++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

เจาะใจ "อ๊อด คีรีบูน" อดีตซูเปอร์สตาร์ ทิ้งความดังไปตกอับ ก่อนสู้จนมีธุรกิจไอเดียตัวเอง

เจาะใจ "อ๊อด คีรีบูน" อดีตซูเปอร์สตาร์ ทิ้งความดังไปตกอับ
ก่อนสู้จนมีธุรกิจไอเดียตัวเอง


"อ๊อด คีรีบูน" ต้นตำรับบอยแบนด์รุ่นเดอะ จากเด็กหนุ่มคลั่งในเสียงเพลง
ก้าวสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ ดังเกินจนหวิดตายเพราะแฟนเพลงมาแล้ว
หลังประสบปัญหารายได้สวนทางความดัง ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากวงการ
ก้าวสู่เส้นทางความฝันทำธุรกิจสื่อการเรียนการสอน และยังมีความฝันต่อ
อยากปฏิรูปการศึกษาไทยให้ดีกว่าเดิม

หากเป็นเด็กรุ่นใหม่อยู่ในยุคนิยม hi5, Facebook
หรือแม้กระทั่งแชตผ่าน BB (Blackberry) คงรู้สึกงง
เมื่อเอ่ยชื่อวงสตริงคอมโบนาม "คีรีบูน" แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ในวัย 30 อัพ
รับรองยังคงติดหูติดใจไม่หาย กับบทเพลงของวง "คีรีบูน"
ที่เปรียบเสมือนวิหคแห่งเสียงเพลง คอยขับกล่อมจิตใจคนไทยมานาน
ไม่ว่าศิลปินกี่ยุคต่อกี่ยุคนำเพลงฮิตของวง "คีรีบูน" มาร้อง
บทเพลงก็ยังคงไพเราะ และฮอตฮิตติดตราตรึงใจผู้ฟังมาโดยตลอด

วันวานวันนี้จึงขอร่วมย้อนอดีตเจ้าของต้นตำรับบทเพลง
"รอวันฉันรักเธอ" ผู้ที่มีเสียงอันไพเราะนุ่มลึกจนได้ฉายาลูกคอ 7
ชั้นแห่งวงการเพลงไทยยุค 80 "อ๊อด รณชัย ถมยาปริวัฒน์"
หรือที่รู้จักกันในนาม "อ๊อด คีรีบูน"

ด้วยพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด
ทำให้เด็กชายผู้ที่รักในเสียงเพลงมาตั้งแต่เด็ก
สามารถกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ดังได้ในช่วงเวลาข้ามคืน หลายคนอาจมองว่า
เส้นทางบนโลกมายาแห่งนี้ เป็นสิ่งสวยงาม
สามารถสร้างเม็ดเงินทำกำไรให้ได้อย่างมหาศาล แต่สำหรับ "อ๊อด คีรีบูน"
กลับคิดตรงกันข้าม ทุกวันนี้เขาเลือกเฟดตัวเองออกจากวงการ
และอยู่กับเสียงเพลงไปพร้อมๆ กับตอบแทนสังคม
ด้วยการค้นคว้าหลักสูตรสร้างสื่อการเรียนการสอน
เพื่อจะได้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

"ในอดีตผมเป็นเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝัน มีฮีโร่
มีไอดอลของตัวเอง ในยุคนั้นก็จะเป็นวงชาตรี วงดิ อิมพอสซิเบิ้ล
ผมคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์อย่างหนึ่งที่ติดตัวมา ผมเล่นดนตรี
และแต่งเพลงมาตั้งแต่ชั้นป.7 เราก็หาลู่ทางไปประกวดตามรายการวิทยุต่างๆ
หลังจากนั้นก็มีแมวมองมาชักชวนไปอัดเสียง
ตอนนั้นก็อัดกันเล่นๆปรากฎทางบริษัทอาร์เอสได้มาฟัง
เขาเลยชักชวนเราเข้าไปอยู่ในสังกัดในยุคแรกๆ ประมาณปี 2526
ซึ่งช่วงนั้นก็จะมีวงฟรุ๊ตตี้ และวงเรนโบว์ ที่มาพร้อมๆ กัน"

"แต่ ตอนนั้นวงคีรีบูนจะดังออกนอกหน้ากว่า
ถ้าเทียบกับตอนนี้คีรีบูนก็เหมือนวงบอยแบนด์วงหนึ่ง เคยมีคนอธิบายว่า
ความดังของวงคีรีบูนจะเหมือนยุคที่วง D2B ดัง เผลอๆ
เราดังกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะตลาดเรากว้างกว่า
วงเราร้องทั้งเพลงเก่าและใหม่ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงโด่งดัง
เพราะเราเป็นคนรักเสียงเพลง ชอบร้องเพลง ชอบแต่งเพลง
เรารักในศิลปะมากกว่าที่จะใช้มันทำมาหากิน และ
ถือเป็นความโชคดีที่ครั้งหนึ่ง
มันทำให้เรากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ในยุคหนึ่ง
เราสามารถช่วยทำให้บริษัทที่เคยมีหนี้สินล้นพ้นรอดพ้นจากวิกฤตตรงนั้นมาได้
แล้วเขาก็เติบใหญ่มาได้ ณ วันนี้"

