++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สารคดี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สารคดี แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2550

แง้มหัวใจ"นก:นิรมล" นักเดินทางขวัญใจเด็กๆ
















โดย ผู้จัดการออนไลน์4 มิถุนายน 2550 18:08 น.

ที่มา http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9500000064551




















































หากพูดถึงหญิงเก่ง หญิงแกร่ง นักเดินทางที่ใช้ชีวิตติดดินคลุกฝุ่นอยู่กับทุ่งหญ้าป่าใหญ่ ชนบท ชาวบ้าน และเด็กๆแล้ว ชื่อของ"นก:นิรมล เมธีสุวกุล" นับเป็นชื่อในอันดับต้นๆที่ผู้คนนึกถึงอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้วที่เธอ ยังคงเส้นคงวาอยู่กับการนำเสนอเรื่องราวต่างๆในชนบทที่ถูกละเลยให้คนเมืองได ้รับรู้ จนกลายเป็นพี่นกขวัญใจเด็กๆและหนึ่งในต้นแบบผู้หญิงขาลุยของใครหลายๆคน

แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ นิรมลได้บ่มเพาะเคี่ยวกรำประสบการณ์การทำงานควบคู่ไปกับการเดินทางมาอย่างยา วนาน ซึ่งเธอรำลึกความหลังให้ฟังว่า ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดที่สุพรรณบุรี แต่ว่ามาเติบโตท่ามกลางขุนเขา สายหมอกหนาว ที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ที่ถึงแม้ว่าจะอาศัยอยู่ในตลาดแต่ว่าด้วยฐานะปานกลางที่ค่อนข้างไปทางจนก็ทำ ให้เธอคุ้นเคยกับความลำบากมาพอตัว

ในส่วนของความผูกพันกับชีวิตชนบทนั้น นิรมลเล่าว่า ในวัยเด็กก็เคยได้สัมผัสกับชีวิตชนบทมาในระดับหนึ่ง ส่วนตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ไปออกค่ายอาสา แต่ว่าก็ไม่มากเท่ากับในช่วงทำงาน โดยเฉพาะช่วงที่ทำรายการทุ่งแสงตะวัน

"ชีวิตการทำงานของนกเริ่มต้นด้วยการเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ การทำงานหนังสือพิมพ์ถือว่ามีความเสมอภาคอยู่ในตัวมากไม่ได้แบ่งงานว่านี่คื อหญิงหรือชาย ทำให้รู้สึกว่างานไหนเราก็ทำได้ จากนั้นก็เปลี่ยนมาทำรายการทีวีที่ลักษณะงานก็ไม่ต่างกัน คือเมื่อมีข่าวอะไรมา ไม่ว่าข่าวคนตาย ข่าวยิงกัน เราก็ไปทำหมด"





















จากการบ่มเพาะประสบการณ์การทำข่าว หลังจากนั้นในปี 2532 นิรมลได้หันมาจับงานพิธีกรและเขียนบทสารคดีรายการ "ทุ่งหญ้าป่าใหญ่"ทางช่อง 7 ก่อนที่ในปี 2534 จะย้ายมาทำรายการ"ทุ่งแสงตะวัน" ทางช่อง 3 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการเปลี่ยนแนวทางของการทำงานทำให้เธอได้มีโอกาสเดินทางและเรียนรู้โลกกว ้างไปตามที่ต่างๆมากขึ้น เผชิญชีวิตในหลายรูปแบบ สั่งสมเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

"สิ่งที่นกได้เจอในการทำงานนั้นมีหลายรูปแบบ ทั้งการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตชนบท การทำงานกับชาวบ้านและเด็กๆ การอดทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการถ่ายทำ โดยเฉพาะกับเด็กๆถือเป็นปัญหามากในช่วง 2-3 ปีแรก ซึ่งเราต้องเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาเด็ก ต้องเข้าไปพบหมอเด็กเพื่อพูดคุยหาข้อมูล อ่านงานวิจัยเกี่ยวกับเด็กมากเป็นพิเศษในช่วงนั้น คือต้องศึกษาเยอะพอสมควรเพื่อให้เราได้เข้าถึงเด็กได้ดีและลึกซึ้งขึ้น

