ท่านผู้อ่านที่เคารพ
เหลืออีกเพียง 3 ฉบับ เราก็จะไม่ได้พบกันอีกแล้ว
ดร.ไสว บุญมา กับคณะจะพากันเปิดศักราชใหม่ของ 'คิดถึงเมืองไทย'
ให้ดีและเข้มแข็งขึ้นยิ่งกว่าเก่า
ผมขอฝากผู้เขียนใหม่ และฝากให้ท่านและสังคมไทยช่วยกันคิดถึงปัญหา
ที่ผมเชื่อว่าหากยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือแก้ไขผิดทาง ประเทศชาติจะล่มจม
ปัญหาอันดับหนึ่ง คือปัญหาการศึกษา
ผมได้เขียนและพูดเรื่องการศึกษามามากและนานแล้ว ตั้งแต่พิภพ
ธงไชย นักปฏิรูปการศึกษาคนหนึ่งของไทยยังเรียนหนังสืออยู่
จนบัดนี้ ผมเชื่อว่าปัญหามีมากขึ้นและแก้ยากกว่าเดิม
กล่าวโดยสรุป การศึกษาเป็นเพียงอนุภาคหนึ่งของระบบการเมืองไทย
แต่เป็นอนุภาคหรือระบบย่อยที่มีความสำคัญ
เพราะการศึกษามีหน้าที่เป็นผู้ผลิตบุคลากรให้กับระบบการเมือง
นักการเมืองระยำตำบอน ที่มีมากผิดปกติอยู่ทุกวันนี้
เป็นผลผลิตของระบบการศึกษาที่ล้มเหลว
ระบบการศึกษาที่ล้มเหลวสังเกตได้จากหลัก 3 ประการ ที่มีอยู่เป็นประจำ คือ
1. มีลักษณะทางโครงสร้างที่เหลื่อมล้ำต่ำสูง
ไม่ยุติธรรมทั่วถึงระหว่างคนจน-คนมี เมืองหลวง-ต่างจังหวัด ใกล้-ไกล
เล็ก-ใหญ่
ของอเมริกันที่เราชอบตามก้น
มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนชั้นยอดหาได้อยู่ในมืองหลวงไม่
ลูกบ้านนอกที่ยากจนอยู่ห่างเมืองหลวงหลายพันไมล์ ในหมู่บ้านเล็กๆ อย่าง
คาร์เตอร์ หรือ คลินตัน หรือแม้กระทั่ง โอบามา ก็มีโอกาสเป็นประธานาธิบดี
2. มีระบบพฤติกรรม เช่น การเรียน-การสอน หรือเนื้อหาที่อ่อนด้อย
ไร้คุณภาพ ขาดความดีเด่น ถึงแม้จะมีคนส่วนน้อยสามารถแข่งขันระดับโลก
ก็เป็นเพียงข้อยกเว้นของม้าตีนต้น
3. ขาดความสอดคล้อง ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพหรือความถนัดของผู้เรียน
มีระบบทางเลือกที่ขาดเขลาและบ้าเห่อ
มีสาขาวิชาที่ใหญ่โตฟุ่มเฟือยและไร้ค่า สาขาที่จำเป็นกลับมีน้อยหรือไม่พอ
สรุปแล้วความพอดี และความสอดคล้องต่อผู้เรียน
ต่อพ่อแม่และต่อสังคมยังหย่อนยานเป็นอันมาก
เป็นผลให้มีอัตราการตอบแทนต่อสังคมต่ำ ซ้ำปัจจุบันกลับด้อยกว่าอดีต
ด้วยเหตุข้างต้น พลเมืองที่เป็นผลผลิตของการศึกษา
ส่วนใหญ่จึงขาดคุณสมบัติสำคัญที่จำเป็นต่อการสร้างชาติ
