ในที่สุดความพยายามใน การเคลื่อนไหวของนายวีระ สมความคิดและคณะ
ที่หวังกดดันรัฐบาลให้เปิดเผยความจริงเรื่องพื้นที่แผ่นดินไทยบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ก็เป็นผล
เพราะวันที่ 13 กันยายน 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวเป็นครั้งแรกในรายการ
เชื่อมั่นประเทศไทย โดยยอมรับว่ามีการรุกล้ำดินแดนไทยจริง
และในวันเดียวกัน นายกษิต ภิรมย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้นำคณะสื่อมวลชนเดินทางไปในพื้นที่รอบ
ปราสาทพระวิหารเป็นครั้งแรก
ให้สื่อมวลชนไทยได้มีโอกาสเห็นภาพชุมชนและทหารกัมพูชาบนผืนแผ่นดินไทยด้วยตา
ตัวเอง
ปรากฏการณ์
ที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหันกลับมาสนใจใน
เรื่องนี้ อีกทั้งยอมรับการถูกรุกล้ำดินแดนไทยนั้น
เกิดขึ้นมาจากแรงกดดันของภาคประชาชนโดยตรง
ซึ่งจะใช้มาตรการที่จะนำประชาชนไปทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหาร
ในวันที่ 19 กันยายน 2552 นี้
อาจกล่าวได้ว่าถ้าไม่ได้มีการเคลื่อนไหวที่สุ่มเสี่ยงอันตรายเช่นนี้
รัฐบาลก็ยังอาจจะเพิกเฉยและพูดแต่ว่าประเทศไทยยังไม่เสียดินแดนต่อไปฉันใด
อุปมาเหมือนถูกข่มขืนกระทำชำเราอยู่ทุกวันแล้วบอกว่ายังเป็นโสดอยู่ฉันนั้น
วัด ชุมชน ถนน สิ่งปลูกสร้าง ประชาชน และทหารกัมพูชา
อยู่ในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารหลายจุด ตั้งแต่วัดแก้วสิขาคีรีสะวารา
ทางขึ้นตัวปราสาทพระวิหาร ทางเดินระหว่างผามออีแดงถึงตัวปราสาทพระวิหาร
ยอดภูมะเขือ โดยที่คนไทยทั่วไปไม่สามารถขึ้นไปได้
ล้วนแล้วแต่เป็นข้อพิสูจน์ยืนยันว่าไทยได้ถูกรุกล้ำอธิปไตยแล้วอย่างแน่นอน
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ให้สัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นภารกิจลงพื้นที่ว่า:
"รัฐบาลนี้พูดเรื่องจริง ไม่มีอะไรปิดบัง
ผู้นำสองประเทศไม่มีใครประสงค์ให้มีการสู้รบ
เราอยากให้กลับไปสู่วันที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไป
ชมมรดกโลกซึ่งเป็นที่มาของวัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เราภูมิใจ
เป็นสิ่งที่คิดว่าประชาชนสองประเทศรออยู่"
ข้อความนี้ดูจะทำให้สังคมไทยกระจ่างชัดอีกครั้งขึ้นว่า
"ผู้นำสองประเทศไม่มีใครประสงค์ให้มีการสู้รบ"
และย่อมทำให้เข้าใจได้มากขึ้นว่า
ที่ไม่มีการผลักดันประชาชนชาวกัมพูชาออกนอกพื้นที่ของไทย
เพราะเป็นนโยบายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี!
แต่หวังว่าการที่นายกษิต ภิรมย์ ใช้คำว่า "มรดกโลก"
กับกรณีปราสาทพระวิหารแล้วคิดว่า "ประชาชนสองประเทศรออยู่"
คงไม่ได้หมายความว่า...
อยากให้ปราสาทพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยฝ่ายกัมพูชา
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องถือว่านายกษิต ภิรมย์
ได้กลืนน้ำลายตัวเองในสิ่งที่เคยพูดและเคยต่อสู้
เอาไว้บนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ประการสำคัญที่อาจจะเป็นการเข้าใจผิดและสับสนอย่างแรงของนายกษิต
เพราะประชาชนเพียงประเทศเดียวที่รอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
อยู่ในขณะนี้น่าจะเป็นประชาชนในราชอาณาจักรกัมพูชาฝ่าย
ไม่ใช่ประชาชนในราชอาณาจักรไทย หรือประชาชนของทั้งสองประเทศ!