เผย ช่วงดังสุดขีด เจอแฟนเพลงรุมทึ้งจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ยี่ปั้วต้องมาที่ค่ายตั้งแต่ตี 4 เพื่อซื้อเทปไปขาย
และมีค่ายหนังรุมจ้างให้ไปเป็นพระเอก

"ครั้งแรกที่ผมมีโอกาสขึ้นเวทีโลกดนตรี สห.ไม่ค่อยให้ความสนใจ
เพราะเขาไม่รู้จักว่าวงนี้คือวงอะไร เราเองก็มองปฏิกิริยาของผู้ชม
เออ...มีคนมองเราเยอะจัง แล้วทำเป็นค่อยๆ เข้ามาทีละคนสองคน
จากสองคนกลายเป็น 4-5 คน แล้วก็กลายเป็น 10-20-30 โอ้
โหทีนี้เริ่มมีคนกล้าที่จะดึงแขนเรา เริ่มดึงเริ่มทึ้งจนผมเซถลา
ผู้ชมกว่า 30 คนก็มาล้มทับเรา วันนั้นผมคิดว่าชีวิตมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
เลย ความเป็นกับความตายมันอยู่ระหว่างฝ่ามือ
ที่เขาบอกว่าคนตายเพราะถูกทับ ถูกเหยียบกันผมก็คือสภาพนั้นเลย
ตอนล้มเหมือนมีดาวขึ้นรอบหัว (หัวเราะ) มันเลยทำให้เรารู้ว่า
ตอนนี้เราเริ่มดังแล้วนะ ความดังมันเป็นอย่างนี้นี่เอง"

"ช่วงที่ดังสุดคงเป็นอัลบั้มชุดที่ 2
ตอนนั้นพวกยี่ปั้วต้องมารอที่หน้าบริษัทตั้งแต่ตี 4
เพื่อที่จะมาแย่งกันซื้อเทปไปขาย
เพราะถ้าขืนไปรอส่งเดี่ยวจะถูกตัดหน้าได้"

"และช่วงนั้นมีหลายค่ายมาทาบทามให้ผมไปเล่นหนังด้วย
ตอนที่เขาติดต่อมาให้ไปเป็นพระเอก ผมก็บอกว่าไม่เอา
เพราะเราคิดว่าเราไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนหล่อ แต่
ความดังในยุคนั้นพร้อมที่จะผลักให้ผมกลายเป็นพระเอก
มันเหมือนเราถูกตบหน้ายังไงก็ไม่รู้ เหมือนเขาดูถูกเรา เพราะวันนี้คุณดัง
ผมเลยอยากได้คุณเป็นพระเอก
สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมปฎิเสธที่จะเล่นหนังมาโดยตลอด
อีกอย่างเราอยากเอาเวลามาทุ่มเทให้กับการคิดเพลงมากกว่า"

"จนกระทั่งอาร์เอสมาขอร้อง เรียกว่าถูกคะยั้นคะยอจริงๆ
ให้ผมเล่นเรื่อง ความรักของคุณฉุย
คือผมเป็นคนค่อนข้างเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่เลยยอมเล่น
ดีที่หนังยังประสบความสำเร็จ อาจเป็นเพราะเป็นหนังลงทุนน้อย
แล้วขายต่างจังหวัดซะเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีคนบอกว่า อ๊อด คีรีบูน
สมัยก่อนเหมือนแย้ เพราะผอมมาก คือมันตรากตรำจริงๆ ทั้งเล่นดนตรี
ทั้งงานในวงการบันเทิง พร้อมกับเรียน
ซึ่งผมก็สามารถเรียนจบทันกำหนดได้ภายใน 4 ปี"

ถึงจะดังแต่ยังมีความพอเพียง นั่งรถเมล์ไปเรียนหนังสือ
จนรู้สึกขาดความเป็นส่วนตัว ถึงได้ยอมควักเงินซื้อรถ

"แม้จะดังแค่ไหน แต่นิสัยผมที่เป็นคนพอเพียงอยู่แล้ว
จำได้ว่าตอนออกเทปชุดแรก ผมยังนั่งรถเมล์ไปมหาวิทยาลัยอยู่เลย
เนื่องจากครอบครัวเราเป็นครอบครัวระดับกลางไปถึงล่าง
เราก็เลยยังใช้ชีวิตปกติของเรา มีวันหนึ่งขึ้นรถเมล์ไปเจอเด็กพาณิชย์
เขาก็ร้องเรียก พี่อ๊อด คีรีบูน เราก็คิดในใจโอ๊ย...ตายแล้ว
ความดังเริ่มทำให้เราไม่มีความเป็นส่วนตัว
หลังจากวันนั้นเลยตัดสินใจซื้อรถ แต่รถผมจะเป็นรถธรรมดา ราคาประมาณ 2
หมื่นกว่าบาทในสมัยนั้น เรียกว่าเป็นรถที่โกโรโกโสที่สุดในรั้วจุฬาฯ"