"นกขอบอกเลยว่าไม่มีตำราใดๆ สามารถอธิบายตัวตนของเด็กได้อย่างสมบูรณ์ เพราะเด็กแต่ละคนนิสัยแตกต่างกัน คิดว่าการทำงานกับเด็กเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันมากกว่า เรื่องบางเรื่องเราไม่รู้แต่เขารู้ เราก็จะรับมาจากเขา เรื่องบางเรื่องที่เรารู้เราก็จะปลูกฝังให้เขา"

นอกจากนี้เรื่องของการใช้ชีวิตในชนบทก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องเรี ยนรู้และปรับตัวไม่น้อย โดยนิรมลเล่าว่า การอาบน้ำรวมไปถึงเรื่องอาหารการกิน ที่พักอาศัย บางครั้งต้องไปอาบในที่ชุมชนร่วมกับชาวบ้านก็ต้องอาบให้ได้ เพื่อให้เข้าถึงวิถีชีวิตของเขา

"เราจะไม่อายและจะทำทุกอย่างที่เขาทำกันได้ ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นปัญหาแล้ว มันกลับเป็นสิ่งหอมหวานที่หาไม่ได้จากที่ไหน เรียกว่าโชคดีกว่าคนบางคนที่พยายามจะสร้างห้องน้ำแบบสวน แบบสปาบำบัด ด้วยซ้ำ เพราะที่ที่นกไปอาบน้ำนั้นมันเป็นธรรมชาติจริงๆ โอบล้อมไปด้วยป่าเขา ต้นไม้นานาชนิด เป็นโอกาสที่เราหาไม่ได้ง่ายๆ

"บางทีห้องน้ำเต็มไม่สามารถเข้าได้เราก็ต้องไปเข้าทุ่ง ซึ่งตรงนั้นเราก็ต้องเข้าให้ได้และไม่มีการรังเกียจ มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เทคนิคปรับตัวแต่ก็เป็นเรื่องสนุก เพราะการได้ทำงานตรงนี้มันทำให้เราได้เรียนรู้ และสามารถนำไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตได้"





















สำหรับเรื่องของอาหารการกินที่อาจเป็นอุปสรรคต่อใครหลายๆคนนั้น ดูจะไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับนิรมลเท่าไหร่ แต่เธอกลับใช้สิ่งที่ประสบพบเจอเรียนรู้ไปในตัว

"เราได้เรียนรู้เรื่องของอาหารการกินจากที่ไปถ่ายทำ อย่างเช่น ฤดูนี้ เดือนนี้ มีผักชนิดนี้ออกมามาก ถ้าไปกาญจนบุรี เดือนฤดูนี้ก็จะได้กินเห็ดโคนที่ใหญ่มาก อร่อยมาก เป็นต้น และด้วยความที่นกเป็นคนชอบทานผักฉะนั้นก็จะได้เรื่องของสุขภาพด้วย นอกจากนี้เรายังได้รู้ถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นของแต่ละที่ อย่าง เช่น อาหารบางอย่างกินกับอะไรถึงจะอร่อย หรือแกงหน่อไม้ของอีสานต้องใส่ใบย่านาง เพราะจะช่วยในเรื่องของการย่อยได้ดี อีกทั้งยังมีเคล็ดลับเกี่ยวกับอาหารอีกหลายอย่างที่เราได้เรียนรู้จากชาวบ้า น

