++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

fw : รู้เพื่อละ

เรามาปฏิบัติ ต้องเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตนี่เป็นหลักของมัน
ความซื่อสัตย์เรารู้จัก สุจริตเราก็รู้จัก
เมื่อไรถูกกิเลสมันครอบงำเราก็รู้จัก
บางทีมันคิดรังเกียจคนโน้นคิดรังเกียจคนนี้
หรือคิดไม่ชอบใจกับอารมณ์เหล่านั้น เราอย่าไปหันเหกับมัน
มันเป็นเรื่องธรรมดาของมันอย่างนั้น เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว
เราก็ต้องรู้จักว่าอันนี้มันไม่ชอบแล้ว
ถ้ารู้จักผิดแล้ว...มันคิดอย่างนั้นก็อย่าตามมันไปซิ อย่าปฏิบัติตามมันซิ
มันจะสั่งงานเราเท่าไรเราก็ไม่ทำตามมันเพราะรู้ว่ามันผิดแล้ว
นี่เรียกว่าคนซื่อสัตย์ อย่างคนมีศีล ๕ ประการ ศีล ๘ ประการ
ตั้งมั่นอยู่แล้ว เมื่อไปถูกอารมณ์มันดึงดูดไปที่ไหนเราก็ไม่ไปกับมัน

แต่ให้รู้จักการปฏิบัติธรรมะไม่ใช่ว่าจะไปเรียนให้รู้อย่างเดียวหรอก
ได้เรียนเราก็รู้จัก ไม่เรียนเราก็รู้จักถ้าเรามีสติอยู่ หูฟังเสียง
มันชอบใจไม่ชอบใจ นี่มันรู้จักแล้ว มันรู้เรื่องปฏิบัติแล้ว
เรื่องชอบใจไม่ชอบใจ อย่าเอาเข้ามาในใจของเรา
แต่ฟังแล้วก็ให้รู้เรื่องของมัน เรื่องชอบใจเรื่องไม่ชอบใจ
นี้คือหลักปฏิบัติ

ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติแล้ว มันรู้จัก
แต่คนเราเมื่อไปดูเรื่องที่ชอบใจแล้วก็จะเอา ถ้าไม่ชอบใจก็ไม่เอา
ถ้าไม่ชอบแล้วก็วุ่นวาย ถ้าชอบก็สบายไปหน่อย นี่คือปฏิบัติอยู่ในวงอวิชชา
มันผิดทั้งนั้นแหละ

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนน่ะ ชอบก็ไม่ให้เอา ไม่ชอบก็ไม่ให้เอา
ไม่มีชอบ ไม่มีไม่ชอบ ไม่มีรัก ไม่มีเกลียด เราเดินตรงเข้าไปหาสัจธรรม
ถ้ารู้จักแต่เรื่องบุญ เรื่องบาปฉันไม่เอา ฉันจะเอาบุญ
อันนี้มันเป็นตัวอวิชชาเหมือนกันนะ เรื่องไม่บาปไม่บุญทำไมไม่เดินเล่า
เรื่องที่ว่าไม่ดีไม่ชั่วทำไมไม่เดิน มันทางจะให้เราพ้นทุกข์
ความดีที่แท้จริงมันอยู่เหนือดี เหนือชั่ว มันอยู่เหนือผิด เหนือถูก

ฉะนั้น การปฏิบัติอย่าให้ออกจากใจของเรา
ให้ดูในใจของเราอย่าไปอาศัยข้างนอก เมื่ออารมณ์มากระทบ
มันก็เป็นพยานอยู่ในตัวแล้ว ไม่ต้องไปเรียนที่ไหนอีก... นี่คือภาวนา
จะต้องเรียนอย่างนี้ หาจิตที่แท้จริงจิตใจที่แท้จริง ก็เหมือนกับใบไม้
ใบไม้...ตามธรรมชาติของมันก็นิ่ง ๆ เราก็รู้จัก อีกเวลาหนึ่งมันกวัดแกว่ง
เพราะอะไร ? ... มันถูกลมมันจึงกวัดแกว่ง จิตถ้ามันรู้อารมณ์แล้วเป็นต้น
มันก็เป็นปกติของมัน ดูเท่านี้ก็พอแล้วไม่ต้องไปเรียนที่ไหน
มันจะถูกอารมณ์สักเท่าไรก็ช่าง เมื่อเรารู้ตามเป็นจริงแล้วมันก็นิ่ง
มันสบาย มัน สงบ มันระงับ

