...+

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

แห่งหัวใจ


ของขวัญ
ซึ่งคนรักมอบให้ฉัน
สลักเสลา เกลาพิถีพิถัน
ร้อยด้วยเส้น ใยรัก ถักขึ้นผูกและพัน
เป็นกระดึง ..กึ๊งก่อง

กึ๊งก่องง..กึ๊งก่องง..
ผูกคอท่องทุกที่ไป
กึ๊งก่องง..กึ๊งก่องง..
คล้องไว้กันหลงไปดง ไหน
กระทั่งเพลงพื้นๆจังหวะหัวใจ
ยังเปลี่ยนเพี้ยนไปเป็นกึ๊งก่อง


ก่องง..กึ๊งก่องงง..
(ฟังสิ)
ฉันมีเจ้าของหัวใจ
ก่องง.. กึ๊ง ก่องงง..
(ฟังสิ)
ท่านเซนต์วาเลนไทน์


วุฒาภรณ์


วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

พรปีใหม่


ไร้คำพิศวาสจนหยาดหยด
มาหลั่งรดหัวใจปีใหม่นี้
มองรอบข้าง ด่างดำถูกย่ำยี
ล้วนแต่มีทุกข์แน่นเต็มแผ่นดิน


จะขอพรที่ไหนจากในหล้า
จะวอนฟ้าชั้นไหนก็ไม่สิ้น
จะวอนเทพตนใดให้ได้ยิน
จะดีดดิ้นกี่ครั้งยั้งจะพอ


หากว่าตนไม่กลัวฝ่าขวากหนาม
หากว่าตนเดินตามแต่ร้องขอ
หากว่าตนงอเท้าเฝ้าคอยรอ
หากว่าตน งอนง้อรอปราณี


ย่อมต้องกล้าสืบสานการต่อสู้
ย่อมจะรู้แนวทางสร้างศักดิ์ศรี
ย่อมต้องสู้ความชั่วด้วยความดี
ย่อมต้องมีเหตุผล ช่วยดลใจ


จึงย่อมอยู่บนโลกคลายโศกสิ้น
จึงโบยบินด้วยฝันอันยิ่งใหญ่
จึงเสรีความคิดวิจิตรไกล
จึงสมพรปีใหม่มดังใจคิด


สายธารสิโป


ใครไทย


คนละบาทสองบาทช่วยชาติหน่อย
ทีละร้อยสองร้อยค่อยประสม
หนี้แสน ล้านอย่าพาลท้อรอล่มจม
ไม่นานนมแค่ชาติหน้าก็หมดแล้ว
ถึงทีรวยใครรวยช่วยชาติไหม
ใครกู้ใครเก็งกำไรได้เป็นแถว
พอวายวอด พาวอดตลอดแนว
ขึ้นก็แห้วลงก็แห้วชาวแห้วไทย
จึงเมื่อล้มละลายแทบขายชาติ
ก็ชาวบ้านบาทสองบาทช่วยชาติใหญ่
ที่คอยผลาญ ผลาญสนิทเอาผิดใคร
อนาถไหมไทยช่วยไทยช่วยใครกัน

คมเลนส์


คนทำงาน


ประวัติศาสตร์อาจมีในหลายด้าน
แต่คนที่ทำงานไม่เคยจะเอ่ยออกนาม
คนที่แบกหามลุยน้ำลุยโคลนคนที่สรรค์สร้าง
จากป่าเป็นเมืองรุ่งเรืองงามเพียงเวียงวัง
ด้วยเลือดด้วยเนื้อของคนทำทาง
ถางทาง ตั้งต้นให้คนต่อไป


จากป่าเปลี่ยวเที่ยวไปในทุกถิ่น
ดังโบกโบยบินพื้นดินเป็นถิ่นอาศัย
หนาวเหน็บเจ็บใจภัยร้ายนานาชีวาว้าเหว่
เช้าค่ำจำเจเร่ไปให้คนเดินตาม
ทุกย่างก้าวเขาเหมือนเงาเรืองราม
ฝังนามฝังร่างอยู่กลางแผ่นดิน


"เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


น้ำตก ต้นธาร


บริสุทธิ์มาจุติ ตกน้ำผลิพราวหยดใส
กลั่นทิพย์จากทิวไพร ค่อยรวม ไหลเป็นสายริน
รินหลั่งพื้นฝั่งผา เลี้ยวเลาะมาลัดซอกหิน
สูงส่งโรยลงดิน เป็นน้ำตกอุทกธาร
ต้นธารแห่งชีวิต แนบสถิตวนาศาสนติ์
ซึมซับดับกันดาร ชอุ่มอุ้มพุ่มรากใบ
สัตว์ป่าก็ผาสุก มีร่มรุกข์ร่วมอาศัย
ฉ่ำชื้นทั้งผืนไพร ในลำนำลเนาธาร


จิระนันท์ พิตรปรีชา


รู้อยู่รู้ทำ


รู้อยู่และรู้ทำ
คือหลักค้ำประกันคน
ไม่รวยและไม่จน
แต่อยู่ได้ สบายดี
เหล่าใดไม่รู้อยู่
ไม่รู้ทำตามควรมี
เหล่านั้นแหละทันที
จะทุกข์ยากระยำเยิน
ตัวอย่างฝรั่งมี
นิวซีแลนด์ที่จำเริญ
กีวีกับแอปเปิ้ล
แลขนแกะคือกิจการ
ขายได้กำไรดี
มีมูลค่ามหาศาล
ประชากรแค่สามล้าน
เป็นอยู่สุขสราญรมย์
สังเวชประเทศเรา
เหมือนเมามายอยู่งายงม
ยกย่
องนิยมชม
แต่ชาติอื่นทุกคืนวัน
ทุเรียนเงาะมังคุด
ละมุดส้ม มะยมมะดัน
อกร่องมะม่วงมัน
สัปปะรดแลส้มโอ
ยังเหลือหลากอยู่อักโข
รัฐมนตรีรัฐมนโท
ค้าขายไม่เคยเป็น
จึงเป็น รองเป็นเบี้ยล่าง
กินพลางโกงกันพลาง
ไม่รู้อยู่ไม่รู้ทำ!!


"เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์"


วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

ลมหายใจบนสายน้ำ


เหนี่ยวแรงจ้วงพายในสายน้ำ
วาดซ้ำนำส่งให้ตรงที่
เรี่ยว แรงแข็งขันมานานปี
บัดนี้อ่อนล้าชราลง


สองมือถือพายไม่ถนัด
จ้วงขัดวาดขืนฝืนแรงส่ง
เรือน้อยลอยขวางคว้างเป็นวง
ไม่เบน หัวตรงยังปลายทาง


ค่อยค่อยลอยลำในน้ำนิ่ง
อ้อยอิ่งขวาบ่ายเบนซ้ายบ้าง
โรงแรงฝีพายแทบวายวาง
ยายชราฝ้าฟางยังพายเรือ


เย็นเยือกน้ำค้างจนคางสั่น
ตะวันเผาไหม้ยายมิเบื่อ
ดึกดื่นเพียงใดยายเอื้อเฟื้อ
ร้อนเหลือส่งคนข้ามสองฝั่งคลอง


อวลกลิ่นอายครำ ของน้ำเน่า
กับลำนำเก่าการลอยล่อง
เสียงเหรียญฟังเล่นเป็นทำนอง
เสียงท้องหลานนั่นสำคัญนัก


ดึกแล้วเด็กน้อยจึงผล็อย หลับ
ยายขยับเนื้ออุ่นให้หนุนตัก
"โอละเห่ เปลไม่มีนี่หลานรัก
นอนพักกับยายไม่ต้องกลัว


โตขึ้นจะให้ได้ศึกษา
เป็นมหาบัณฑิต ไม่คิดชั่ว
ไม่ดีอย่าได้ไปเมามัว
เลี้ยงตัวเลี้ยงยายในทางดี


จะพายเรือน้อยคอยเลี้ยงเจ้า
เก็บเอาเงินทองให้ถ้วนถี่"
แล้วเอื้อมหยิบ ขันในทันที
นับดีดียังได้ไม่ถึงร้อย


..เบิ่งฟ้า..ปรายฝัน..ใช่วันเก่า
เวิ้งว้างบางเบายายเหงาหงอย
วาบจิตตอกย้ำ-คำหลานน้อย
" ถ้าพลอยยายตายไปใครจะเลี้ยง"