"สิ่งที่ได้จากชนบท สามารถนำมาปรับใช้กับตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของอาหาร ที่นกกลายเป็นคนทานอาหารเพื่อสุขภาพก็คือ เวลาไปทานอาหารในท้องถิ่นหรือว่าชนบทก็อยากจะรู้ว่ามันมาได้อย่างไร มีสรรพคุณอะไร แก้โรคอะไรบ้าง เช่น ถ้าอากาศเปลี่ยนเป็นฤดูฝนก็จะต้องทานแกงเลียงเพื่อแก้ไข้หัวลม เพราะแกงเลียงประกอบด้วยพืชสมุนไพรหลายอย่างสามารถแก้ไข้และสามารถสร้างภูมิ ต้านทานได้ หรือการได้รับรู้ว่าสภาพธรรมชาติชาติที่อุดมสมบูรณ์ทำให้ชาวบ้านได้กินของดี ๆเพื่อสุขภาพของตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ มีซุปเปอร์มาเก็ตเป็นของตัวเอง คือ ป่าหลังบ้านหรือสวนหลังบ้านของเขา เมื่ออยากจะกินอะไรก็ไปเด็ดมากินได้ตามใจชอบ"




















ไม่เพียงเท่านั้นการทำงานกับชาวบ้านในชนบทถือเป็นการเรียนรู้ที่สำคั ญอย่างของนิรมล เธออธิบายว่า มีชาวบ้านหลายหมู่บ้านที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยที่ไม่รบกวนธร รมชาติ อยู่กันอย่างพึ่งพาอาศัย แต่ก็มีชาวบ้านอีกหลายหมู่บ้านเหมือนกันที่รับเอาเทคโนโลยีมาใช้จนหมู่บ้านพ ังราบคาบ สำหรับหมู่บ้านพึ่งพาอาศัยธรรมชาติจะมีวิธีการคิดที่แยบยลไม่น้อย คือ เวลาที่ชาวบ้านเข้าไปในป่าจะไปตัดหน่อไม้ ถ้ามีหน่อไม้ 10 หน่อ ชาวบ้านจะตัดแค่ 6 หน่อ เอามากิน เหลือไว้อีก 4 หน่อ เพราะว่าต้องการให้หน่อไม้เหล่านั้นได้เติบโตไปเป็นต้นไผ่ที่สูงใหญ่ แล้วคราวหน้าก็จะได้ไปตัดหน่อไม้ได้อีก

"สิ่งที่พบเจอมันทำให้นกได้เข้าใจธรรมชาติมากขึ้น และรู้จักการใช้ประโยชน์ของธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ซึ่งเราควรจะรณรงค์เรื่องเหล่านี้ให้มาก เพื่อให้คนทั่วไปเป็นผู้บริโภคที่ดี ไม่ว่าจะเป็น การสนับสนุนพืชผักพื้นบ้านหรือสนับสนุนอาหารที่ไม่รุกรานทำลายธรรมชาติ"

สำหรับสิ่งที่นิรมลชื่นชอบมากก็คืองานผ้าทอแต่ว่าไม่ค่อยจะมีคนรู้เร ื่องนี้เท่าไหร่ ซึ่งเธอได้เก็บสะสมผ้าทอมือไว้เป็นจำนวนมาก แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการเก็บไว้เฉยๆเพราะเธอไม่กล้าตัด

"ในตู้เสื้อผ้าของนกจะมีผ้าทอมากกว่าชุดที่ใส่ทำงานประจำเสียอีก แม้ผ้าทอบางผืนที่ได้มาอาจดูไม่ค่อยสวย แต่คุณค่าทางจิตใจนั้นมีมากกว่า บางผืนได้มาจากเด็ก ป.6 ที่หัดทอผ้าเป็นครั้งแรก ถือเป็นความภูมิใจมากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะเราได้สัมผัสถึงสิ่งที่เด็กคนนั้นพยายามเรียนรู้สืบสานภูมิปัญญา ไม่ใช่ได้แค่ผ้าทอ แต่เราได้ความรู้สึกผูกพัน มันไม่ใช่วัตถุ มันเป็นความรู้สึกดีๆที่เราได้จากชาวบ้าน ทำให้ผ้าทอผืนนั้นเป็นผ้าทอที่ยังจดจำมาได้ถึงทุกวันนี้ เวลาที่มองทีไรนกจะรู้สึกมีความสุขอยู่ลึกๆ"