ดังนั้น การปฏิบัติให้เราเข้าใจของแยบคายในพุทธศาสนาของเรา
อย่างพวกเรานี้เป็นพระ เป็นเณร...ถามไปอีกทีหนึ่งว่า มันเณรจริงหรือเปล่า
มันเป็นพระจริงหรือเปล่า ถามตัวเองเข้าไปอีก ไปเห็นตัวจริงแล้ว
แหม...มันจะไปเร่ร่อนอยู่ในบ้าน มันไปคลุกคลีอยู่ในบ้าน

อย่างเรามาบวชในพุทธศาสนานี้ไม่ได้เสพกามแล้วเดี๋ยวนี้ก็เลยดีใจ
ฉันไม่ได้เสพกามแล้ว เลิกมาแล้ว อันนี้เป็นคำพูดของเราที่ติดปาก กันมา
แต่เมื่อเรามองเข้าไปอีกทีว่า...ใครเสพนี่ ? ตามันเห็นรูป
ถ้ามันยังเกลียดเค้า...มันก็ไปเสพเค้าอีก ถ้ามันชอบเค้า
มันก็ไปเสพเค้าอีก ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต
ถ้าไม่รู้เรื่องมัน...มันก็เสพทั้งหมด เดี๋ยวนี้
ทั้งพระทั้งเณรนี่...เสพกามอยู่นี้ ไม่ได้หนีจากกามหรอก ตาเห็นรูปผู้หญิง
มันชอบไม๊...มันเสพแล้ว นี่ จมูกดมกลิ่นมันหอม
ชอบมัน...เสพแล้วนี่...เสพแล้ว ยังเสพกามอยู่ ยังปล่อยวางอารมณ์ไม่ได้
เรียกว่ายังเสพกามอยู่ ที่ว่าเราเป็นพระนั้นสมมติขึ้นมาหรอก

แต่ก่อนเราก็เป็นโยมอยู่ เมื่อวานเราเป็นโยม วันนี้มาบวชเป็นพระ
ก็นึกว่าเราเป็นพระเป็นเณรแล้ว มันเป็นแต่รูปร่างน่ะ
ความเป็นจริงใจมันยังอยู่ตรงนั้น...ใจยังอยู่ เราต้องการตรงนั้น
ระวังตรงนั้นมันจึงถูก ตรงนั้นไม่ระงับมันก็เป็นไปไม่ได้ มันโลภ มันโกรธ
มันหลง มันเกิดมาจากตัวนั้น คือจิตอันนั้น
ถ้าระงับจิตไม่ได้ก็ไม่เป็นสมณะ
ตรงนี้พระศาสดาท่านว่าการปฏิบัติมันเป็นอย่างนั้น
ให้ดูภายในจิตของเจ้าของให้มันเห็น อย่างคนอื่นทำผิดเราก็ยกโทษเขาเรื่อย
ๆ ไม่หยุด เพราะเขาทำผิด ถ้าคิดไปอีกก็ดีส่วนหนึ่งเหมือนกัน แต่คิดเข้า
ไปถึงที่สุดแล้ว มันเรื่องของเขา เราจะไปแบกทำไม ? มันทุกข์...
เห็นไหมนั่น นาน ๆ เราก็เลยพ่ายตามเขาไปด้วย เห็นเขาผิดแล้ว
ก็ไปรื้อฟื้นขึ้นมา เห็นเขาผิด...ต่อไปเราก็ผิดอีก เพิ่มมันเข้าไป
อันนี้ต้องให้รู้จัก การปฏิบัติก็เหมือนกันอย่างนั้น