***
วันนี้ น้ำคำดำกว่าเก่า
คลองเน่าวาดพายไม่อาจเลี่ยง
เด็กน้อยจ้วงพายจนไหล่เอียง
แว่ว เสียงจากยายไม่มีแล้ว...


วิกรมาทิตย์


อุทยานแมงกวี


ภูผาผงาด ชวนตระหนก
อุทยานยะเยือก สะทกสั่น
แมงกวี ถวิลถึงเพลงพระจันทร์


บอบบางกระสันกับทุกอ่อนไหว
เหินห่างกับสงครามนอกอุทยาน
ทุกดอกไม้จึงแย้มบานอยู่สดใส


นานนานที ค่อยมีโจรขโมยลูกไม้
เด็ดลูกไปต้นเต็มสวนยังอยู่ยืน
วันต่อไปลูกไม้ในมือขโมยจะพร่างพันธุ์
เป็นสวนขวัญแผ่ขยายหลายสิบหมื่น
ถึงไร้คนถนอมปลอบปลุกทุกวันคืน
ไม้จะตื่นค่อยเติบเองในมิช้า
เพ้ย..นักสู้ผู้คมดาบคดงอ
อย่าฟูมฟายวอนขอแทนผองข้า
สงครามใหญ่ในมหานัครา
ทำรสชาติลูกไม้ปร่าหรือไม่เลย


ไม้หนึ่ง ก.กุนที


*การทำบุญ***(บุญกิริยาวัตถุ ๑0)













































ทำบุญต้องเบาใจมีมากได้ถึงสิบทาง
ทำทานนั้นหนึ่งอย่างมิบังคับนับเต็ม ใจ
ศีลมีรักษามั่นภาวนานั้นมีเรื่อยไป
เป็นบุญบ่มในใจแจ่มใสดีมีค่าคุณ
อ่อนน้อมถ่อมตนควรเคารพล้วนละเคือง ขุ่น
ขวนขวายงานเกื้อกูลแผ่ผลบุญกุศลทำ
อนุโมทนาบุญฟังธรรมคุ้นเคยประจำ
ทำทานด้วยให้ธรรมคำชี้นำประโยชน์ มี
ความเห็นถูกตรงธรรมเชื่อผลกรรมทำทวี
สิบอย่างบุญแบบนี้กิริยาน่าทำกัน.

สุรภา เดชะ

พักผ่อน (หย่อนใจ)


ฟ้าสีครามน้ำสีเขียวท่ามเกลียวคลื่น
ยังคงขลังอยู่ยั่งยืน_วันคืน ผ่าน
ทรายสีทอง_สะท้อนแสงแต่งแต้มลาน
ไร้หมอกม่านกั้นขวางทางตะวัน
ฟองสีขาวราวดอกฝ้ายขยายกลีบ
"หนุ่ม"เร่งรีบวิ่งไล่ ฟายฟองนั่น
"สาว"เริงร่าหน้าระรื่นแสนตื้นตัน
จูงมือกันลงเล่นน้ำฉ่ำอุรา
นั่นคือภาพสาวหนุ่มเพียงคู่หนึ่ง
ที่เขาทึ่งกับทะเล ณ เบื้องหน้า
ชวนกันเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์
หลังจากเหนื่อยเมื่อยล้ามากับงาน
เขามาสูดอากาศบริสุทธิ์
เขามาจุดไฟฝันอันแสน หวาน
มาลืมเรื่องวุ่นวายเมื่อวันวาน
มาเบิกบานให้เต็มอิ่มที่ริมทะเล
สาวร้องเพลงไพเราะเสนาะโสต
"โอ้ทะเลใครว่าโหด_นั่นคลื่น เห่..."
ฝ่ายเจ้าหนุ่มไม่ยอมแพ้(แม้โมเม)
แล้วครวญเพลง "ตังเก" เร่งหารัก
เป็นความสุขสุดแสนโรแมนติก
ท่ามระริกระลอกคลื่นที่ ร้อยถัก
ท่ามสีเขียวของน้ำใสกว้างไกลนัก
อยากจะวักมากักตุนไว้เติมใจ
ชมฟ้าครามน้ำเขียวและเกลียวคลื่น
จนผ่านวันผ่านคืนสู่ วันใหม่
"และวันนี้ เราจากลาทะเลไป
สู่นาครที่กว้างใหญ่และวุ่นวายฯ"


สมิหลา ชลาทัศน์


แม่คือผู้ให้


คำว่าแม่นั้น ยิ่งใหย่ หาใดเปรียบ
สุดจะเทียบเทียมได้ในโลกหล้า
แม่เป็นผู้ให้กำเนิดเกิดลูกมา
เฝ้ารักษาดูแล ปกป้องภัย