นายกษิต ภิรมย์ ยังให้สัมภาษณ์อีกว่า:
"หากมีสันติภาพมันมีแต่ได้กับได้ แต่นี่ทำให้เกลียดชังกัน
และพอมีปัญหาขึ้นก็ไม่ใช่จะไม่ชี้แจง
นี่พยายามชี้แจงแต่ก็ต้องมีความเข้าอกเข้าใจด้วย
ไม่ใช่ยืนกระต่ายขาเดียวแล้วบอกว่า ฉันถูกที่เหลือผิดหมด
ที่เหลือนั้นเลวและไม่รักชาติ
คนที่มีเหตุมีผลมีสติปัญญาพูดอย่างนั้นได้อย่างไร
รักชาตินั้นมันก็รักกันทุกคน
แต่ไม่มีสิทธิจะไปคลั่งชาติแล้วประณามคนอื่น"
เห็นใจอยู่บ้างที่คำพูดที่ออกมานั้นอาจเกิดจากแรงกดดันอย่างหนัก
แต่บางที นายกษิต ภิรมย์
อาจจะลืมไปแล้วหรือไม่ว่าได้เคยร่วมขบวนกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งได้มี แถลงการณ์ฉบับที่ 18/2551 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551
โดยมีเนื้อความสรุปต่อกรณีการที่ภริยานายฮุนเซนและคณะเข้ามาทำพิธีกรรมที่
วัดแก้วสิขาคีรีสะวาราที่มีชุมชนชาวกัมพูชาอาศัยอยู่
อันเป็นการรุกล้ำดินแดนไทย ว่า: 1. พันธมิตรฯประณามกัมพูชา 2.
เรียกร้องให้รัฐบาลไทยทำหนังสือประท้วงและประณามกัมพูชา และ
3.ให้ทหารไทยผลักดันชนชาวกัมพูชาออกไปจากดินแดนไทยโดยทันที
แสดงให้เห็นว่าจุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อกรณีการถูกรุกล้ำอธิปไตยเป็นจุดยืนเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน!
ท่าน ทูตกษิต ภิรมย์ ซึ่งอยู่บนเวทีพันธมิตรฯ
นอกจากจะไม่เคยแสดงความไม่เห็นด้วยกับจุดยืนดังกล่าวแล้ว
กลับส่งเสริมจุดยืนดังกล่าวและร่วมชุมนุมต่อเนื่องมาจนถึงการยุบพรรครัฐบาล
แล้วจึงเกิดการพลิกขั้วจนตัวเองกลายมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่าง
ประเทศ
มาวันนี้กลับมาเรียกกลุ่มคนที่มีจุดยืนเดิมที่ตัวเองเคยเข้าร่วมการ
ต่อสู้ว่า "พวกคลั่งชาติ" แล้วเรียกตัวเองว่า "พวกรักชาติ" ได้อย่างไร?
ฝาก ข้อความนี้เตือนสติกัลยาณมิตรอย่าง นายกษิต ภิรมย์ คิดพิจารณา
เพราะไม่อยากให้ประชาชนเข้าใจผิดจากอารมณ์ที่ขุ่นมัวครั้งนี้
แล้วมองไปว่านายกษิต ภิรมย์ เป็นคนประเภท เอาดีใส่ตัว
แล้วเอาชั่วใส่คนอื่น!
ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ก็ยอมรับการถูกรุกล้ำอธิปไตยไทยเป็นครั้งแรก
และยอมรับว่าที่เห็นเป็นอยู่สภาพนี้เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลในรายการเชื่อ
มั่นประเทศไทยว่า:
"สำหรับพื้นที่ที่เป็นชุมชนและตลาด ที่ตอนหลังมีการสร้างถนน
แต่ในหลายช่วงก็มีทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาเข้าไปอยู่
เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดก็ตรึงกำลังกันเข้าไป จนมีการปะทะกัน แต่
รัฐบาลมีแนวทางชัดเจนในการเดินหน้าที่จะใช้พื้นที่ดังกล่าวคืนสภาพกลับไป
เป็นพื้นที่ที่ไม่มีการดำเนินการใดๆ
ที่จะมีผลต่อเรื่องของอธิปไตยผ่านการเจรจา"
"เจรจา และสันติวิธี" ฟังแล้วก็ดูดี
แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยได้ใช้วิธีการเจรจาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
แต่กลับถูกรุกล้ำดินแดน และเสียเปรียบเพิ่มมากขึ้น
ประการ สำคัญคือการรุกล้ำตั้งแต่ปี 2551
หลังจากที่ประเทศไทยได้ลงนามแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชานั้น
ฝ่ายกัมพูชาได้มีเป้าหมายอย่างชัดเจนที่ต้องการยึดพื้นที่ให้ได้มากขึ้น
ทั้งการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ขยายชุมชน สร้างถนน สร้างวัด
และยังให้ทหารแปลงสภาพกลายเป็นประชาชนและพระสงฆ์
โดยเฉพาะการสร้างวัดและให้ทหารกัมพูชาแปลงสภาพเป็นพระสงฆ์นั้น
ถือเป็นยุทธวิธีที่นำศาสนามาบังหน้า
มุ่งหวังสร้างภาพไม่ให้ทหารไทยกล้าใช้กำลังในการผลักดันฝ่ายกัมพูชาออกไป
กรณีเช่นนี้จึงไม่ใช่การรุกล้ำตามธรรมชาติ
ที่จะไปคิดเแก้ไขปัญหาด้วยการไปยกเลิกเขตอุทยานแห่งชาติแล้วให้คนไทยไปอยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวแข่งกับชาวกัมพูชาได้
หาก แต่เป็นเจตนาในการใช้ยุทธวิธีของรัฐบาลกัมพูชาที่ใช้ทหารและพลเรือนเข้ายึด
ดินแดนไทยอย่างชัดเจน
ที่ราชอาณาจักรไทยจำเป็นต้องตอบโต้ด้วยมาตรการทางการทูตและมาตรการทางการ
ทหารควบคู่กันไป
ด้วยเหตุผลนี้การปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ในปี 2551 จนถึงปี
2552 จึงเกิดขึ้นหลายครั้งและทวีรุนแรงเพิ่มขึ้น
3 ตุลาคม 2551 ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2
นายเพราะปะทะกับทหารฝ่ายกัมพูชาซึ่งได้เข้ามาวางกำลังในบริเวณช่องอานม้าและใช้อาวุธยิงใส่ทหารไทย
6 ตุลาคม 2551 ทหารไทย 2 นายบาดเจ็บสาหัส
เพราะเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ภูมะเขืออันเป็นดินแดนของราชอาณาจักรไทย
15 ตุลาคม 2551 ทหารกัมพูชายิงจรวดอาร์พีจี
และอาวุธปืนสงครามอีกหลายประเภทใส่ทหารไทยอย่างหนัก
และทหารไทยได้ทำการยิงตอบโต้จากการถูกรุกรานดังกล่าว
26 มกราคม 2552 ทหารพราน กองกำลังสุรนารี
เหยียบกับระเบิดทางทิศตะวันตกของปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์
ห่างจากปราสาทตาเมือนธมเข้ามาในดินแดนไทย 1 กิโลเมตร ทหารไทยบาดเจ็บสาหัส
1 นาย สูญเสียฝ่าเท้าซ้ายกระดูกแตกละเอียด
2 เมษายน 2552
ทหารไทยเหยียบกับระเบิดในจุดตรวจการณ์ของฝ่ายไทยจนขาขาด
จากนั้นทหารกัมพูชาได้ยิงปืนใส่ทหารไทยจนมีทหารไทยเสียชีวิต 2
นายและบาดเจ็บสาหัสอีกหลายนาย
ทหารไทยจึงยิงตอบโต้จนทำให้ตลาดหน้าทางขึ้นตัวปราสาทพระวิหารของฝ่ายกัมพูชา
เกิดไฟลุกไหม้ขึ้น
12 กันยายน 2552
ทหารกัมพูชาพยายามใช้กองกำลังที่จะรุกล้ำเข้ามาถึงที่ปราสาทตาเมือนธม
จ.สุรินทร์ ผ่านการวางแผนมาล่วงหน้าในการสร้างถนนเป็นแรมปีจากฝั่งกัมพูชามาจนเกือบถึง
ตัวปราสาท ปรากฏว่าทหารไทยได้ปะทะกับทหารกัมพูชาเพื่อปกป้องดินแดนไทยอย่างหาญกล้า
จาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ถ้ารัฐบาลมัวแต่มองว่าต้องใช้สันติวิธีและใช้การประท้วงอย่างเดียว
แล้วทหารในพื้นที่เหล่านั้นเขาจะเสี่ยงชีวิตไปเพื่ออะไร?