ศีล สมาธิ ปัญญา ผมเองพูดบ่อย ๆ แต่ว่าคงจะไม่เข้าใจ
หรือไม่เอาใจใส่เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา มันเป็นสามอย่าง
แต่ธรรมะผมพูดว่ามันเป็นอันเดียว เปรียบให้ฟัง มันเป็นอันเดียวยังไง
เหมือนมะม่วงใบนี้แหละมันเป็นใบเดียว แต่ว่ารสเปรี้ยวมันก็มี
รสหวานมันก็มี กลิ่นหอมมันก็มี รสทั้งหลาย
กลิ่นทั้งหลายเหล่านี้มันก็ออกมาจากผลไม้อันเดียวกัน ธรรมะนี่ก็เหมือนกัน
เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสาม แต่ความเป็นจริงอันนี้ไม่มีสามหรอก
เหมือนมะม่วงใบนั้น หวานก็เกิดมาจากนั้น หอมก็เกิดมาจากนั้น
เปรี้ยวก็เกิดมาจากนั้น มันแยกกันอยู่อย่างนี้
แต่ก็อยู่ในมะม่วงใบเดียวกัน

เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ ศีล สมาธิ ปัญญา
ถ้าเราพูดแล้วมันก็ดึงดูดความเห็นไปคนละอย่าง การปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน
ถ้าปฏิบัติสมาธิมันก็ถึงปัญญา ถึงศีลด้วย เราจับมะม่วงใบนี้ขึ้น ทั้งหวาน
ทั้งเปรี้ยว ทั้งหอม อยู่ใบเดียวกัน
แต่พูดถึงกลิ่นและรสคนละอย่างแต่อยู่ใบเดียวกัน อันนี้ธรรมะอันเดียว
เอโกธัมโม ธรรมมีอันเดียวเท่านั้น มีไม่มาก
คือจิตของเราที่มันเห็นชัดแล้ว มันก็วาง...ปล่อย หมดแค่นั้น
ที่เรามาทำอยู่นี้บางคนก็ลำบากหลาย คิดไม่ถึงทุกข์

บางทีก็นั่งสมาธิ ไม่อยากให้มันคิดอะไร ไม่อยากให้มันรู้อะไร
เดี๋ยวอันนั้นอันนี้มาดึงไปแล้วก็คุมมันไว้ อันนี้คือความเข้าใจผิด
ใครจะดึงไปที่ไหน ? ถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้วนะ ให้มันดึงไปเถอะ
เสียงก็ให้มันได้ยิน รูปก็ให้มันเห็น ให้มันรู้จักมันถึงจะมีปัญญา การยืน
การเดิน การนั่ง การนอน ถ้าเรามีสติสังวรสำรวมอยู่ทุกเวลา
นั่นแหละมันจะอบรมศีล... อบรมสมาธิ... แล้วก็อบรมปัญญา

เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้จักว่ามันทุกข์ ทุกข์นี่มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร
?...มันจะเห็นอะไรไม๊ ถ้าเราเห็นตามธรรมดามันก็ไม่ทุกข์
เช่นว่าเราอยู่อย่างนี้ ๆ เราก็สบาย อีกวาระหนึ่งเราอยากได้กระโถนใบนี้มา
ยกมันขึ้นมา...ต่างแล้ว...ต่างกว่า แต่ก่อนที่ยังไม่ได้ยกกระโถน
ถ้าไปยกกระโถนขึ้นมามีความรู้สึกว่ามันหนัก
มันเพิ่มขึ้นมา...มันมีเหตุหนัก มันจะเกิดเพราะอะไร
ถ้าไม่เพราะเราไปยกมัน ถ้าเราไม่ยกมันมันก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ยก...มันเบา
อะไรเป็นเหตุ...เท่านี้ก็รู้แล้ว ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน ถ้าเราไปยึดอะไร
อันนั้นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าเราปล่อยมันก็ไม่มีทุกข์

ทำไมเราไปยึดมัน ก็เพราะมันอยากถึงไปยึดมันมา มันก็หนักเท่านั้นแหละ
ไม่ใช่อื่นไกลหรอก เห็นชัดตรงนี้ การปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่า การยืน
การเดิน การนั่ง การนอน ให้มีอยู่เสมอ เราต้องแสวงหาศีล สมาธิ ปัญญา
ไปพร้อมกันเลย เมื่อบารมีเต็มมันก็เต็มพร้อมกัน