ด้วยรักแท้ที่แม่มอบแด่ลูก
เฝ้าพันผูกฟูมฟักสร้างนิสัย
แม่รักลูกมอบไว้ในดวงใจ
หวังเพียงให้ลูกดี..แค่นี้พอ


นาฏยา ภูมิภาค จ.ชลบุรี
23 ก.พ.2541


คิดถึงยาย


ที่คาเฟ่คราวก่อนย้อนความหลัง
ฉันมานั่งฟังเพลงชมแสงสี
เอนกายพิงคลึงแก้วแก่ดีกรี
บนเวทีมีนักร้องกล่อมบรรเลง

ยลโฉมงามใต้แสงที่พราวพร่าง
เธอโชว์ร่างร้องรำทำเหยงเหยง
พอฝืนฟังแกล้มเหล้า เคล้าครื้นเครง
จังหวะเพลงเร่งเร้าสะเด่าใจ


ฉันยิ้มให้ตัวเองที่หาญกล้า
เสน่หาพาใจให้อ่อนไหว
เผยอยิ้มยื่นหน้าพร้อมมาลัย
ดวงฤทัยวาบหวิวสะเทิ้นอาย


พอหมดคิวเธอร้องรีบมานั่ง
ฉันรีบสั่งดริ๊งให้ดีใจหาย
เธอฉอเลาะออดอ้อนอิงแนบกาย
ฉันลืมยายที่บ้านในทันที


ฉันฝากรักเธอไม่ปัดหรือขัดขืน
เริงระรื่นชื่นใจแสนสุขขี
ฉันเกี่ยวก้อยค่อยประคองสู่ฉิมพลี
ดวงฤดีปรีดิ์เปรมสุขสำราญ


อีกสองวันจึงรู้ฤทธิ์มารศรี
ต้องรีบรี่ไปหาหมอช่วยสมาน
แม่โฉมยงฝากหนองในไว้เบอะบาน
ทรมานแทบตายหายซ่าเลย


"ชบาดำ"


เป็นไปได้ยังไง


กามนิตควงนามพิมยิ้มแก้มปรี่
โฉมกากีตามมาอย่างสงสัย
มโนราห์มากับพระศรีธนนชัย
พระอภัยเคียงคู่หนุมาน

พระลักษณ์รามสั่งส้มตำกับยำหน่อ
ฝ่ายพระลอสั่งลาบกับตับหวาน
พ่อขุนช้างร้องลั่น..ไส้ตันจาน
เจ้าเงาะร่านระริกมาอีกคน


ท้าวแสนปมอิดเอื้อนพระเพื่อนแพง
ท้าวผาแดงกอดรจนาหน้าหมองหม่น
ตะเภาแก้วโอบบ่าท้าวสามล
ขุนแผนด้นเหาะข้ามรั้วกลัวไม่ทัน


อิเหนาสั่งเนื้อแดดเดียวข้าวเหนียวกล่อง
พระสังข์ทองรูปหล่อขอหมูหัน
พระจันทโครพเปิดผอบพลัน
ชาละวันโดดก๋ามากลางวง


สั่งลาบเลือดก้อยกุ้งผักบุ้งป่า
เจ้าไกรทองให้เจ้าตาอุ้มมาส่ง
ทศกัณฐ์สั่งลิ้นย่างอย่าง งง งง
ทิณวงศ์สงสัยใครจะเมา


มาร่วมวงสังสรรค์กันกลางป่า
เพราะลุงต่วย ชวนมาร่วมดื่มเหล้า
เชื่อมสัมพันไมตรีพี่น้องเรา
ตายไปแล้วถูกเผา เหล้าอดกิน


รัศมี ชื่นชอบ


สัญญาที่เธอลืม


ทุกค่ำคืนตื่นใจข่มไม่หลับ
คอยนึกนับเรื่องหลังทั้งขมหวาน
ความอาวรณ์ซ้อนถ่วงหนักดวงมาน
คำสัญญาสาบานหลอนอารมณ์


โอ้ความรักศักดิ์สิทธิ์มากพิษร้าย
รสหวานกลับกลายหมดเป็นรสขม
เจ็บปวดหน่วงทรวงในใจระทม
มีความตรมน้ำตาคอยอาทร


เชื่อสัญญาว่าแท้ไม่แปรเปลี่ยน
เพราะร่วมเขียนด้วยใจใช่อักษร
สาบานจักรักมั่นนิรันดร
อ้างอมรดินฟ้ามารับรู้