ถ้ารัฐบาลและกองทัพยอมรับว่าต้องมีการใช้กำลังปะทะกันเพื่อตรึงไม่
ให้กัมพูชารุกล้ำอธิปไตยหรือดินแดนไทยมากขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ถ้า
จะใช้ตรรกะนี้แล้วจะตอบอย่างไรในกรณีดินแดนไทยที่ถูกรุกล้ำโดยฝ่ายกัมพูชา
เหตุใดจึงปล่อยให้มีการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ถนน
และขยายชุมชนเพิ่มมากขึ้นอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
โดยที่คนไทยไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวได้?
เพราะรัฐบาลไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง
ทหารจึงทำหน้าที่ได้แค่ตามนโยบายรัฐบาลกำหนด
ประชาชนผู้รักชาติที่นำโดยนายวีระ สมความคิด
จึงต้องทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2550 มาตรา 70 และ 71
ในการแสดงเจตนารมณ์เพื่อทวงคืนดินแดนไทยกลับคืนมา
ซึ่งแน่นอนว่าการไปในครั้งนี้
ทุกฝ่ายตระหนักดีว่ามีความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต!
แม้ว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้จะดูสุ่มเสี่ยง
แต่ก็เป็นมาตรการที่ได้ผลในการกดดันบังคับให้รัฐบาลต้องตัดสินใจใช้มาตรการ
อย่างใดอย่างหนึ่งต่ออธิปไตยของชาติ
และจะต้องหาหนทางมิให้ประชาชนผู้รักชาติเหล่านี้ต้องบาดเจ็บหรือสูญเสีย
ชีวิต
ถ้าคิดแบบตื้นๆ เหมือนรัฐบาลชุดก่อนคือ
ฝ่ายอำนาจรัฐจัดประชาชนมาปะทะประชาชน
หรือใช้กำลังทหารไทยมาปิดกั้นปะทะกับประชาชนผู้รักชาติ
หรือสั่งให้มีการปิดปั๊มน้ำมันหรือปิดโรงแรมเพื่อกลั่นแกล้งประชาชนผู้รัก
ชาติ ฯลฯ ถ้าคิดจะใช้แผนสกปรกเหล่านี้
ก็ย่อมจะต้องถูกเปิดโปงและประจานแผนชั่วร้ายนี้ในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน
แต่ สำหรับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้นำ ผู้ริเริ่ม
หรือเป็นผู้ตัดสินใจในการเคลื่อนไหวในภารกิจศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้
แต่ก็มีความเป็นห่วงในเรื่องอันตรายและความปลอดภัยของชีวิตประชาชนมาโดยตลอด
โดยเฉพาะประชาชนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมครั้งนี้เป็นพันธมิตรฯ ในจังหวัดต่างๆ
ทั่วประเทศที่พร้อมเสียสละเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อทวงคืนอธิปไตยของชาติอย่าง
หาญกล้า
จึงได้แต่หวังว่ารัฐบาลจะดำเนิน
การหยุดยั้งความเสี่ยงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้
ด้วยการผลักดันการรุกล้ำอธิปไตยจากฝ่ายกัมพูชาครั้งนี้ให้สำเร็จก่อนวันที่
19 กันยายน 2552 หรือแม้หากยังทำไม่ได้
อย่างน้อยก็ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าจะขอเวลาทวงคืนดินแดนไทยให้สำเร็จในเร็ว
วัน ได้ภายในกี่วัน!!!?
แต่ถ้ารัฐบาลคิดว่าการเคลื่อนไหวภาคประชาชนในครั้งนี้เป็นการคลั่ง
ชาติแบบไร้เหตุผล ก็ควรเชิญนายวีระ
สมความคิดและคณะไปออกอากาศร่วมกับนายกษิต ภิรมย์ หรือนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ทางฟรีทีวีก่อนวันที่ 19 กันยายน 2552 ประชาชนจะได้รู้ว่า
ใครเป็นของจริงและใครเป็นของปลอม
เพื่อที่จะตัดสินใจได้ว่าควรจะถอนตัวหรือเข้าร่วมกับขบวนการทวงคืนดินแดนไทย
ครั้งนี้
แต่ ถ้ายังคงเพิกเฉยและปล่อยให้มีคณะประชาชนผู้รักชาติดังกล่าวต้องเสียชีวิต
หรือบาดเจ็บบนเขาพระวิหาร รัฐบาลต้องรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว!
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000108071
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น