การศึกษาล้มเหลวและไม่สร้างสิ่งเหล่านี้ให้กับคนไทย (1)
ความเป็นผู้มีวินัย (2) ความเป็นผู้มีปัญญาและรู้จักใช้ปัญญา (3)
ความเป็นผู้มีความมานะมุ่งมั่น และ (4) ความเป็นผู้รู้รักสามัคคี
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ลำพังแต่'ผู้จัดการ'
ผมก็เขียนเรื่องการศึกษาไว้มาก
คนที่ไม่รู้บอกว่าทำไมไม่พูดมาบ่นอะไรตอนนี้ คนที่รู้บอกว่าดีแต่พูด
เก่งจริงทำไมไม่มาเป็นรัฐมนตรี
ผมมีพี่-น้อง และเพื่อนเป็นรัฐมนตรี
ปลัดกระทรวงและอธิบดีกระทรวงศึกษามานับไม่ถ้วน ล้วนแต่เป็นคนเก่ง
แต่เรื่องนี้มันมิใช่เรื่องตัวคนดอก มันเป็นปัญหาด้านโครงสร้าง
และกรอบความคิดเก่าที่ไม่มีใครยอมแก้
มันเป็นโครงสร้างที่ผมเรียกอย่างย่อๆ ว่า
'รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสส่วนกลาง-และนักการเมือง'
ตัวอย่างเรื่องที่ผมเขียน การเมืองการศึกษากับทักษิณ 21 มิ.ย. 44
ปฏิรูปการศึกษา : การประชุมสมัชชา อีไอท่ามกลางความเชือนเฉยของประเทศไทย
25 ก.ค. 44 สวนกระแสปฏิรูปการศึกษา 1 ส.ค. 44 ได้โปรดเถิด ปะผุเสียก่อน
แล้วจึงค่อยปฏิรูป 29 ส.ค. 44 จดหมายถึงเพื่อนครู : ปฏิรูปเพื่อเรา
เขาจะได้อะไร 17 ต.ค. 44 ปฏิรูปการศึกษาเพื่อระบบราชการ สำนักงาน
และผู้บริหาร 31 ต.ค. 44 ปฏิรูป (โต๊ะ เก้าอี้ สำนักงาน ม้า (สองขา)
หรือ) ระบบราชการ 7 พ.ย. 44 ปฏิรูปเสียแต่วันนี้ ที่นักเรียนและโรงเรียน
21 พ.ย. 44 ปฏิรูปการศึกษา : แบ่งขั้วขัดแย้ง-ดร.รุ่ง ดร.วิจิตร
ดร.สิปปนนท์28 พ.ย. 44
นี่เป็นเพียงส่วนน้อย เมื่อผมเป็นห่วงว่าทักษิณจะทำลายการศึกษา
ที่ผมเขียนส่งตรงถึงทักษิณแรงและตรงกว่าในบทความ
ผมยังตั้งความหวังอะไรมากไม่ได้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์
แต่ได้เขียนจดหมายส่วนตัวถึงรัฐมนตรีว่าการฯ สำเนาถึงนายกฯ แล้ว
มีข้อความบางตอน ดังนี้
' ศธ. ยังเป็นกระทรวงปัญหาหมายเลข 1 ของไทยในทัศนะผม
การแก้โดยกรอบความคิดเก่า (Old Paradigm) คือ สร้างอาคาร สร้างอัตรากำลัง
ใช้หนี้ให้ครู ขยายตำแหน่งให้ครู เพิ่มแท่ง ฯลฯ ไม่มีทางแก้ปัญหา
ต้องใช้ new paradigm คือ 1.
ลดจำนวนครูและข้าราชการที่ไม่ได้สอนลงเหลือ 15% ของครูในห้องเรียน
(ขณะนี้ครูที่ไม่สอนของเรามีมากกว่าของ 5 ประเทศอภิมหาอำนาจ 2 เท่า) 2.
