Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2548
เมื่อร่างกายประท้วงว่าคุณกินอาหารไม่เหมาะสม
21 ตุลาคม 2547 08:56 น.
สัญญาณ 10 ประการต่อไปนี้ ร่างกายอาจกำลังบอกคุณว่า คุณกินอาหารไม่เหมาะสม
1. ผิวหนังมีปัญหา เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการขาดวิตามิน A
ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้
2. ผมไม่เงางาม ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก
แม้ว่าจะอยากผอมแค่ไหน ก็ไม่ควรอดอาหารจนเกินไป ให้กินอาหารให้มีส่วนผสมของธาตุอาหารอย่างเหมาะสม
เน้นอาหารที่มีกากใย พร้อมไปกับการออกกำลังกาย
สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่วเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน
ดื่มชาทั้งที ต้องให้มีประโยชน์
11 พฤศจิกายน 2547 17:30 น.
ในยุคที่ชาเขียวเฟื่องฟู เราพูดถึงข้อดีของชากันมาก เช่น ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยยับยั้งการแข็งตัวของหลอดเลือด ช่วยละลายไขมันและลดคอเลสเตอรอล มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง จนทำให้ข้อเสียของชา โดยเฉพาะชาดำ อาจถูกละเลย
ข้อควรระวังในการดื่มชา
สารกาเฟอีน ในชา กาแฟ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทและมีผลเสพติดอ่อนๆ เวลาไม่ได้ดื่มแล้วจะหงุดหงิด ร่างกายไม่ควรได้รับเกินวันละ 200 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับกาแฟประมาณ 2 ถ้วย หรือชาประมาณ 4-5 ถ้วย
เมื่อกาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วในกระเพาะและลำ ไส้ แล้วกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ไต ตับ ปอด กล้ามเนื้อและระบบประสาทส่วนกลาง ผลของกาเฟอีนอยู่ได้ 8-14 ชั่วโมง ร่างกายต้องใช้เวลากว่า 48 ชั่วโมงในการสลายคาเฟอีน ถ้าร่างกายได้รับคาเฟอีนปริมาณสูงประมาณ 3,000-10,000 มิลลิกรัม จะทำให้ตายในเวลาอันสั้นได้
ใครบ้างที่ไม่ควรดื่มชา
กคาเฟอีนจะกระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วง ลดความสามารถและระยะเวลาในการนอนหลับ คนที่มีปัญหานอนไม่ค่อยหลับ จึงไม่ควรดื่มชา นอกจากนี้น้ำชาใส่น้ำแข็งหรือน้ำชาแช่เย็น จะไปกระตุ้นลำไส้และกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ต้องตื่นกลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำ ทำให้เป็นปัญหาต่อการนอนยิ่งขึ้น และไม่ควรใช้วิธีแก้ง่วงด้วยการดื่มชา เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมากขึ้นทันทีที่สารกระตุ้นหมดฤทธิ์ หากทำบ่อยๆ ร่างกายจะทรุดโทรมเร็ว
กาเฟอีนทำให้หัวใจเต้นเร็ว หลอดเลือดหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจไม่สม่ำเสมอ ความดันโลหิตสูงขึ้น ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ จึงไม่ควรดื่มชา
ฤทธิ์ของกาเฟอีนยังไปเพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะ จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคกระเพาะ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะและลำไส้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการอย่างที่แพทย์จีนเรียกว่า "กระเพาะเย็น" ซึ่งมักจะมีอาการอึดอัด และอาเจียนออกมาเป็นน้ำใสๆ ไม่ควรดื่มน้ำชาเวลาท้องว่างตอนเช้า เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ หากอยากดื่มชาตอนเช้า ควรหาอะไรรองท้องก่อน
นอกจากนี้ชายังไม่เหมาะกับผู้ป่วยไทรอยด์ เพราะอาการกระสับกระส่ายจะยิ่งถูกคาเฟอีนกระตุ้นให้รุนแรงขึ้น กาเฟอีนยังทำให้น้ำตาลในเลือดสูง จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานด้วย
ไม่ใช่แค่เลือด.. ที่คุณบริจาคได้
4 พฤศจิกายน 2547 09:36 น.