จวบประจักษ์รักราสัญญาร้าง
อกอ้างว้างรันทดทนอดสู
เขาลืมเลยเฉยไปไม่เหลียวดู
เคยเคียงคู่เปรมปลื้มเขาลืมแล้ว


ผลเกิดตามความรักประจักษ์ค่า
คือน้ำตาความตรมโศกซมแซ่ม
ลายรอบแผลแส้สวาทฟาดฝากแนว
ไม่มีแววชื่นหวานให้พานพบ


คร่ำครวญหาสิ่งหวงที่ล่วงหาย
แสนเสียดายจนจิตคิดไม่จบ
ถ้อยเคยพร่ำบำเรอคราเธอคบ
ยัง ไม่ลบลางเลือนเหมือนสัญญา


อนงค์นุช ภูวรานนท์


ความงาม


ดวงดาวนั้นไร้ดวงใจ
มีเพียงนัยน์ตา
รุ่งอรุณ..
เมื่อเธอ ร้องไห้
ความงามของน้ำตา
ซึ่งเกาะพราวอยู่บนใบหน้าของผืนหญ้า
เนิ่นนาน...
เพียงการจากลาของรุ่งอรุณ
แสนสั้น...
กว่าความทรงจำ...

ด.ญ.จันทร


รถไฟสายสั้น


บ่ายวันแดด่อนล้าฤดูฝน
เด็กชายกับพ่อบนรถไฟสาย สั้น
เริ่มต้นการเดินทางอย่างเงียบงัน
ท่ามเสียงระฆังสนั่นสถานีเมือง

เด็กชายนัยน์ตาดูจึงตกตื่น
เดี๋ยวนั่งเดี๋ยวผลุดยืน กับเสียงเปรื่อง
เดี๋ยวชี้เดี๋ยวจ้องถามอยู่เนืองเนือง
กับหน้าต่างเริ่มเรื่องการเดินทาง


เริ่มจากบ้านแออัดหน้าสถานี
กับ แรงลมเริ่มมี- ทุ่งแผ่กว้าง
กับทิวเขาหลวงที่ทอดอยู่เลือนราง
ในหมอกฟ้าเวิ้งว้างด้านขวามือ


เขาถามว่า ทำไม ทุ่ง ต้นไม้
และเขาหลวงวิ่งได้กระนั้นหรือ
เขาถามว่านกยางปีกกระพือ
ลงกลางทุ่งนั้นคือของใครกัน


เขาถามว่าบ้านพ่ออยู่ ที่ไหน
และทำไมพ่อต้องไปที่บ้านนั่น
ทำไมพ่อต้องกลับไปหามัน
ในเมือเขาและพ่อนั้นต้องจากมา


เขาบอกว่าบ้าง เขาอยู่ภูเขาหลวง
และทุกสิ่งทั้งปวงมีคุณค่า
เขาบอกว่าบ้านเขาไม่มีทุ่งนา
แต่ เงาะ มังคุดและป่าบ้านเขามี


เขา บอกว่าบ้านที่อยู่เขามีทวด
แต่ทำไมทวด ต้องมีอยู่อีกที่
ทำไมบ้านคนจึงเรียกสถานี
และรถไฟจอดที่นี่อีกทำไม-


ธัช ธาดา


อหังการของชีวิต


"ซองอะไรนี่ครับ" ผมจับแยก
เป็นซองแทรกสอดใส่ในคำ ขอ
ใบม่วงแฝงซองหนักมากเกินพอ
ตัวเขาก็มองมาท่าพิกล

"มิมีอะไรหรอกครับรับไว้เถอะ"
ดูงะเงอะสองตาท่า ฉงน
คงคิดว่าตัวเราเขลาแผกชน
มาจากหนแห่งป่าวนาใด


ฉันยิ้มยิ้มสุภาพมิหยาบหยาม
แล้วบอกความให้สิ้นข้อ สงสัย
"ขอบคุณครับเชิญรับคืนกลับไป"
ไม่เป็นไรผมนี้มีเงินเดือน


มีหน้าที่บริการท่านแล้วครับ
รับไม่รับเงินท่านงานก็ เหมือน-
กันทุกท่านที่มามิช้าเชือน
ไม่บิดเบือนให้ประชาหน้าทุกข์ทน


เขาหายไปไม่นานถูกขานเรียก
มีโทร.เรียกให้ไป พบสบสับสน
นายใหญ่ต้องการตัวรีบพาตน
นายของคนซึ่งยื่นซองนั่งมองตา