"ทาง อาร์เอสก็เสนอมาว่าจะเอาบีเอ็มฯ มั้ย ผมก็บอกว่าไม่เอา
ผมพอใจในสิ่งที่ผมมีนี่แหละ ถ้าเราเอาตอนนั้นหมายความว่า
เราต้องเป็นทาสบริษัทอย่างถอนตัวไม่ขึ้นน่ะสิ เพราะเขาจะดาวน์รถให้
แล้วเราต้องเอาไปผ่อนต่อ อีกหน่อยต่อไปเราก็ต้องรักษาหน้าตาตัวเอง
เหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ ผมเลยไม่ยอมเอา
เราก็ขับรถของเราไปดีกว่า"


แม้ ยอดเทปจะขายได้ถล่มทลายเป็นหลักล้าน
แต่รายได้สวนทางกับความดัง
เป็นเหตุทำให้คิดลาวงการเพื่อไปประกอบอาชีพตามที่ได้ร่ำเรียนมา
แต่ถูกต้นสังกัดฉุดรั้งตัวไว้ จึงฝืนใจทำต่อ ทั้งๆ
ที่ไม่มีความสุขในการร้องเพลงแล้ว

"จริงๆ เราเองก็น่าจะมีโอกาสได้ซื้อรถดีๆ กว่านี้
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น กล้า
พูดเลยว่าตอนนั้นเราดังแต่รายได้เราไม่ดี
แล้วเราต้องเอารายได้มาหารกับสมาชิกในวง มันยิ่งต่ำลงไปใหญ่
เรียกว่ารายได้สวนทางกับความดัง
ผมเลยตัดสินใจเดินเข้าไปบอกบริษัทตั้งแต่อัลบั้มชุดที่ 2
ซึ่งเป็นชุดที่ผมดังที่สุดว่า ขอเลิกจากการใช้ชีวิตเป็นนักร้อง
เพราะในอดีตเราเองก็ไม่ได้มีความตั้งใจอยากจะเป็นดารา
หรืออยากเป็นคนดังอยู่แล้ว"

"ตอน นั้นรู้สึกพอดังแล้วชีวิตไม่เห็นคุ้มค่าเลย
เมื่อก่อนนั่งรถเมล์ยังมีเงินเหลือเก็บ แต่พอมาเป็นดาราต้องซื้อรถ
และยังมีค่าใช้จ่ายในสังคมต่างๆ เวลาใส่ซองใส่น้อยเขาก็ดูถูกเอาได้
เรารู้สึกว่ามันไม่เศรษฐกิจพอเพียงแล้ว แต่ทางบริษัทไม่ยอม
เพราะเรากำลังดังทำเงินให้เขา เขาก็ใช้เทคนิคหว่านล้อมเรา
จนเรามีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ก็เลยทำต่อเรื่อยมาจนถึงชุดที่ 5
ตอนนั้นเรียกว่าเราอยู่ด้วยความรู้สึกเกรงใจ อยากจะช่วยเหลือเขามากกว่า
แต่ถามว่ามีความสุขในการทำงานมั้ย ไม่มีหรอก"

"สิ่ง ที่ทำให้ผมตัดสินใจเลิกจริงๆ
คือคำคำนึงที่พระอาจารย์ที่ผมนับถือพูดกับผมว่า
อ๊อดนี่ด้านนึงก็เป็นคนดีนะ ทำให้คนมีความสุข
แต่อีกด้านนึงมันคือทำให้คนหลง
โอ้โห...คำนี้เหมือนเอามีดมาปักลงไปในกลางใจ แบบค่อยๆ ทิ่มค่อยๆ
ลึกเข้าไปตรงกลางใจ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึง
ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายๆ เลยว่าจะเลิก อยากเลิกแล้ว"

"ตลอดเวลาที่ผมทำอัลบั้มมา ผมตั้งคำถามกับตัวเองตลอดว่า
เราดังแล้ว เราได้อะไรจากความดังบ้าง ชีวิตคุ้มไหม ปรากฏคำตอบที่เราได้
คือชีวิตมันไม่คุ้มกับสิ่งที่เราต้องสูญเสียไป ความเป็นส่วนตัว
ชีวิตวัยรุ่นในรั้วมหาวิทยาลัย ที่มันควรจะมีอะไรสนุกกว่านี้
เราเอามาแลกกับเงินที่ได้มาเพียงน้อยนิด
สิ่งที่มันฝังเรามามันคือความไม่คุ้มค่า ด้วยครอบครัวเราเป็นคนพื้นๆ
พ่อแม่เราก็ยังไม่สุขสบาย ยังต้องลำบากอยู่
ซึ่งเราเองไม่สามารถไปช่วยอะไรเขาได้ ได้แต่มองตาปริบๆ
เลยมีความรู้สึกว่าหยุดดีกว่า"