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พูดถึงการบริจาคโลหิต ซึ่งเป็นการบริจาคโลหิตรวม (Whole blood) แต่ที่จริงยังมีอีกหลายอย่าง ได้แก่ การบริจาคพลาสมา (Plasma) การบริจาคเกล็ดโลหิต (Single Donor Platelets) และการบริจาคเม็ดโลหิตแดง (Single Donor Red Cell)
โลหิตแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ
1. เม็ดโลหิต จะมีอยู่ประมาณ 45 % ของโลหิตทั้งหมด ซึ่งมี 3 ชนิด คือ
- เม็ดโลหิตแดง มีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนเพื่อให้เซลล์ต่างๆ ใช้สันดาปอาหารเป็นพลังงาน อายุการทำงานในกระแสโลหิตประมาณ 120 วัน
- เม็ดโลหิตขาว ทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และสารที่เป็นอันตรายอื่นๆ มีอายุการทำงานในกระแสโลหิตประมาณ 10 ชั่วโมง
- เกล็ดโลหิต ทำหน้าที่ช่วยให้โลหิตแข็งตัวตรงจุดที่มีการฉีกขาดของเส้นโลหิต มีอายุการทำงานในกระแสโลหิตประมาณ 5-10 วัน
2. พลาสมา (Plasma ) คือส่วนที่เป็นของเหลวของโลหิตที่ทำให้เม็ดโลหิตทั้งหลายลอยตัว มีลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง จะมีอยู่ประมาณ 55 % ของโลหิตทั้งหมด มีหน้าที่ควบคุมระดับความดันและปริมาตรของโลหิต ป้องกันเลือดออก และเป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อที่จะเข้าสู่ร่างกาย
พลาสมาประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำประมาณ 92 % และส่วนที่เป็นโปรตีนประมาณ 8 % โปรตีนที่สำคัญ ได้แก่ แอลบูมิน มีหน้าที่รักษาความสมดุลของน้ำในหลอดเลือดและเนื้อเยื่อ และอิมมูโนโกลบูลิน มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกาย
การบริจาคพลาสมา
พลาสมาจะนำไปใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคขาดน้ำเหลือง มีอาการช็อกเนื่องจากน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ หรือช็อคในผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออก
วิธีการก็คือ เจาะโลหิตออกจากร่างกายผ่านตัวกรองหรือตัวปั่น เพื่อแยกพลาสมาออกจากเม็ดโลหิต ส่วนที่เป็นพลาสมาจะถูกแยกส่งไปยังถุงบรรจุที่รองรับอยู่ ส่วนที่เป็นเม็ดโลหิตแดงจะไหลกลับเข้าสู่ร่างกายผู้บริจาค
การบริจาคพลาสมาสามารถทำได้ทุก 14 วัน บริจาคครั้งละ 500 มิลลิลิตร พลาสมาที่ได้รับบริจาค นอกจากจะใช้ในรูปของส่วนประกอบโลหิตที่นำไปช่วยชีวิตผู้ป่วยเฉพาะโรคแล้ว ยังนำไปผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โลหิต เช่น แอลบูมิน แฟคเตอร์ 8 เข้มข้น แฟคเตอร์ 9 เข้มข้น อิมมูโนโกลบูลิน ชนิดฉีดเข้าเส้น เซรุ่มป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี และเซรุ่มป้องกันพิษสุนัขบ้า
การบริจาคเกล็ดโลหิต
ในร่างกายมนุษย์เราจะมีเกล็ดโลหิตประมาณ 1-5 แสนต่อ 1 ลูกบาศก์มิลลิลิตร ถ้ามีภาวะเกล็ดโลหิตต่ำมากจะทำให้โลหิตออกง่าย นอกจากนี้ยังมีโรคหลายโรคที่ทำให้เกล็ดโลหิตต่ำ เช่นโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว โรคที่เกี่ยวกับไขกระดูกไม่ทำงาน โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น
ปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้เกล็ดโลหิตรักษา ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติจะเปิดรับบริจาคเกล็ดโลหิตเฉพาะที่มีการร้องขอจาก โรงพยาบาลเท่านั้น ไม่ได้เปิดรับบริจาคทั่วไปเหมือนรับบริจาคโลหิตหรือพลาสมา เพราะเกล็ดโลหิตเมื่อเจาะออกมานอกร่างกายแล้ว จะมีอายุเพียง 24 ชั่วโมง - 5 วัน ตามลักษณะและกรรมวิธีในการเจาะเก็บ และต้องเก็บรักษาไว้ในตู้ซึ่งควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 22 องศาเซลเซียส พร้อมกับมีการเขย่าเบาๆ ตลอดเวลา
การรับบริจาคเกล็ดโลหิต จะใช้เครื่องมือเฉพาะที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ผู้บริจาคเกล็ดโลหิตจะถูกเจาะโลหิตจากแขนข้างหนึ่งผ่านเข้าเครื่องแยก อัตโนมัติ เพื่อแยกเกล็ดโลหิตออกจากเม็ดโลหิตแดง เมื่อได้เกล็ดโลหิตแล้ว ส่วนประกอบอื่นๆ จะถูกคืนกลับเข้าสู่ร่างกาย ระยะเวลาในการบริจาคเกล็ดโลหิต ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
คุณสมบัติพิเศษสำหรับผู้บริจาคเกล็ดโลหิต ได้แก่ หมู่โลหิตจะต้องตรงกับผู้ป่วยที่ต้องการเกล็ดโลหิต
เส้นโลหิตตรงข้อพับแขนชัดเจน ไม่รับประทานยาแก้ปวดแอสไพรินในระยะ 5 วันก่อนบริจาค และควรเป็นผู้ที่บริจาคโลหิตสม่ำเสมอ
ผู้บริจาคเกล็ดโลหิตจะไม่อ่อนเพลีย สามารถทำงานได้ตามปกติ ในกรณีจำเป็น อาจให้บริจาคได้ทุก 3 วัน หลังจากบริจาคเกล็ดโลหิตไปแล้ว 1 เดือน สามารถบริจาคโลหิตได้ตามปกติ
การบริจาคเม็ดโลหิตแดง
เม็ดโลหิตแดงใช้ในผู้ป่วยที่สูญเสียโลหิตจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือซีดจากความผิดปกติของเม็ดโลหิตแดง เช่นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้บริจาคเช่นเดียวกับผู้บริจาคโลหิตทั่วไป เช่น อายุระหว่าง 17-60 ปี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างรับประทานยาต่างๆ สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากการบริจาคโลหิตทั่วไปคือ
- ส่วนใหญ่จะรับบริจาคจากผู้ชาย น้ำหนัก 60 กิโลกรัมขึ้นไป ส่วนสูงมากกว่า 155 เซนติเมตร ถ้าเป็นผู้หญิงต้องหนักตั้งแต่ 68 กิโลกรัม และสูงกว่า 165 เซนติเมตร
- ค่าความเข้มข้นโลหิตมากกว่า 40%
- ค่าดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index (น้ำหนักหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง) น้อยกว่า 25
- สามารถบริจาคได้ทุก 16 สัปดาห์ หรือทุก 4 เดือน
สำหรับการบริจาคเม็ดโลหิตแดง ไม่มีการเปิดรับบริจาคทั่วไปเช่นกัน สอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โทร. 0-2251-3111
ติดตามรับฟังรายการ “สภาพสุข สุขภาพ”
ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น.