อยู่ข้างโต๊ะนายใหญ่ใจของฉัน
เริ่มไหว หวั่นเป็นไฉนอย่างไรหวา
แนะนำแขกแล้วนายฉันจำนรรจา
ท่านถามว่าเรื่องนั้นเป็นฉันใด


ผมเรียนท่านอ่านตรวจทานแล้ว ครับ
เรื่องเสร็จสรรพมิบกพร่องทำนองไหน
"เออช่วยดู" นายตอบและ "ขอบใจ"
"ไม่มีอะไร" เท่านี้ที่เรียกมา


ขณะกลัว ฉันคิดพินิจเหตุ
เกิดอาเพศซองนั้นหรือคือปัญหา
ราชการงานเมืองเรื่องนานา
บุคลากรรัฐบอกชัดเจน


คนยังไม่ไว้วาง ใจในตัวเจ้า
อะไรเล่าพอจะเห็นเป็นโล่ห์เขน
จะคุ้มภัยในเราเหล่าอ้ายเณร
ความพิเรนทร์นั้นจึงไม่ถึงตน


ถ้านายดีมิรับ ซองต้องดีแน่
ถ้านายแย่ต้องส่งส่วยซวยคือผล
แต่ช่างเถิดเกิดอะไรไม่กังวล
ค่าของคนเกียรติศักดิ์รักของเรา


ไชย มงคล ปัญญ์ประทีป


วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

หลายชีวิต


ลมร้อนแล้งนาไร่ไร้พืชผล
หน่ายความจน ทิ้งถิ่นฐานจากบ้าน ป่า
เข้ากรุงเสี่ยงเพียงประโยคโชคชะตา
ชาวไร่นาโชคร้ายมุ่งขายแรง

"ลุงหนอม" จากบ้านนาชวน "ป้านุ้ย"
มาขุดคุ้ย เศษขยะไร้แขยง
เพียรทำมาหากิน "แถวดินแดง"
ส่วน "ยายแฟง" นั่งขายถ่าน "สะพานดำ"


นั่น "น้าน้อย" "พ่อเจ้าทับ" จ้าง ลับมีด
เหล็กหินกรีดฝนมันเช้ายันค่ำ
ผ่านคลองเตยเห็น "น้าชม" ขายส้มตำ
เป็น "นางรำ" หุ่นเข้าท่า "สาวมาลี"


โน่น "น้องน้อย" อยู่ซอยทรัพย์กับ "บุญสม"
บางขุนพรมเจอ "วิภา" มาอยู่นี่
มุ่งขายตัวกันเพลินเพราะเงินดี
"จบปอสี่" อยู่บ้านเพียงแค่เลี้ยง ควาย


แก๊งงัดแงะ "แกละ" ตั้งตัวเป็นหัวหน้า
ชาวกรุงพาหวาดหวั่นจนขวัญหาย
"หญิงลูกสาม" ทำก่อสร้างพังทลาย
ตก ตึกตายสะเทือนขวัญน่าหวั่นเกรง


ลมร้อนโรย "ทุย" บดเอื้องเหลืองรวงข้าว
หยุดเรื่องราวอันยาวเหยียดอันเครียดเคร่ง
ชีวิต ของแต่ละคนอลเวง
ชุบตัวเองกลับบ้านตน..เถิดคนดอย


"เอกบรม"


หว่านใจ


พลับพลึงรึงเร้าเคล้าราตรี
พลับพลามาลีคลี่ขยาย
กรุ่นกลิ่นรินร่ำกำจรจาย
สะพรั่งพรายเผยผลิมะลิลา

คาราวานล้านดาวมาพราวพร่าง
ละล่องแดนแขวนคว้างหว่างเวหา
คาราวานหิ่งห้อยพริบพร้อยพา
ละเล่นแสงแหล่งระย้าไพร


ท่วมตะเกียงวอมแวมคืนแรมร้าง
ขับมืดอำพรางสว่างไสว
โอ้ค่ำคืนนี้หนอรออีกไกล
กว่าบรรจบภพใหม่บรรเจิดตะวัน


สะบัดพรมลมลอดมาพรอดผิว
ผะแผ่วพลิ้วคว้างน้ำค้างขวัญ
คนใกล้สางกลางสวนรัญจวนจันทร์
กึ่งจริงกึ่งฝันอยู่โดยเดียว


คะนึงหน่วงห้วงหนึงอยู่ซึ้งลึก
คะเนนึกห้วงนั้นพลันเปล่าเปลี่ยว
คำนวนนับชาติภพคำรบเดียว
ชีพนี้เหลือเพียงเสี้ยวธุลีทราย