"อีกอย่างครอบครัวผมก็ไม่ได้สนับสนุนให้มาเอาดีทางด้านนี้อยู่แล้ว
เขาอยากให้เราไปมีอาชีพที่มั่นคง พอเขาเห็นเราเรียนจบปริญญา เขาก็ดีใจ
คิดว่าเราจะเอาความรู้และชื่อเสียงที่พอมีอยู่ ไปเข้าทำงานประจำ
อย่างรับราชการหรือทำงานแบงก์ แต่ผมตอบกับตัวเองว่า ผมไม่ใช่คนแบบนั้น
ผมเป็นคนที่ค่อนข้างตรง อยู่กับอะไรที่ไม่ถูกต้องไม่ได้
โดยเฉพาะถ้าเจอผู้ใหญ่แล้วทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราจะรับไม่ได้
ก็เลยบอกกับตัวเองว่า เราคงทำงานเป็นลูกน้องใครไม่ได้แน่ๆ เราคงทนไม่ได้
ถ้าต้องเจอคนไม่ดี แล้วเราจะต้องหลับตาข้างนึง"

ชีวิตหลังแยกวงมาเป็นศิลปินเดี่ยว
ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนเมื่อครั้งเป็นวงบอยแบนด์
ซึ่งตนก็พยายามค้นหาตัวเองจนมาปิ๊งไอเดีย ทำสื่อการเรียนการสอนสำหรับเด็ก

"หลังออกจากอาร์เอส เราก็แยกมาทำอัลบั้มเดี่ยวเพื่อเลี้ยงชีพ
ก็ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง ขาดทุนบ้าง เจ๊งบ้าง
ตอนนั้นผมเอาเพลงไปเสนอค่ายอื่นด้วย ทำค่ายเองด้วย
แต่ด้วยความที่ความสดในจิตใจเรามันถูกทำลายไปพอสมควร
ภาษาเพลงของเราก็เริ่มที่จะหมองลงโดยที่เราไม่รู้ตัว
แต่คนฟังจะรู้สึกและสัมผัสได้"

"ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เราอยากทำจริงๆ มันคืออะไร
เราต้องหาทางที่จะเดินต่อไป สิ่งที่ผมได้คำตอบคือ
ผมอยากทำอะไรที่ให้กับคน มันเลยมาปิ๊งไอเดียว่า
ครั้งนึงเราเคยทำการศึกษาช่วยเด็กๆ วันนั้นเรามีความสุขจังเลย
ร้องเพลงมันก็แค่ทำให้คนลุ่มหลง
เราก็เลยหันมาทำงานด้านการศึกษาอย่างจริงจัง"

เผยวิกฤตชีวิตช่วงทำสื่อการเรียนการสอน สุดแสนลำบาก
เจ๊งไม่เป็นท่า ตกอับถึงขนาดหากลงจากรถไปกินหญ้าได้ คงจะทำไปแล้ว

"ชีวิตในเชิงธุรกิจแรกๆ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ตอนนั้นทำเพลงด้านการศึกษาออกไปแล้วเจ๊ง แต่เรามีความรู้สึกว่า
ในระหว่างที่เราทำมีความสุข รู้สึกว่าชีวิตเรามีพลังมากเลย
เราเลยพยายามคิดค้นกระบวนการต่อไปว่า เราจะอยู่ตรงจุดนี้ได้อย่างไร
โดยที่ไม่หันหลังให้กับมัน เพราะทำกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เจ๊ง
เรียกว่าตัวเงินแทบจะไม่ค่อยได้เห็นกันเลย"

"ช่วง นั้นถ้าสามารถจอดรถข้างทางแล้วลงไปกินหญ้าได้
คงลงไปกินแล้วล่ะในยามที่หิว (หัวเราะ) บางทีเงินในกระเป๋าไม่มีเลย
อย่างไปกัน 2 คนจะลงไปกินข้าว แต่เรามีเงินสำหรับ 1 คนเท่านั้นที่ได้กิน
เราก็เลยเปลี่ยนเป็นซื้อน้ำทาน ประทังความหิวเพื่อจะกลับให้ถึงบ้าน
แล้วค่อยไปหาอะไรรองท้องที่บ้าน ผมเคยเป็นถึงขนาดนั้น
แต่สิ่งนึงที่ทำให้เรายังยืนหยัดต่อคือ
เราทำแล้วตาเป็นประกายและมีความสุข"

หลัง จากเจ๊งไม่เป็นท่าหลายครั้ง
เจ้าตัวเลยใช้ลูกบ้าผันตัวเองลองมาเป็นครูสอนเด็กอนุบาล
เพื่อค้นคว้าหาหลักสูตร ซึ่งใช้เวลา 8
ปีในการพัฒนาหลักสูตรกว่าจะประสบความสำเร็จ