ทางคลื่นสามัญประจำบ้าน เอฟ.เอ็ม. 97.5 เมกะเฮิร์ตซ
ชูกามารมณ์ทำให้ปัญญาแหลมคมเป็นผลดีทั้งกับร่างกายและสมอง
นักวิจัยเมืองเบียร์กล่าวอ้างว่า การมีเพศรสช่วยกระตุ้นบำรุงสมอง ทำให้มี ความเฉลียวฉลาดยิ่งขึ้น เป็นคุณทั้งกับร่างกายและสมอง
เจ้าของสูตรเซ็กซ์บำรุงสมอง ดร.เวอเนอร์ ฮาเบอเลห์ แห่งศูนย์วิจัยทางการแพทย์ฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า การได้ปฏิบัติกามกิจอยู่เป็นประจำ จะช่วยส่งเสริมสติปัญญา เขาอ้างว่า เพราะมันไม่แต่เพียงปลุกเร้าร่างกายเท่านั้น หากยังมีผลกับสมองด้วย มันยังทำให้ มีฮอร์โมนของต่อมหมวกไต ซึ่งเป็นตัวปลุกเร้าวัตถุสีเทาของสมองเพิ่มพูนขึ้น
เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์นิตยสาร "ยูนิแคม แคมพัส" ว่า "การเสพสมจะทำให้เกิดสติ ปัญญาสะสมเพิ่มพูนมากขึ้น สำหรับได้ไปใช้ในภายหลัง ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ได้"
ดร.เวอเนอร์ยังได้ชี้ว่า ความดูดดื่มจากเพศรส ซึ่งมีผลให้ฮอร์โมนเอนดอร์ฟีนและเซโรโทนิน ถูกขับออกมามากขึ้น ยังมีอิทธิพลเพิ่มพูนความเชื่อมั่นในตนเองให้สูงขึ้น นอกจากทำให้ร่างกาย และจิตใจได้ออกกำลังด้วยแล้ว.
เลิกความเชื่อที่ผิดก่อนสิ้น..พะยูนไทย
เรื่องที่เล่านั้นมีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ไม่ทั้งหมดความเป็นจริง ก็คือ พะยูน..
พะยูน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon อยู่ในวงศ์ Dugongidae ไม่ใช่ปลาแต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีบรรพบุรุษใกล้เคียงกับช้าง ไม่มีใบหู หัวเล็กไม่มีขนที่หัว คอใหญ่ ตาเล็กมีฟันติดกันเป็นพรืด ตัวผู้มีเขี้ยวและมีหนวดหร็อมแหร็ม ขาคู่หน้าสั้นลักษณะคล้ายมือห้อย ลงมา มีลำตัวเพรียวรูปกระสวย หางแยกเป็นสองแฉก ไม่มีครีบหลัง ปากของพะยูนอยู่บริเวณตอนล่างของส่วนหน้า ริมฝีปากบนเป็นก้อนเนื้อหนา
อาศัย อยู่ในน้ำกินหญ้าทะเลเป็นอาหาร ชอบอยู่กันเป็นครอบครัวหรือหลายครอบครัวเป็นฝูงใหญ่ๆ เมื่ออายุยังน้อยลำตัวมีสีออกขาวๆ เมื่อโตเต็มวัยเปลี่ยนเป็นสีเทาอมน้ำตาล... น้ำหนักราวๆ 300 กิโลกรัม มีพื้นที่อาศัยอยู่ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกา ทะเลแดง ตลอดแนวชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียจนถึงประเทศฟิลิปปินส์ ไต้หวันและตอนเหนือของออสเตรเลีย ประเทศไทยพบไม่บ่อยนักทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน นักวิชาการเชื่อว่าน่านน้ำทะเลตรังอาจเป็นแหล่งสุดท้าย...ที่จะมีพะยูน เหลืออยู่!!
เนื่องจากพะยูนมีอัธยาศัยดีเกินไป ทำให้มันชะล่าใจ ไม่สามารถปกป้องตนเองจากมนุษย์ และศัตรูของมัน อีกทั้งพะยูนต้องอายุถึง 9 ปีกว่าจะผสมพันธุ์ได้ และตั้งท้องนานถึง 1 ปี ออกลูกเพียง 1-2 ตัว
การ ที่พะยูนดำน้ำได้ไม่นาน เพราะต้องลอยตัวขึ้นมาหายใจ ที่ผิวน้ำเช่นเดียวกับปลาโลมา และปลาวาฬก็ตกเป็นเหยื่อ ของศัตรูโดยง่าย และหากเกิดอาการตรอมตรมใจพะยูนจะร้องไห้มีน้ำตาไหลออกมา
มีความเชื่อกันว่าน้ำตาพะยูน คือเสน่ห์ยาแฝดทำให้สาวรักสาวหลง ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดถนัด!!