แม้หลายๆคนจะมองว่านิรมลเป็นผู้หญิงขาลุยที่บ่ยั่นต่อความยากลำบากทั ้งหลาย แต่สำหรับเธอแล้วกลับยอมรับว่าไม่ใช่ผู้หญิงขาลุยอย่างที่หลายๆคนคิด โดยเฉพาะเรื่องยุงนั้น แพ้มากๆเวลาไปไหนมาไหน ต้องเตรียมเรื่องการกันยุงเอาไว้ให้พร้อม ทั้ง ยาแก้แพ้ต่างๆ หรือถ้ามียุงมากบางครั้งก็จะต้องนำมุ้งไปด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้เธอบอกว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะจะไม่รู้ล่วงหน้าเลยว่าจะไปเจออะไรบ้าง แต่จะใช้ประสบการณ์ที่ผ่านๆมาปรับใช้กับสิ่งที่จะเจอ

"คนเราใช่ว่าจะเกิดมามีพร้อมไปทุกอย่าง ถึงจะเก่งแค่ไหนก็ต้องมีพลาดกันบ้าง ฉะนั้นต้องอาศัยการเรียนรู้ไปจนถึงประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน แล้วก็จะพบกับความสำเร็จ"




















ในฐานะผู้ผลิตรายการทีวีและคนที่ทำงานเกี่ยวกับชุมชน นิรมลบอกว่า งานที่ทำไม่ใช่แค่มีเพื่อการออกอากาศเท่านั้น แต่ว่าคุณค่าของงานมันมีมากกว่านั้น คุณค่าของมันคือการได้อะไรจากการได้ไปเรียนรู้ ซึ่งเธอจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยถ้าสามารถก้าวผ่านช่วงฝึกฝนตนเองให้ผ่านมันไปไ ด้

อนึ่งการทำรายการทุ่งแสงตะวันของนิรมลนั้น เธอบอกว่าเป็นการเที่ยวไปในตัวด้วย บางครั้งก็มีการเปิดโอกาสให้แฟนๆรายการได้เข้าร่วมด้วย แต่จะไม่เรียกการไปชนบทว่าการไปเที่ยวแต่จะเรียกว่าการไปเรียนรู้มากกว่า เพราะจะรับเฉพาะคนที่เป็นครอบครัวเท่านั้น เพราะต้องการให้คนในครอบครัวได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่งที่หา ไม่ได้จากในเมือง เด็กๆจะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นประสบการณ์ที่ได้รับโดยตรง เรียนรู้ได้จริง ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวได้ให้อะไรกับหญิงแกร่งอย่างนิรมลหลายอย่างดังเช่น ที่เธอได้กล่าวไว้ในหนังสือ "เส้นทางความสุข" (ของททท.)ว่า

" การเรียนรู้จากธรรมชาติ จากประสบการณ์ของผู้คน ที่ได้พบเจอในแต่ละสถานที่ เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ชีวิตนกมีคุณค่ามากขึ้น ได้มุมคิดใหม่ๆที่จะก้าวต่อไปในชีวิต"

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

นิรมล เมธีสุวกุล เกิดที่อำเภอเมือง สุพรรณบุรี แต่ไปเติบโตที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เริ่มทำงานเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นในปี 2526 จากนั้นไปเป็นนักข่าวช่อง 7 และช่อง 9 จนปี 2532 หันมาจับงานพิธีกรและเขียนบทสารคดีรายการ "ทุ่งหญ้าป่าใหญ่" ทางช่อง 7 จนกระทั่งปี 2534 ย้ายมาทำ "ทุ่งแสงตะวัน" ที่ช่อง 3 จนถึงทุกวันนี้



วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

การบำบัดกากของเสียด้วยการทำให้เป็นก้อน

ปัจจุบันปัญหาเรื่องกากของเสียอันตราย เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น หน่วยงานของรัฐหลาย ๆ หน่วยงาน ที่มีหน้าที่ รับผิดชอบในด้านนี้ เริ่มหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น ทั้งนี้เพราะ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิต หรือการกำจัดของเสีย ในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เมื่อสุดสิ้นกระบวนการแล้ว ล้วนแต่ก่อให้เกิด กากของเสียทั้งสิ้นซึ่งกากของเสียเหล่านี้ จะมีความเข้มข้น ของสารมลพิษค่อนข้างสูง

ในการเลือก วิธีการจัดการกากของเสียที่เหมาะสม จำเป็นต้องทำการวิเคราะห์ เพื่อจำแนกประเภท กากของเสียก่อนว่าเข้าข่าย เป็นกากของเสียอันตรายหรือไม่ หากพบว่ากากของเสียนั้น ๆ เป็นกากของเสียอันตราย ก็จำเป็นต้อง นำกากของเสียเหล่านั้น มาผ่านกระบวนการ ลดความเป็นพิษลงก่อน จากนั้นจึงนำไปบำบัดขั้นสุดท้าย เพื่อป้องกันการละลาย หรือลดการเคลื่อนที่ ของสารเคมี ที่เป็นของเสียอันตราย จะปนเปื้อนลงสู่สิ่งแวดล้อม หรือการทำปฏิกิริยา ของกากของเสีย กับสภาพแวดล้อม

เทคโนโลยีการบำบัดกากของเสียขั้นสุดท้าย ที่นิยมใช้ และรู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ กระบวนการทำให้เป็น ก้อน (solidification) วัตถุประสงค์ของกระบวนการนี้ ก็คือ เพื่อสร้างมวลของแข็งเนื้อเดียว ที่มีความสามารถ ให้น้ำซึมผ่านได้น้อย มีโครงสร้างมั่นคงแข็งแรง และก้อนหล่อแข็งที่ได้ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานกำหนด กระบวนการทำให้เป็นก้อน แบ่งเป็นหลายประเภทด้วยกัน ในการเลือกวิธีการบำบัด ของเสียดังกล่าว ควรเลือกให้เหมาะสม กับประเภทของของเสีย และคุณลักษณะเฉพาะ ของของเสีย

ประเภทของกระบวนการทำให้เป็นก้อนต่างๆ ได้แก่ cement based, pozzolanic(lime based), thermoplastic, organic polymer, Surface encapsulation, self-cementing และ glassification and production of synthetic minerals or ceramics

หลังจากที่กากของเสีย ผ่านกระบวนการหล่อแข็งแล้ว จะถูกนำไปทดสอบ ค่าการชะละลาย ของโลหะในน้ำสกัด ความสามารถรับกำลังอัด และอื่น ๆ จนมีคุณสมบัติ ได้ตามมาตรฐานก้อนหล่อแข็ง จึงสามารถนำก้อนหล่อแข็งเหล่านั้น ไปดำเนินการฝังกลบ อย่างปลอดภัย ด้วยวิธีพิเศษ ที่เรียกว่า secure landfill cement based และ pozzolanic (lime Based) เป็นกระบวนการหล่อแข็ง ที่นิยมนำมาปฏิบัติ ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง pozzolanic technique เป็นเทคนิค ที่มีผู้ศึกษาวิจัยเป็นจำนวนมาก ถึงการนำ กากอุตสาหกรรม ที่ไม่อันตราย และมีคุณสมบัติเป็นปอซโซลาน (วัสดุที่มีองค์ประกอบหลัก เป็นซิลิกาออกไซด์ หรือซิลิกาออกไซด์ กับอะลูมิเนียมออกไซด์ ซึ่งโดยตัวของมันเอง ไม่มีสมบัติในการยึดประสาน แต่เมื่อทำปฏิกิริยาเคมี กับ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ จะได้สารประกอบ ที่มีสมบัติในการยึดประสาน)