"ที่เรามาเป็นครูเพราะตั้งใจมาเอาประสบการณ์
เราจะมาสร้างเทคนิควิธีการ ที่ไม่น่าจะมีใครเหมือนและไม่น่าจะเหมือนใคร
ด้วยความที่เราไม่มีพื้นฐานด้านนี้เลยงงๆ
ผมก็เลยเลือกที่จะไปงงกับเด็กอนุบาล เหมือนเริ่มต้นไปพร้อมๆ กับเขาด้วย
แต่พอเป็นครูอนุบาลจริงๆ กลับกลายเป็นด่านอรหันต์ เป็นด่านที่ยากมาก
เพราะการสอนเด็กเล็ก เราไม่สามารถใช้คำพูดที่เยอะได้ในการอธิบาย
เด็กจะงงๆ แต่พอพูดน้อยๆ เด็กก็ไม่เข้าใจ"

"มันเลยทำให้เราต้องคิดว่าจะใช้กระบวนการยังไงถึงจะทำให้เขาเกิดความ
สนใจได้ด้วยตัวเขาเอง ซึ่งเทคนิควิธีตรงนี้แหละที่ผมใช้เวลากับมันถึง 8
ปี ผม กล้ายืนยันได้เลยว่า ไม่มีใครที่จะมาบ้าเท่าผมแล้ว
ในระหว่างที่สอนผม ทิ้งดนตรีที่เป็นสิ่งที่ผมรักออกไปเลย
ผมเลือกที่จะทำมันอย่างจริงจัง เรียกว่าตอนนั้นกินแกลบก็กินแกลบวะ"


"เวลาไม่มีเงินผมก็จะไปร้องเพลงยังชีพตามร้านคอฟฟีชอป
หรือตามต่างจังหวัด พอให้เป็นทุนอยู่ได้ เขามาจ้างเราให้ไปร้องอาทิตย์นึง
เราก็นับบวกลบคูณหารแล้ว เออ..เราอยู่ได้ก็โอเค
เพราะลำพังอาชีพครูอย่างเดียวผมก็อยู่ไม่ได้ แต่เราก็ต้องทน
ทนเพื่อที่จะปั้นให้การศึกษาที่เราวาดฝันเอาไว้
มันเกิดขึ้นเหมือนในความคิดเรา"

"กว่า จะมาถึงวันนี้ได้ ผมต้องบอกเลยว่าเราต้องเอาจริง
ต้องมีลูกบ้า ลูกฮึด ถามว่าท้อมั้ยในการทำ
บอกเลยว่าท้อไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่พอท้อก็ปล่อยให้มันท้อ
แล้วเดี๋ยวความท้อมันก็จะหมดไป ขออย่างเดียวคือ อย่าถอย"

"ในเวลา 8 ปีผมทั้งสอน คิดค้นหลักสูตรและทดลองทำไปด้วยพร้อมๆ กัน
ก็คิดค้นกระบวนการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเป็น คีรีบูน จีเนียส มิวสิค
ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จะสอนให้เด็กเป็นนักคิด นักบริหารตั้งแต่อนุบาล
สร้างภาวะผู้นำโดยใช้ดนตรีเป็นตัวหลอกล่อ เด็กจะเก่งดนตรี
โดยที่เขาจะมีนิสัยเป็นคนช่างสังเกต เขาจะเปิดนิสัยแบ่งปัน ทำงานว่องไว
เขาจะเกิดนิสัยในการอ่านใจคนอื่น และก็อ่านใจตัวเอง
และรู้จักประเมินสถานการณ์ นี่คือการสร้างคนจากกระบวนการดนตรีของผม"

"ตอนนี้ผมทำหลักสูตรมาร่วม 10 ปีแล้ว
รู้สึกว่าเอเอฟเพิ่งจะมาถึงรุ่นปีที่ 6 แต่ผมทำมาก่อนเอเอฟอีก
ครูของผมทุกคนต้องมาเวิร์กชอป จับสลากมาแสดงการสอนของแต่ละสัปดาห์
ก็ให้เขาออกมาสอนให้ดูแล้วเราเองจะเป็นคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า
แบบนี้คุณพูดเยอะไป ทำไมคุณไม่เปลี่ยนคำพูดเป็นอย่างนี้
เด็กจะเข้าใจมากกว่าเยอะเลย นี่คือกระบวนการจัดการภายในของผม
ซึ่งผมจะมีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรของผมด้วย"

ฝันต่ออยากปฎิรูปการศึกษาแนวใหม่
ทำสื่อการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์
แต่ตอนนี้ทำได้แค่เพียงเป็นวิทยากรให้ความรู้กับครูท่านั้น

"ความสุขของผมคือการที่ได้สัมผัสเด็กๆ
และผมได้สร้างงานพัฒนาหลักสูตรสำหรับเด็กในแต่ละวัย
ตอนนี้กำลังมีฝันที่อยากทำเหลือเกิน คือ เราทำดนตรีสำเร็จมาในระดับนึง
แต่เรามองเห็นปัญหาของประเทศก็คือ
เด็กยังมีปัญหาในเรื่องของการเรียนการสอน
ในเรื่องของวิชาการที่สำคัญอย่างเช่น วิชาคณิตศาสตร์
ผมอยากจะทำกระบวนการออกมา เพื่อที่จะทำให้เขาสนุกกับวิชาคณิตศาสตร์
และมีความรู้สึกว่ามันช่างง่ายนิดเดียว"