นาย ธานี วิริยะรัตนพร ผู้อำนวยการสำนักงานอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์ พืช ได้ออกกฎหมายควบคุมให้พะยูนเป็นสัตว์ป่าสงวนหนึ่ง ในสิบห้าชนิดที่รัฐบาลให้ความคุ้มครองสูงสุด พร้อมกับรณรงค์อนุรักษ์พะยูนที่เหลืออยู่
เพราะ ณ วันนี้ พะยูน กลายเป็นสัตว์ที่หายาก และใกล้สูญพันธุ์ของโลก...
ไชยรัตน์ ส้มฉุน
วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2548
โรคประหลาดกระตุกขาเวลานอนก่อกวนจนคุณภาพชีวิตตก
วารสารการแพทย์เรื่อง "การนอนหลับ" ของอังกฤษ ได้เปิดเผยว่า นักวิจัยได้พบในการศึกษาว่า มีผู้ป่วยด้วยโรคขากระตุกตอนเวลานอนเป็นอันมาก มันจะกระตุกโดยไม่อาจบังคับได้ ในอัตรานาทีละ 1 ครั้ง เป็นเหตุให้ไม่อาจนอนหลับได้ไม่สนิท ทำให้เกิดง่วงเหงาหาวนอนตอนกลางวัน กระทบกระเทือนหน้าที่การงาน และบ่อนทำลายคุณภาพชีวิตลง
หัวหน้านักวิจัย ดร.เวย์น เอนนิง กล่าวว่า อาการดังกล่าวนี้ มีผู้เป็นกันมาก โดยที่ยังไม่ค่อยมีการศึกษาวิจัยหาต้นตอกันมากสักเท่าใดนัก ยิ่งกว่านั้น ยังมีเสียงกล่าวขวัญกันอยู่ ในหมู่ผู้มีอาการดังกล่าวกันว่า มักไม่ค่อยอยากไปพึ่งหมอเท่าใดนัก เพราะไปหาแล้วก็ไม่เห็นว่าจะค่อยยังชั่วขึ้นมา.
ซุปปลาช่อน สูตรโบราณเครื่องดื่มสุขภาพรสนิยมต่างชาติ
ไข้หวัดนกระบาด..... สร้างความเสียหาย ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ ทั่วประเทศไทย กับอีกหลายๆ ประเทศ ที่ทำธุรกิจ เกี่ยวกับสัตว์ปีก พากันย่อยยับทั้งระบบ.!!.
เพื่อความอยู่รอดของเกษตรกร จึงกระเสือกกระสนเข้าสู่เกษตรกรรม ในแขนงอื่น การประมงจึงเป็นช่องทางออก อีกอันหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนหน้าตาเข้ามาสู่ การคิดใหม่ทำใหม่ หลังปศุสัตว์ล่มสลาย
นายพรชัย ลิ้นปราชญา นักธุรกิจเกษตรรุ่นใหม่ ที่ยังฝังจิตใจอยู่กับการเกษตรกระดูกสันหลังของชาติ จึงได้แต่สวมหัวใจเกษตร "สร้างวิกฤติให้เป็นโอกาส" โดยการลงมือขุดบ่อเลี้ยงปลาปลูกผักปลูกหญ้าด้วยตัวเองในพื้นที่ บ้านเกาะแรต อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
นายพรชัย เปิดเผยว่า เมื่อได้ลงมาคลุกคลีอยู่กับเกษตรกร เห็น กลุ่มแม่บ้านเกาะแรต ที่เลี้ยงสัตว์น้ำประเภทบ่อปลาช่อน มีผลผลิตมาก แต่ขายไม่ค่อยได้ราคา ก็เลยคิดหาทางที่...ทำอย่างไรจะเพิ่มมูลค่า
จึงได้นำความรู้อันเป็น ภูมิปัญญาโบราณชน ทำ "ซุปปลา" ซึ่งก็ได้สูตรนี้มาเมื่อครั้ง "อยู่กับก๋ง" เห็นประโยชน์จากเมื่อครั้งตอนเด็กๆ มี ญาติป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจรั่ว ได้ดื่มน้ำซุปปลาตุ๋นบ่อยๆ แล้วปรากฏว่าอาการของโรคหายไป
และ ครอบครัวของนายพรชัย ก็ต้มน้ำซุปปลากินกันเป็นประจำ โดยใช้ปลาได้หลากหลายชนิด แต่งานนี้เปลี่ยนมาใช้ปลาช่อนเป็นวัตถุดิบ เพราะมีมากให้กลุ่มแม่บ้านทดลองทำ "ซุปปลาช่อน"
ผลปรากฏว่าผลผลิตที่ได้ออกมาดี "ไม่มีกลิ่นคาว"...จึงได้รับความนิยม และ สนใจจากผู้บริโภค...!!!