สัญจรจากฟากฝันแห่งวันเก่า
มานั่งเหงานิ่งงันชมจันทร์ฉาย
น้ำค้างห่มลมเคล้าเร้าระบาย
ชมความงามง่ายง่ายสงัดวัน


เคยบ้างหรือไม่หัวใจถาม
เสาะพบความงามช่วงสั้นสั้น
ในบางเสี้ยวนาทีหนอชีวัน
หลังรบราฆ่าฟันกับวันเวลา


ช่วงนั้นอาจเสี้ยวนาทีแห่งชีวิต
อันเลิศล้ำสัมฤทธิ์มหิทธิค่า
กว่าช่วงกาลนานยาวทุกคราวมา
จากสัญจรอ่อนล้ามายาวนาน


ประทับภาพผ่องเพ็ญอันเด่นดวง
ประทีบดาวพราวร่วงมหาศาล
ประเทืองไว้ในนิมิตสนิทวาร
ท่องทะยานไปหว่านใจไว้โพ้นฟ้า


โสตถิเทพ แสวงประเทือง


อาจมิใช่บทกวีที่แสนหวาน


อาจมิใช่บทกวีที่แสนหวาน
เพราะขาดจินตนาการ ละเอียดอ่อน
แค่เก็บความในใจใส่บทกลอน
ทุกวรรคตอนเหล่านี้คือชีวา


ยิ่งมิใช่บทกวีเพื่อชีวิต
เพราะมืดมิดสัจธรรมที่ล้ำค่า
เป็นได้เพียงลำนำธรรมดา
ตามประสาคนที่มีหัวใจ


ประสาคนดื่มด่ำธรรมชาติ
จนมิอาจเก็บซ่อนความอ่อนไหว
รักสายน้ำขุนเขา ลำเนาไพร
รักดอกไม้ทุกดอกรักหมอกบาง


รักกระทั่งกิ่งไม้และใบหญ้า
รักลำแสงอุษาเมื่อฟ้าสาง
รักกรวดหินเม็ดทรายที่รายทาง
รักน้ำค้างทุกหยด รักบทกวี


แค่ฟังเสียงนกกาก็ว่าหวาน
เคลิ้มวิญญาณหลงไหลได้เต็มที่
เห็นแสงดาวพราวฟ้ายามราตรี
สวย กว่าแสงแห่งมณีเจียรนัย


และรักคนที่รักสิ่งเหล่านี้
เพราะว่ามีความคิดฝันร่วมกันได้
สบตากันเท่านั้นก็พอเข้าใจ
ต้องบอกไหมว่าฉัน นั้นรักเธอ


เสริมศักดิ์ เปลี่ยนภู่


รอยทราย


ขอบันทึกทุกบรรทัดเป็นสัจจะ
เป็นธรรมะธรรมชาติประกาศ ไว้
คือรอยทรายรายเรียงเพียงรอยใจ
ร้อยความในไร้รูปเรียงเพียงรอยทราย

ขอความคิดสนิทนำดั่งน้ำนิ่ง
ขอความจริง สัจธรรมเชิดฉ่ำฉาย
ประเสริฐพรพระพุทธประภัสสรพราย
"ตายก่อนตาย" ตื่นรู้อยู่นิรันดร์


ทานซึ่งกระแสธารธรรมชาติ
ทานกิเลสลึกประหลาดปราศจากฝัน
บริสุทธิ์กรุณาปัญญาธรรม
ทุกข์ดับพลันอนันตกาลนิพพานพราว


"เมื่อไร้กรอบไม้โพธิ์ ประกอบกาย
เมื่อร้างรายกระจกใจใดจักหนาว
ไม่ต้องเช็ดชำระฝุ่นอันขุ่นคาว
ฝุ่นก็ราวจะลงจับความดับเย็น"


คนโลกนี้ หลงลมภาพสมมติ
อัตตาผุดสัญญาโผล่ความโง่เห็น
เวทนาอุปาทานวิญญาณกระเซ็น
สังขารจึ่งคงเข็ญเป็นวัฏฏะ เวียน


เพราะยึดอยู่ว่าตัวกูคือของกู
จึงทุกข์อยู่เพราะกูหลอกกูล้นเศียร
มีศรัทธามีศีลธรรมมีความเพียร
อีกบทเรียนแห่ง ปัญญาหาไม่เจอ