ส่งงบประมาณเข้าไปให้นักเรียน ครูผู้สอน
และกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด 3. ส่งผู้บริหารกลับห้องเรียน (สอน)
ให้หมดเมื่ออายุครบ 55 ปี และ 4. สร้างความมั่งคั่งจากภายใน (ทั้งเงิน
ฐานะครูและวิชาการ)
ถ้าทำได้อย่างข้างต้น เรื่องอื่นๆ จะตามมาเอง ถ้าไม่ทำ
ต่อให้รมว. และที่ปรึกษา เลขาธิการและปลัดเก่งมาจากสวรรค์
ยิ่งขยันก็ยิ่งจะทำลายการศึกษาของไทยไปเรื่อยๆ ทั้งนั้น'
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมค้นพบคอลัมนิสต์อีกคน คือ ทวิช
จิตรสมบูรณ์ ก่อนจะจบปริญญาเอกและทำงานองค์การ NASA อยู่อเมริกานาน ทวิช
จบจากโรงเรียนนายเรือ ได้เกียรตินิยมยอดเยี่ยม ปัจจุบันเป็นครูอยู่โคราช
จนป่านนี้ เรายังไม่เคยพบหน้ากันเลย
ผมได้เห็นแต่ข้อเขียนของทวิชที่หลั่งไหลออกมาเหมือนทำนบแตก
ผมขอแนะนำทวิช จิตรสมบูรณ์ เจ้าของสโลแกน เป็นไก่ยืนอันดับโหล่
ดีกว่าเป็นไก่ย่างอันดับหนึ่ง และ
http://mblog.manager.co.th/blog/blog.php?xmember=withwit
ตัวอย่างความคิดทวิช
ศึกษาเรียนรู้เลียนแบบเพื่อให้พวกเขารอดด้วย
และจะไม่ใช่รอดแต่เพียงกาย แม้แต่จิตวิญญาณก็อาจพลอยรอดไปด้วย แต่อนิจจา
เราทุกคนต่างเสพติดยา 'อี' (โคโนมี) กันรุนแรงมานมนาน
ทั้งนักการเมืองและประชาชนโดยรวม ดังนั้นก่อนอื่นใคร่ขอเสนอว่า
เรามาเลิกเสพติดยา'อี' ตัวนี้กันให้ใด้เสียก่อนเถิด
(แนวทางการศึกษาเพื่อพาชาติรอด)
ผมเห็นว่าทักษิณ (ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว ก็ตาม)
อย่างน้อยก็ได้สร้างคุณงามความดีไว้กับสังคมได้มากที่สุด
คือทำให้เกิดการกระตุ้นให้คิด การตื่นตัว การค้นคว้า วิจัย หาข้อมูล
เพื่อมาหักล้างกันทางความรู้และปัญญา
ซึ่งที่ผ่านมาสังคมไทยเราด้อยมากในเรื่องนี้
ในต้น พ.ศ. 2543 ผมอาจเป็นเพียงคนเดียว
หรือเพียงไม่กี่คนในประเทศนี้ที่ต่อต้านทักษิณโดยอิสระ
สังเกตได้ว่าในวงอาหารกลางวันที่ มทส. (ม.เทคโนโลยีสุรนารี อ.เมือง
จ.โคราช) ผมถูกเพื่อนๆ คณาจารย์ระดับด็อกแดกขาประจำประมาณ 10 คน
(ซึ่งดีกว่าด็อกไม่แดก เพราะอย่างไรเสียก็ยังสนใจการเมือง)
รุมกินโต๊ะเสมอ เพราะผมเป็นเพียงคนเดียวที่อภิปรายข้ามตะเกียบคีบก๋วยเตี๋ยวว่าไม่เอาทักษิณ
ในขณะที่ท่านอื่นรวมทั้งผู้ยิ่งใหญ่ในมหาสยามประเทศที่เป็นปูชนียบุคคล
ที่แม้ผมเองก็เคารพนับถือ (ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม)
ต่างอนุโมทนาทักษิณด้วยกันทั้งสิ้น (ทักษิณ VS ประเทศไทย VS โลก)
ผมได้สังเกตมาด้วยความระทมกว่า 10 ปีว่า
ประเทศไทยเราถูกบริหารการวิจัยด้วยคนที่มีตำแหน่ง มีจุดเชื่อมต่อ
(คอนเนกชัน) แต่หามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งในระบบทุนนิยมผสมวิจัยไม่
ซึ่งทำให้ประเทศไทยเรา 'ยิ่งวิจัยยิ่งล้าหลัง'
(เสียเงินไปมากแต่ได้ผลกลับมาน้อยมาก) (ขั้นตอนการเป็น ม.วิจัย
ที่ผู้บริหารการวิจัยไทยไม่เคยรู้)
ถึงผมจะพัก ท่านผู้อ่านก็จะมี ดร.ทวิช จิตรสมบูรณ์ ครับ
'เอ่ยปากจะอำลา ถึงเวลา น้ำตารินร่วง'
ปราโมทย์ นาครทรรพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น