ทำได้ ไม่จน....เข้าไปเจาะข้อมูล "ซุปปลา" มาบอกกับผู้สนใจให้รู้วิธีทำ เผื่อใครสนใจจะเอาทำกินเอง ตามกระบวนการผลิตดังนี้
โดยขั้นตอนแรก นำปลาช่อนมาขอดเกล็ด เอาเครื่องในออกและล้างด้วยน้ำสะอาด ใส่หม้อต้มน้ำ 10 นาที ใส่สมุนไพรจีนที่เตรียมไว้ ประกอบด้วย เก๋าคี้ ปักคี้ และตังกุย แล้วเคี่ยวให้ละลายจนเหลือตะกอนน้อยที่สุด
จากนั้น นำกากสมุนไพร และ เนื้อปลาออกให้เหลือแต่น้ำซุปปลาช่อน นำไปตุ๋นในหม้ออีกครั้ง ตามกำหนดเวลา จึงนำไปบรรจุขวดและปิดฝาให้สนิท จึงนำไปใส่หม้อนึ่งฆ่าเชื้อโรค ต่อจากนั้นก็นำออกมาทำให้เย็นอย่างรวดเร็ว โดยการแช่น้ำเย็น เท่านี้ก็จะได้น้ำซุปปลาช่อนที่มีคุณภาพ สามารถเก็บไว้ได้นาน 1 ปี.......ที่สามารถบริโภคทั้งร้อนและเย็น...
เมื่อนำออกจำหน่าย ได้ให้เข้าร่วมเป็นสินค้า "หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์" มีการตอบรับ จากลูกค้าชาว ญี่ปุ่น, จีนฮ่องกง, ไต้หวัน แม้กระทั่ง ฝรั่ง เองก็ยังชอบซื้อหา ไปดื่มกิน...และ นำไปเป็นของฝาก
ไชยรัตน์ ส้มฉุน
คอยายิ่งกลับใจได้เร็วเท่าไรยิ่งดีเลิกได้ก่อนอายุถึง 35 ปียิ่งวิเศษ
หัวหน้าคณะผู้ศึกษาวิจัย ดร.โดแนลด์ เอช. เทย์เลอร์ มหาวิทยาลัยดุก ของสหรัฐฯ บอกสรุปผลของการศึกษาว่า "หากใครสามารถเลิกสูบได้ก่อนอายุ 35 ปี ก็จะกลับมีคุณภาพชีวิตและอายุขัยอย่างเต็มที่ได้" เขากล่าวสืบไปว่า "หลังจากที่เลิกสูบบุหรี่ลงได้แล้ว ยังจะต้องใช้ เวลาอีกแรมปี" กว่าสุขภาพจะแข็งแรงเท่ากับคนที่ไม่สูบ พร้อมกับเตือนว่า "อย่าไปเข้าใจผิดนึกเอาว่า คนเรามีสิทธิสูบบุหรี่กันได้ไม่อั้นไปจนกว่าอายุจะถึง 35 ปี อย่าลืมว่า ไม่ว่าใครหากริสูบเข้าแล้ว มันจะเลิกยาก".
วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2548
ของนอก : นมแก้วเดียว (Good story)
สำหรับเล่าเรียนหนังสือ พบว่าตัวเองมี เงินเหลือติดตัวเพียง 10 เซนต์ เขา
ก็บังเกิดความหิวขึ้นมาตหงิดๆ จึงตัดสินใจที่จะบากหน้าเดินไปขอข้าวจาก
บ้านหลังถัดไป และแล้ว เขาก็รู้สึก ประหม่าเมื่อมีอันต้องเผชิญหน้ากับสาว
น้อยน่ารักที่ลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้าน
เมื่อดูจากท่าทางอันหิวโซของเด็กชาย หญิงสาวจึงยื่นนมให้แก้ว
หนึ่ง เด็กน้อยค่อยๆ ดื่ม แล้วถามว่า "จะให้ผมจ่ายตังค์เท่าไรดีครับ" "ไม่หรอกจ๊ะ..
