอากาศ
เมื่อลมอัสสาสะ-ปัสสาสะหยาบดับลงแล้ว
จิตของโยคาวจรนั้นก็มีแต่นิมิตคิลมอัสสาสะ-ปัสสาสะสุขุมละเอียดเป็นอารมณ์
เมื่อพยายามต่อไปลมสุขุมก็ดับลง
เกิดลมสุขุมละเอียดยิ่งขึ้นประหนึ่งหายไปหมดโดยลำดับๆ
ครั้นปรากฏเป็นเช่นนั้นอย่าพึงตกใจ และลุกหนีไป
เพราะจะทำให้กรรมฐานเสื่อมไป พึงทำความเข้าใจไว้ว่า ลมหายใจไม่มีแก่คนตาย
คนดำน้ำ คนเข้าฌาณ คนอยู่ในครรภ์มารดาดังนี้แล
พึงเตือนตนเองว่าบัดนี้เราก็มิได้ตายลมละเอียดเข้าต่างหาก
แล้วพึงคอยกำหนดลมในที่ๆ มันเคยกระทบเช่นปลายจมูกไว้ ลมก็มาปรากฏดังเดิม
เมื่อทำความกำหนดไปโดยนัยนี้
มิช้าอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตก็จะปรากฏโดยลำดับไป
อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ในอนาปานสติกรรมฐานนี้ย่อมปรากฏแก่โยคาวจรต่างๆ
กัน บางองค์ปรากฏดังปุยนุ่นบ้างปุยสำลีบ้าง
บางองค์ปรากฏเป็นวงช่องรัศมีบ้าง
ดวงแก้วมณีแก้วมุกดาบ้างบางองค์ปรากฏมีสัมผัสหยาบ
คือเป็นดังเมล็ดในฝ้ายบ้าง ดังเสี้ยนสะเก็ดไม้แก่นบ้าง
บางองค์ปรากฏดังด้ายสายสังวาลย์บ้าง เปลวควันบ้าง
บางองค์ปรากฏดังใยแมลงมุมอันขึงอยู่บ้าง แผ่นเมฆและดอกบัวหลวง
และจักรรถบ้าง บางทีปรากฏดังดวงพระจันทร์พระอาทิตย์ก็มี
การที่ปรากฏนิมิตต่างๆ กันนั้นเป็นด้วยปัญญาของโยคาวจรต่างกัน

อนึ่งธรรม 3 ประการ คือ ลมเข้า 1 ลมออก 1 นิมิต1
จะได้เป็นอารมณ์ของจิตอันเดียวกันหามิได้ลมเข้าก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง
ลมออกก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง นิมิตก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง
เมื่อรู้ธรรม 3 ประการนี้แจ้งชัดแล้วจึงจะสำเร็จอุปจารฌาณและอัปปนาฌาณ
เมื่อไม่รู้ธรรม 3 ประการก็ย่อมไม่สำเร็จ
อานาปานสติกรรมฐานนี้เป็นไปเพื่อตัดเสียซึ่งวิตกต่างๆ
เป็นอย่างดีด้วยประการฉะนี้ฯ

การแผ่เมตตาใหญ่

สอนแผ่เมตตาใหญ่วันละ ๓ ครั้ง

ท่านเล่าว่า ท่านแผ่เมตตาใหญ่ในรอบ ๒๔ ชั่วโมงต่อ ๓ ครั้ง คือ
เวลากลางวันตอนบ่ายขณะนั่งภาวนาหนึ่งครั้ง ตอนก่อนนอนหนึ่งครั้ง
ตอนตื่นนอนหนึ่งครั้ง ส่วนการแผ่เมตตาปลีกย่อยประจำนิสัยนั้น
มิได้นับอ่านว่าวันหนึ่งกี่สิบครั้ง ท่านแผ่เมตตาใหญ่
ท่านว่ากำหนดจิตให้ดำรงตัวอยู่เฉพาะ
แล้วกำหนดกระแสใจให้แผ่ซ่านออกไปทั่วโลกธาตุเบื้องบนเบื้องล่าง
ทั่วทุกทิศทุกทางไม่มีว่างเว้น
ปรากฏว่าจิตในขณะนั้นมีอำนาจแผ่รัศมีและแสงสว่างออกไปทั่วพิภพ
ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีอะไรมาปิดบังได้เลย
ยิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์กี่ร้อยกี่พันดวงเป็นไหน ๆ
และไม่มีอะไรจะทรงแสงสว่างเสมอด้วยใจที่ได้ชำระอย่างเต็มภูมิแล้ว
คุณสมบัติซึ่งแสดงออกจากจิตที่บริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้ว
ย่อมทำให้โลกสว่างและมีความร่มเย็นอย่างอัศจรรย์ที่บอกไม่ถูก
เพราะไม่มีพิษสงแม้น้อยเจือปนอยู่ มีแต่คุณธรรมคือความเย็นล้วน ๆ
ดำรงอยู่ในดวงใจ ท่านผู้มีเมตตาจิตและมีใจบริสุทธิ์สะอาดไปอยู่ ณ ที่ใด
มนุษย์เทวดาอารักษ์ย่อมเคารพเลื่อมใส
ตลอดสัตว์เดียรัจฉานก็ไม่ระเวียงระวังว่าจะเป็นภัยต่อเขา
เพราะจิตท่านอ่อนนิ่มไปทั้งดวงด้วยเมตตาที่มีอยู่ประจำตลอดเวลา
ไม่นิยมกาลสถานที่ บุคคล และกำเนิดสูงต่ำ เหมือนฝนตกลงสู่พื้นพิภพ
ไม่นิยมว่าสถานที่สูงต่ำประการใดฉะนั้น