สัมมาทิฏฐิ...ปัญญาเห็นชอบ ทุกอย่างที่เป็นมรรคก็ชอบเต็มไปหมด
เหมือนมะม่วงมันแก่มันก็แก่หมดทั้งลูก มันพร้อมกันไปทั้งนั้น
มันห่ามมันก็ห่ามไปหมดทั้งลูก มันสุกมันก็สุกไปหมดทั้งลูก
เรื่องของมันเป็นอย่างนี้ มันไม่แยกกัน เราไปแยกมันออกก็เลยไม่รู้เรื่อง
มันจึงยุ่งยาก

ดังนั้น การปฏิบัติของเราก็คือให้มีสติควบคุมเสมอ ในการยืน เดิน นั่ง นอน
ให้รู้จักผิด รู้จักถูก อย่าไปมองดูข้างนอก ถ้าไปยึดข้างนอก มันจะลืมตัว
มันจะไม่เห็นตัว เราจะรักอันนั้น
เราจะรังเกียจอันโน้นเพราะจิตเราเป็นเหตุเป็นต้นตอ
ฉะนั้นเราจะต้องดูจิตอันเดียวเท่านั้น ถ้าเรารู้จักมันก็เป็นอย่างนั้น

ถ้าเราอยากจะรู้ของแน่นอน
พระพุทธองค์ท่านสอนให้พิจารณาร่างกายตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาศีรษะ
ศีรษะไปหาปลายเท้า ให้เห็นชัดว่า ก้อนนี้มันเป็นอย่างนั้น
ก้อนอื่นนอกนี้ก็เป็นอย่างนี้ ไม่แปรไม่เปลี่ยน
ฉะนั้นการปฏิบัติของเราท่านจึงให้อบรมศีล อบรมสมาธิ อบรมปัญญา
มันไปพร้อมกัน ศีลมันสามัคคี สมาธิก็สามัคคี ปัญญาก็สามัคคีพร้อมกัน
เหมือนมะม่วงใบนี้น่ะมันจะดิบ มันก็สามัคคีกันดิบ
มันจะห่ามมันก็สามัคคีกันห่าม มันจะสุกมันก็สามัคคีกันสุก
เพราะมะม่วงใบเดียวกัน ฉันนั้น การปฏิบัตินี้ก็เหมือนกัน

บางคนก็ไปนั่ง ไม่อยากให้มันรู้อะไร ให้มันเงียบ ๆ
เหมือนเอาอะไรไปครอบไว้ไม่ให้รู้เห็นอะไร มันจะเกิดประโยชน์อะไรไม๊
ที่เราเข้าไปนั่งสงบนั้นไม่ใช่สงบกิเลส
แต่มันทำจิตให้สงบชั่วคราวเท่านั้นแหละ เหมือนเรานั่งอยู่นี่ หายใจสบาย ๆ
นะ สบายแต่เดี๋ยวนี้ อีกต่อไปเราลองเอาประคตเอวมารัดคอให้มันแน่น รัดเข้า
ๆ ... ไอ้ความสบายมันจะไม่ค่อยมี ความไม่สบายมันจะเพิ่มเข้ามา
จนหายใจน้อย ๆ ทนทุกข์ทรมานอยู่นานพอสมควร
เราก็เอาประคตออกเลือดมันก็วิ่งสม่ำเสมอ มีความรู้สึกสบาย

แต่ว่าเมื่อเอารัดเข้าไปมันก็ทุกข์ตรงนี้อีก
พอระบายทุกข์ออกถึงที่เก่ามันก็นึกว่า เออ...อันนี้มันสบาย แค่นี้น่ะดูซิ
ก่อนจะสบายมันทุกข์ก่อนเกือบตาย เราไม่ตายเห็นจะไม่รู้จักนะ
มันสลัดกันตรงนี้แหละ เราไปหลงอารมณ์ตรงนั้นแหละ เมื่อปล่อยประคตเอวออก
ความสบายก็อยู่แค่นี้แหละ แต่เมื่อเราหยุดแค่นี้เราก็นึกว่าสบายแล้ว
ก็อยากสบายให้ยิ่งไปกว่านี้ นี่ของอันเก่านะ เราสำคัญผิดเท่านั้น
การปฏิบัตินี่ก็เหมือนกันฉันนั้น