"แต่ตอนนี้ผมทำได้แค่เป็นวิทยากรให้กับครูที่สอนตามราชภัฏ
หรือจุฬาฯ เพื่อให้เขาเข้าใจการเรียนการสอน
ในเรื่องของธรรมชาติของเด็กได้อย่างถูกหลักวิชาการ
และถูกหลักการเรียนการศึกษา ผมทำได้แค่ไปให้ความรู้เขา
อย่างเป็นรูปธรรมเท่านั้น"

"ถามว่าธุรกิจการศึกษาของผมเป็นเชิงพาณิชย์มั้ย มันจำเป็นครับ
ผมก็ต้องตอบว่าใช่ แต่ธุรกิจของผมไม่ได้ไปเอาเปรียบสังคมเลย
เพราะค่าใช้จ่ายมันถูกลงมากว่า 6-7 เท่า แต่สาระที่เด็กๆ
จะได้มันมากมายเลยทีเดียว ผมเองก็ไม่ต่างอะไรกับแม่ค้า
ที่ขายกับข้าวอยู่หน้าปากซอย ผมต้องทำพะโล้หม้อใหญ่ๆ
และต้องขายคนจำนวนมากทั้งซอย กว่าผมจะได้กำไรแค่นิดนึง"

ยอมรับได้รับผลกระทบ ถูกบางโรงเรียนเลิกจ้าง
หลังขึ้นเวทีพันธมิตรฯ
แต่ไม่ท้อเพราะคิดว่าได้ทำสิ่งที่ดีสำหรับประเทศไทยแล้ว

"ในความรู้สึกผมอะไรที่ทำแล้วเป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศ ผมอยากทำ
อย่างคนที่ตัดสินใจขึ้นเวทีพันธมิตรฯ
ผมถือว่านี่คือสุดยอดของบุคคลที่เสียสละแล้ว
ยอมรับว่าหลังจากที่เราไปขึ้นเวทีก็มีผลกระทบกับเราบ้าง
ผมไม่สามารถไปรับงานได้อย่างกว้างขวางเหมือนก่อน ครอบครัวผมก็หวาดหวั่น
เพราะผมแสดงตนขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แต่ผมคิดว่ามันก็ต้องแลก
อย่างเรื่องงานก็มีกระทบบ้าง
ทางโรงเรียนหรือว่าผู้ปกครองมีบางที่ที่บอกเลิกจ้างเรา
แต่เป็นส่วนน้อยมาก ก็ถือว่าเป็นโชคดีไป
ซึ่งเราเองก็ต้องยอมรับกับสิ่งนั้น"

มองวง การปัจจุบันเดี๋ยวนี้ศิลปินขายหน้าตามากกว่าผลงาน
ศิลปะเป็นไปในเชิงแสวงหารายได้มากกว่าจรรโลงจิตใจ
แนะศิลปินหน้าใหม่ลองถามตัวเอง ได้อะไรจากการเป็นซูเปอร์สตาร์

"ศิลปินสมัยก่อนเขาขายผลงานกัน ไม่ได้ขายหน้าตาอย่างสมัยนี้
มีคนเคยบอกว่าเวลาคนดังแล้วจะมีราศีจับ
ซึ่งผมมองว่ามันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
เพราะผมรู้ตัวดีว่าไม่ได้เป็นคนหน้าตาดีอะไรเลย ที่เราดังมาได้
มันดังมาจากผลงานของเราจริงๆ"

"ผมมองว่าวงการนี้อาชีพนี้จะก้าวหน้าไปในเชิงการตลาด
แต่ในเชิงศิลปะผมว่าตอนนี้มันถอยหลัง
ในสมัยผมมันยังมีอะไรที่มีความคิดสร้างสรรค์ ศิลปินนี่เป็นศิลปินจริงๆ
แต่ทุกวันนี้ผมมองเห็นแค่เพียงนักร้อง เพราะฉะนั้น
ศิลปะที่มันออกมาจากข้างใน
มันก็เลยถูกกำหนดโดยตัวการทำงานของฝ่ายเขียนเพลง
คนทำดนตรีที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านดนตรีเท่านั้น
แล้วก็ป้อนเพลงมาให้นักร้อง"

"ผมอยากเห็นบริษัทที่เปิดกว้างให้แต่ละคนได้มีความคิดสร้างสรรค์กัน
มากกว่านี้ ยิ่งปัจจุบันมีเอ็มพี3 เทปผีซีดีเถื่อนยิ่งแล้วใหญ่
มุมมองผมในตอนนี้ศิลปินยิ่งไส้แห้ง
เงินส่วนใหญ่ไม่ได้ไปกระจุกอยู่กับศิลปินที่เขาสร้างสรรค์ผลงาน
สังคมไทยตอนนี้เป็นสังคมที่แย่มากๆ สุดๆ แล้ว"