อย่าเป็นใบลานเปล่า

...ท่านทั้งหลายจงอย่าทำตัวเป็นตัวบุ้งตัวหนอนคอยกัดแทะกระดาษแห่งคัมภีร์ใบลานเปล่าๆ
โดยไม่สนใจพิจารณาสัจธรรมอันประเสริฐที่มีอยู่กับตัว
แต่มัวไปยึดธรรมที่ศึกษามาถ่ายเดียว
ซึ่งเป็นสมบัติของพระะพุทธเจ้า มาเป็นสมบัติของตน ด้วยความเข้าใจผิด
ว่าตนเรียนรู้และฉลาดพอตัวแล้ว
ทั้งที่กิเลสยังกองเต็มหัวใจยิ่งกว่าภูเขาไฟ มิได้ลดน้อยลงบ้างเลย

จงพากันมีสติคอยระวังตัว อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่าๆ
เรียนเปล่าและตายทิ้งเปล่า
ไม่มีธรรมอันเป็นสมบัติของตัวอย่างแท้จริงติดตัวบ้างเลย"

...นี่คือคำสอนที่องค์หลวงปู่มั่นเคยพูดอยู่เสมอๆ

โวหารของพระอาจารย์มั่น

โดยหลวงปู่หลุย

***ปัญญากับสติให้รู้เท่าทันกัน

***พิจารณากายจิต ความไม่เที่ยงของสังขารเป็นธรรมะส่อให้เห็นเรื่อยๆ
ทำความรู้ ในนั้น เห็นในนั้น

***ในโลกนี้เป็นธาตุทั้งนั้น ให้รู้เท่าทันกับธาตุอย่าหลงตามธาตุ

***มหาสติเรียนกายจิตให้มากๆ

***ให้เห็นจริง ธรรมะจริง สมมติ อย่า หลงรูป เสียง กลิ่น รส
ของอันนี้เต็มโลกอยู่ เช่นนั้น

***ให้เห็นปัจจุบันธรรม อย่าส่งจิตอนาคตและอดีต

***ธาตุ 84,000 ธาตุออกมาจากจิตหมด

***นิโรธเป็นของดับเพราะรู้เท่าแล้ว จิตไม่เกิดยินดียินร้าย ดับไปเช่นนี้
ชื่อว่านิโรธ

***แสดงฌานเป็นที่พักชั่วคราวแล้วเจริญจิตต่อๆไป

***ให้เอากายวาจาใจนี้ยกขึ้นพิจารณา อย่าเพิ่มอย่าเอาออก ให้เห็นเป็นปรกติ

***มรรค 8 นั้น สมาธิมรรคเป็นองค์ 1 นอกนั้นเป็นปริยาย

***ให้รู้ธรรมะ และ อาการของธรรมถึงชั้นละเอียดแล้วก็จะรู้เองเห็นเอง

***แสดงตนดูถูกท่านว่าท่านเป็นคนโกรธ เพราะผู้ฟังไม่เห็นตามความเป็นจริง
เพราะยุ่งแต่จิตของตัวเท่านั้น

***เกิดตายเกิดแล้วตาย ชมแต่หนังของเก่า ไม่หันไปหาที่จะพ้นทุกข์

***ทำจิตให้เสมออย่าขึ้นอย่าลง อย่าไปอย่ามา ให้รู้เฉพาะปรกติของจิต

***แสดงฐานของธรรมะเป็นบ่อเกิดอริยสัจของจริง

***เกิดความรู้อย่างวิเศษแล้วย่อมหาอานิสงส์ประมาณไม่ได้

***อัตตาหิ...ฯลฯ เป็นของลึกลับเหลือที่สุด

***ถ้าส่งจิตรู้เห็นนอกกายเป็นมิจฉาทิฐิ
ให้รู้เห็นอยู่ในกายกับจิตนั้นเป็นสัมมาทิฐิ

***นักปฏิบัติใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่สุดจึงจะรู้ ธรรมเห็นธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น