เธอไม่ต้องจ่ายอะไรฉันหรอก" สาวน้อยตอบ "คุณแม่สอนฉันเสมอว่าไม่ให้
รับเงินจากน้ำใจที่เราได้แสดงออกไปให้กับคนอื่น"
"ถ้าอย่างนั้น หนูก็ขอบคุณ
จากใจนะครับ" เขาตอบ เมื่อ พ่อหนูเฮาวาร์ด เคลลี่ เดินจากบ้านหลังนั้น
ไป เขามิเพียงแต่รู้สึกว่า ร่างกายมีกำลังวังชาขึ้น หากแต่ความเชื่อมั่นในพระ
เจ้าและในมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย.
.. มิไยว่าก่อนหน้านั้นเขาจะรู้สึกหมด
ศรัทธาในทั้งสองสิ่งนี้ไปแล้วก็ตาม
กาลเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ปรากฏ หญิงสาวผู้นั้นได้ล้มป่วย ลง คุณ
หมอในโรงพยายาลท้องถิ่นหมดหนทางจะเยียวยา จึงส่งเธอไปยังเมือง
ใหญ่ที่มีคุณหมอเฉพาะทางเพื่อรักษาโรคที่ไม่ค่อยได้พบเจออย่างนี้ คุณหมอเฮา
วาร์ด เคลลี่ ถูกเรียกตัวมาเพื่อให้คำปรึกษาเคสนี้ เมื่อเขาได้ยินชื่อเมืองที่ผู้
ป่วยถูกส่งมา ถ้าคุณสังเกต จะเห็นว่ามีประกายตาแปลกๆ อยู่ในดวงตาคู่นั้น
ทันใดนั้น เขารีบลุกขึ้นและเดินตรงไปยังห้องพักของเธอ พลางสวมเสื้อกาวน์
ไปด้วย... เขาสามารถจดจำเธอได้ในทันที...
เมื่อกลับไปยังห้องทำงาน เขาก็พยายามหาหนทางที่ดีที่สุดเพื่อ รักษา
ชีวิตของเธอ นับจากวันนั้น คุณหมอก็เพียรดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วย รายนี้เป็น
พิเศษ... หลังจากที่ยื้อยุดฉุดกระชากกับโรคร้ายอยู่พักใหญ่
ในที่สุดเขาก็ได้รับ ชัยชนะ
แล้วคุณหมอเคลลี่ก็ขอให้ฝ่ายการเงินของโรงพยาบาลส่งใบเรียกเก็บเงิน
ของผู้ป่วยรายนี้มาให้เขาพิจารณาอนุมัติ
เขาเขียนอะไรสองสามตัวลงบนขอบกระดาษใบนั้น แล้วฝากเจ้าหน้าที่
ส่งผ่านไปยังผู้ป่วย เมื่อใบเรียกเก็บเงินเดินทางมาถึง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึก
กลัว ด้วยมั่นใจว่า ตัวเลขคงสูงมากจนเธออาจต้องใช้เวลาที่เหลือในชีวิตนี้
ชดใช้ค่ารักษาพยาบาลในครานี้ ถึง ที่สุดแล้ว เธอก็เปิดออกดู...
พบอะไรบางอย่างที่ดึงความสนใจของเธอมาอยู่ตรงขอบๆ กระดาษแผ่นนั้น เธอ
อ่านได้ใจความว่า "จ่ายหมดแล้วด้วยนมหนึ่งแก้ว" พร้อมกับลงชื่อกำกับไว้
หญิงผู้นี้อดไม่ ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความชื่นชมยินดี ขณะหัวใจอันเปี่ยมสุข
อธิษฐานว่า
"ขอบคุณพระเจ้าที่ได้แผ่ความเมตตาของพระองค์มายังหัวใจ และอุ้งมือ
ของผู้คนบนโลกนี้"
ผู้เขียน : นิรนาม
ผู้แปล : แบ่งปัน
โดยคุณ : นิรนาม -