"ยิ่งปัจจุบันมีการประกวดล่าฝันเพื่อที่จะขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง
ได้เป็นนักร้องค่อนข้างเยอะ ในมุมมองของผมดนตรีไม่ได้หมายถึง ความเป็นที่
1 ของดนตรี มันคือ 1 ในด้านความสุข ด้านความมั่นคงทางอารมณ์
และด้านความเป็นตัวตนของคุณ มันยังมีอีกหลายมุมมาก
แต่ถ้ามีรายการอย่างนี้เยอะเข้า มันจะทำให้สังคมคิดว่า
การขึ้นไปเป็นที่ยอมรับได้คะแนนสูงสูด นั่นคือที่หนึ่งของชีวิต"

"เดี๋ยว มันจะเหมือนอ๊อด คีรีบูน ในยุคนึง
ที่พอขึ้นไปแล้วมันถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
ศิลปินทุกวันนี้คุณควรลองกลับไปถามตัวคุณเองว่า
คุณมีความสุขจริงกับการที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า
ใครก็อยากจะเป็นซูเปอร์สตาร์กันทั้งนั้น
แต่เราต้องเป็นในสิ่งที่เราได้เป็นตัวเอง
และมีความสุขกับสิ่งที่ทำไปพร้อมๆ กัน"

http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000097046

ดีใจจริง ๆ ที่ manager
มีข่าวบันเทิงมีคุณภาพและสาระมาลงมั่ง..เบื่อข่าวพวกดารา และ นักร้องเน่า
ๆ เรื่องพฤติกรรมมากๆ อ่ะ..มันเหมือนสนับสนุนให้คนทำเลวแล้วดัง
ไม่ดีเลยปรับปรุงด้วยนะจ๊ะฝ่ายข่าวบันเทิง ควรมีข่าวดารา
นักร้องที่มีความประพฤติดี ๆ
มาลงน่าจะดีกว่า..ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นเหมือนพวกบันเทิงดาราทั่ว ๆ ไปเลย
สังเกตุว่าทุกครั้งที่เอาเรื่องบทสัมภาษณ์ศิลปินดี ๆ
มาลงจะได้รับคำชมมากกว่าคำด่า
ฝ่ายบันเทิงน่าจะเข้าใจแล้วนะว่าคนอ่านเว็บนี้เป็นยังไง
(เว้นคอลัมภ์เรียกแขกอย่างซ้อเจ็ดไว้อันก็ได้เพื่อการตลาดล่ะเอ้า)
...แต่วันนี้ขอชมทีเอาข่าวสร้างสรรค์มาให้อ่าน..
... ขอบคุณพี่อ๊อดและเพื่อนในวงคีรีบูนมากๆ
ค่ะ..ที่ช่วยสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่ไพเราะและงานศิลปะในยุคของเรา
(ตอนนี้ก็น่าจะช่วงอายุ 30 ถึง 45 ได้มั๊ง) ชื่นชอบในผลงาน
เสียงที่ไพเราะ ความสามารถ และทัศนคติที่ดีของพี่ค่ะ
...ช่วงที่พี่อ๊อดหายไปพวกเราและเพื่อนก็คิดถึง
และบ่นถึงวงคีรีบูนกันตลอด ยิ่งตอนเห็นพี่อ๊อดขึ้นเวทีพันธมิตรนะ
..ดีใจและสุดประทับใจ (วันนี้ได้เห็นภาพปัจจุบันทั้งวงแล้ว
รู้สึกดีใจจริง ๆ คิดถึงทุกคนเลยค่ะ..น่าจะรวมตัวกันจัดคอนเสริ์ต
"คิดถึงคีรีบูน" สักครั้งนะคะ รับรองบัตรขายเกลี้ยงแหง ๆ )...
....เป็นกำลังใจในทุกวิถีทางที่ทำดีค่ะ...
คิดถึงคีรีบูน..ทุกวันนี้ยังฟังเพลงคีรีบูนอยู่ตลอด

มีโอกาสได้คุยกับ อ๊อด คีรีบูร อ๊อดถามเราว่า ที่พี่ไปร่วมกับพันธมิตร
พี่มีเหตุผลอะไร เราตอบโดยไม่ต้องคิดว่า
ที่เราออกไปร่วมกับพันธมิตรในการต่อสู้ทุกครั้ง เพราะ 1. เพื่อในหลวง 2.
เพื่อความถูกต้อง แค่ 2 อย่างนี้ มันมากยิ่งกว่าเหตุผลที่จะนำมาอ้างแล้ว
ยิ่งมาได้อ่านในคอลัมม์นี้แล้ว อ๊อด คีรีบูร คุณคือคนจริง
ไม่เหมือนไอ้พวกนักร้องอีกหลาย ๆ คน ที่ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้า
เพราะกลัวคนไม่จ้าง ทั้ง ๆที่มันก็มีเงินมากมายมหาศาล อย่างเบิร์ด ธงไชย
พวกค่ายเพลง ไม่ว่า อาร์เอส แกรมมี่ เวิร์กพอย
ไม่ว่าเบื้องหน้าเบื้องหลัง มันไม่กล้าทั้งนั้น เพราะมันกลัว
ผลประโยชน์มันจะพัง พวกนี้ต้องให้ประเทศพังซะก่อนมันถึงรู้ตัว
หรือไม่มันก็หอบเงินไปเสวยสุขต่างประเทศเท่านั้นเอง
จัตุรัส พธม.


มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง
เมื่อยามสองเราต้องจากไกล
พาดวงใจเลื่อนลอยฝากบทเพลงบรรเลงให้ไว้
จะเก็บดวงใจเอาไว้เพื่อรอ
ฝากคำว่าคิดถึงให้เธออยู่เสมอ
แม้ไม่ได้เจอฉันก็สุขใจ
หากชีวิติไม่สิ้น ฉันจะกลับเอารักมาใหม่
เธอโปรดจำไว้วันที่ฉันรอ
แม้อยู่ห่างไกลส่งใจถึงกันบ้าง
แม้จะอ้างว้างอยู่เดียวดาย
ฉันจะเฝ้ารอ รอเพื่อพบกันใหม่
วันที่ดวงใจฉันมีเธอ
* ดวงใจฉันคิดถึงเธออยู่
เธอโปรดจงรู้ดวงใจว่า
ยังปราถนาจะกลับมาเพื่อพบเธอสุดที่รัก
เธอโปรดมีใจคิดถึงหน่อย
อย่าให้ฉันคอยใจหงอยเศร้า
จงสร้างรักเราให้มีพลัง เพื่อรอการกลับมา *
แม้ห่างเพียงกาย ก็ไม่ห่างใจ
เหมือนรักประสานไว้ตลอดเวลา
ฉันจะรอวัน วันแห่งรักหวนมา
วันที่เราสัญญาต่อกัน
รอวันคุณอ๊อดกลับมา

ถึงหนูจะอายุแค่ยี่สิบ

แต่หนูก็เกิดมาแล้วได้ฟังเพลง

พี่อ๊อดคีรีบูนทุกเพลง ทุกอัลบัม

จะบอกว่าชอบมากเพลงเพราะมากความหมายดีๆซึ้งๆ

ทั้งนั้นเลยค่ะ และมีความฝันสูงสุดด้วยนะว่าวันแต่งงาน

หนูจะเชิญพี่อ๊อดมาร้องเพลงให้หนูค่ะ ชอบมากและขอ

เป็นกำลังใจให้ตลอดไปนะคะ ชอบเพลง ปลูกรัก กับ

เพลง หากรัก มากกกกกกกกกกกกกกกกก..

อินโทรเพลงปลูกรักขึ้นรู้สึกมีพลังมากค่ะ สู้ๆนะคะ

ผู้จัดการคะ หนูเป็นคนนึงที่เซตหน้าแรกของโน๊ตบุค

เป็นเวบนี้ สามปีแล้วสินะที่ไม่เคยโพสติดเลยค่ะ

เพราะอะไรคะ อยากร้องไห้มากๆๆๆๆๆๆๆ ช่วยทีค่ะ

หรือหนูต้องเปนแฟนคลับพี่น้อย กับพี่ตุ๋ยบีเอ็มคะ

....เจ้าหญิงน้อย....
cinderella_injune@hotmail.com

8 ความคิดเห็น:

  1. สู้..สู้.น่ะเพื่อน..เราเองแก้วไงเรียนที่วัดเซิงหวายจำได้หรือปล่าว..

    ตอบลบ
  2. ยังออกกำลังกายอยู่หรือปล่า วอลเล่ยบอลไง คิดถึงวันเก่าๆๆนะ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ16 เมษายน 2555 เวลา 13:25

    คิดถึงคีรีบูนได้ดูใกล้ๆที่งานบุณกลางบ้านอำเภอแกลงเดือนมีนาคม 2555 ที่ผ่านมาได้จับมือด้วยคุ้มมากกลับเมืองไทยครั้งนี้ เรามาดูพี่อ๊อดจากอเมริกา พี่อ๊อดพูดในงานว่ามีแฟนเพลงมาไกลมาจากกรุงเทพแต่พี่อ๊อดไม่รู้หรอกว่านั่งอยู่ในนั้นมีเราสองคนที่รักพี่อ๊อดมากและมาไกลกว่ากรุงเทพ เรามาจากอเมริกามาดูพี่

    ตอบลบ
  4. สุดยอดจริงๆ คิดถึงอยู่ อยากรู้ว่าทำอะไรที่ไหน ชื่นชอบและชื่นชมในคีรีบูนมากๆค่ะ

    ตอบลบ
  5. พี่อ๊อด คีรีบูน เป็นแบบอย่างที่ดีของผมมาตลอด จำได้ว่าสมัยผมเรียนมัธยมปลาย และรู้ว่าพี่อ๊อดเรียนเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ทำให้เรามีพลังใจในการอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้เหมือนพี่ และตอนนี้ยิ่งรู้ว่าพี่ร้องเพลงของหลวงตาพระมหาบัว ยิ่งรู้สึกทำให้เราอยากเป็นคนดีเหมือนพี่ครับ ขออวยพรให้พี่และครอบครัวพบแต่สิ่งที่ดีงามเหมือนจิตใจพี่ครับ

    ตอบลบ