ตามมาตรฐาน ASTM C 618-91 กำหนดว่า เถ้าที่ได้ จากกระบวนการเผาไหม้ต่างๆ จะมีสมบัติเป็นปอซโซลาน เมื่อผลรวมของ ปริมาณ ซิลิกาออกไซด์อะลูมิเนียมออกไซด์ และเหล็กออกไซด์ มากกว่าร้อยละ 70 และมีปริมาณโซเดียมออกไซด์ น้อยกว่าร้อยละ 1.5 ตัวอย่าง ของเถ้าที่จัดเป็นวัสดุ ปอซโซลานที่ได้จาก กระบวนการเผาไหม้ เช่น เถ้าแกลบ เถ้าลอยลิกไนต์ เป็นต้นและได้มีการนำมาใช้ประโยชน์ ในด้านการหล่อแข็งแล้ว ซึ่งการนำกากอุตสาหกรรมเหล่านั้น มาใช้ประโยชน์ (utilization) นี้ ถือเป็นส่วนหนึ่ง ในกระบวนการ waste minimization ทั้งนี้ก้อนหล่อแข็งที่ได้ ต้องมีสมบัติเป็น ตามประกาศ กระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติ โรงงาน พ.ศ. 2535 เรื่องการกำจัดสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว

กองฟิสิกส์และวิศวกรรม ได้ให้บริการตรวจสอบ กากอุตสาหกรรม เพื่อจำแนกประเภท กากอุตสาหกรรม ก่อนที่จะนำ กากอุตสาหกรรม ไปทำการกำจัดขั้นสุดท้าย ให้กับโรงงานอุตสาหกรรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเป็นจำนวนมาก โดยขณะนี้ สามารถให้บริการ การวิเคราะห์ทดสอบ ค่าการชะละลาย ของสารโลหะหนักในน้ำสกัด

นอกจากนี้ ยังได้ทำการศึกษาวิจัย ถึงการนำกากอุตสาหกรรม จากอุตสาหกรรม หล่อหลอมโลหะ มาใช้ประโยชน์ด้านการหล่อแข็ง กากตะกอนน้ำทิ้งที่ได้ จากการตกตะกอนน้ำทิ้ง จากการวิเคราะห์ซีโอดี ซึ่งน้ำทิ้งจากการวิเคราะห์ซีโอดีนี้ มีความเป็นพิษค่อนข้างสูง เนื่องจากมีสารโลหะหนัก ที่เป็นอันตรายได้แก่ ปรอทและโครเมียมในปริมาณสูง

ขณะนี้ทางกลุ่มงานสิ่งแวดล้อม ได้ทดลองทำการหล่อแข็ง กากตะกอนปรอทซัลไฟด์แล้ว พบว่า กากอุตสาหกรรม จากอุตสาหกรรมหล่อหลอมโลหะ สามารถตรึงปรอทซัลไฟด์ได้ โดยเมื่อเติมกากตะกอน ปรอทซัลไฟด์ 50 ไมโครกรัมต่อกรัมก้อนหล่องแข็ง ก้อนหล่อแข็งดังกล่าว ให้ค่าการชะละลายของปรอท อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและกำลังศึกษาการหล่อแข็ง โครเมียมไฮดรอกไซด์ หากการทดลอง ประสบผลสำเร็จ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาน้ำเสีย จากห้องปฏิบัติการได้ระดับหนึ่ง และยังสามารถใช้เป็นแนวทาง ในการบำบัดกากอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีปริมาณสารโลหะหนักสูง

ประโยชน์ที่ได้รับ

ใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้น เพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการจัดการกากอุตสาหกรรม ประเภทอื่น ๆ ลดปัญหามลพิษทั้งด้าน กากอุตสาหกรรมและด้านน้ำเสีย ที่เกิดขึ้นจากห้องปฏิบัติการ

หน่วยงานที่รับผิดชอบ กองฟิสิกส์และวิศวกรรม กรมวิทยาศาสตร์บริการ

จัดทำเป็นเว็บเพจโดย : www.thaienvironment.net