จะอยากให้มันเป็นยังไง อยากจะไปนั่งไม่ให้มันมีอะไร ไม่ให้คิดอะไร
ไม่ให้นึกอะไร...อันนั้นมันบาปหลายแล้ว...มันบาปหลาย
ไอ้ความคิดที่ว่ามันไม่ดี อารมณ์ที่มันไม่ดี
ถ้าเรารู้มันแล้วมันก็เกิดปัญญาเท่านั้น อันนั้นแหละตัวสำคัญ
ไอ้คนนี้พูดไม่ถูกหูเราเราไม่ชอบใจ อยากจะหนีมันไป
นี่แหละตัวสำคัญแล้วนี่ ต้องให้เราปฏิบัติให้รู้ตัวของเราแล้ว
เพราะเรามันหลงนี่ หลงเพราะอะไร ? เพราะเราไม่ชอบก็หนีไป อันนี้มันไม่พ้น
ถ้าเราไปอีก ไปพบเสียงอันนี้อยู่ข้างหน้าอีก เราก็ไม่ชอบใจอีก...ไปอีก
มันก็ตายเปล่า ๆ เท่านั้นแหละ มีความสงบ ไม่มีความสงบ ต้องให้รู้มัน

เราปฏิบัติให้รู้จัก อย่าไปขังตัวของเรา
ถึงสงบขนาดไหนก็อย่าทิ้งความรู้สึก
ถ้าทิ้งความรู้สึกมันก็เป็นบ้า...ให้มีความรู้ตัวของมัน...เรียกว่าพุทโธ...เราอย่าไปบ่นแต่ปากของเราเท่านั้น
แต่ให้มันถึงจิตของเจ้าของ การปฏิบัติต้องเป็นอย่างนั้น บางคนนั่งไม่สงบ
ไม่คิดอย่างนั้นก็ไปอย่างนี้ ก็ว่ามันไปแล้ว ฉันก็ไปดึงมันมา
มันไปอีกก็ไปดึงมาอีก เลยเป็นบ้า ใครดึงใครก็ไม่รู้
ใครไปใครมาก็ไม่รู้...ไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครไปใครมาหรอกนั่น
จะมีใครมาใครไปเล่า...ดูให้มันดี ๆ ตรงนั้น

อย่างที่ผมพูดใบไม้ปกติของมันมันนิ่ง ถ้ามันกวัดแกว่ง เพราะอะไร ?
ลมมาถูกมัน จิตใจของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันฟุ้งซ่านรำคาญกวัดแกว่ง
ก็เพราะถูกอารมณ์ ถ้าจิตแท้ ๆ แล้วมันนิ่งอยู่อย่างนั้น
สว่างอยู่อย่างนั้น รู้อยู่อย่างนั้น อันนี้เราเข้าใจผิดกัน
จะต้องให้มันรู้จัก ให้สังวรสำรวม ให้รู้จักว่ามันผิดมันถูก ผิดก็รู้
ถูกก็รู้ มันจะคิดผิดขนาดไหนก็ช่าง เรารู้ว่าอันนี้มันคิดผิด เข้าใจผิด
ไม่ให้มันดึงดูดเราไปได้ แล้วก็กลับมาตรงนี้ เพราะมันมั่นอยู่แล้ว
ไม่ให้มันขาดจากนี้ไป แค่นี้ก็เป็นสังวรศีลแล้ว ก็เป็นสมาธิแล้ว
ปัญญาก็จะเกิดขึ้นมา

ทำอันนั้น...หลับตา ก็ไม่ผิดหรอก แต่ให้รู้จักเวลาพอสมควร
นั่งไม่รู้ไม่เอา ต้องให้รู้จักหายใจเข้า-ออก...รู้...เข้าไปบ่มไว้
อะไรผ่านเข้ามา รู้จักหมดทุกอย่าง ออกจากที่นี่ก็มีสติ
เดินไปตาเห็นรูปก็รู้จัก หูฟังเสียงก็รู้จัก รู้จักทุกสิ่งทุกอย่าง
รู้จักผิด รู้จักถูก เมื่อรู้จักผิด รู้จักถูกแล้วก็พยายามละมัน
ให้มันไปเหนือกว่านั้นอีก จนกว่าใจของเราไม่มีผิด
ไม่มีถูก...เหนือแล้วนี่ คือเราปล่อยวางมันเสีย ให้รู้จักอย่างนั้น
นี่เรียกว่าการปฏิบัติของเรา...

ธรรมโอวาทของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) แสดงแก่พระเณร
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น