จึงบันทึกทุกบรรทัดเป็นสัจจะ
คือธรรมะธรรมชาติประกาศเสนอ
คือรอยทรายรายเรียงเพียงใจเธอ
ค้น ให้เจอในรอยทรายก่อนสายลม


ธีระชัย มะโนมะยา


วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

ปู-ชะนี


คนที่พอไหว้ได้สมัยนี้
เป็นที่เหลือน้อยแล้วเจ้าข้า
"ปูชนียบุคคล" ควร บูชา
คำนิยามล้ำค่าสารพัน

โบราณท่านสอนไว้ให้ไหว้กราบ
สุภาพอ่อนโยนยิ่งเป็นมิ่งขวัญ
อชัญาสัยไมตรีมีต่อกัน
เสริมเสน่ห์ สร้างสรรค์ในตัวตน


ผู้ใหญ่สมัยก่อนสอนเชื่อได้
ยกมือไหว้ไม่เสียมือถือกุศล
สมเป็นปูชนียบุคคล
ดีเลิศล้นคุณธรรมประจำใจ


ยุค ไฮเทคยั่วย้อม..คอมพิวเตอร์
คนซื่อหาว่าเซ่อเป็นบ้าใบ้
คนดีโดนดับดวงอับไป
คนจัญไรได้ดีมีเต็มเมือง


"ปูชนีย์" สมัยใหม่ใช้แบบ นี้
คือ "ปู" กับ "ชะนี" ฟุ้งฟูเฟื่อง
"ปู" เดินคดเคี้ยวเลี้ยวขุ่นเคือง
พาลหาเรื่องเดินไม่ตรงลูกหลงทาง


"ชะนี" ร้องโอดโอยโหย สะอื้น
หวังหยิบยื่นมรรคผลคนรอบข้าง
ผลประโยชน์ใส่ตนจนพุงกาง
ไม่เว้นวางป่าลั่นหวั่นประวิง


"บุก" คือ รุกล้ำซ้ำก้าวก่าย
"คน" ให้วุ่นวายยิ่งยุ่งยิ่ง
"ปู-ชะนี-บุก-คน" สับสนจริง
ขอท้วงติงไหว้ใครดูให้ดี


ต้องทนไหว้..อสัตย์..อยากกัดนิ้ว
เลือดทระนงโลดลิ่วเสีย ศักดิ์ศรี
สิบนิ้ว..ขอกราบผู้ปูชนีย์
เลือกไว้แต่คนที่..ควรบูชา


นิ่มนวล เวชปาน


กลับบ้าน


ดวงใจแห่งความคิดถึง
ติดปีกโบยบินมาก่อนแล้ว
แม่จ๋า.. ลูกกำลังเดินทางมา
ผ่านค่ำคืนแห่งความเหน็บหนาว
สู่รุ่งอรุณของวันใหม่
ทุกคนเหน็บหนาวไหม
ยามสายลมหนาวไล้ผิว เนื้อ

สายหมอกของยามเช้า
ยังคลี่ห่มหมู่ไม้บนดอยสูงอยู่หรือ
ผีเสื้อในสวนดอกไม้หน้าบ้านเล่าแม่
ยังขยับปีกเป็น เพลงเห่กล่อมอยู่หรือเปล่า


แม่จ๋า..ลูกกำลังเดินทางมากับรถไฟสายความฝัน
ผ่านเมือง ผ่านทุ่งนา ผ่านทุ่งดอกหญ้าสีขาว
ผ่านภูเขาและดอกไม้
ภาพของแม่และทุกคนที่นั่งผิงไฟในคืนหนาว
ยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ
อีกไม่นานแล้วล่ะแม่
ลูกจะได้ซบ ตักอันอบอุ่บของแม่
..หลับฝัน..
ค่ำคืนนี้เราจะได้อุ่นไอไฟจากกองฟืนด้วยกัน
และหลับฝัน ในอ้อมกอดแห่งความอบอุ่น
ท่ามกลาง บทเพลงแห่ง..ความรัก


ปิยารัตน์ สอนใจ


กำพร้า

ลืมตาใสใสใครกันหนอ
เสียงร้องคลอเปิดชีวิตปีฟ้าใหม่
เป็น อรุณเบิกฟ้าให้ไฉไล
สว่างไสวแม้ในรัตติกาล

ผิวเจ้าอ่อนละมุนละไมอำไพนัก
จะฟูมฟักเจ้านี้เช่นลูกหลาน
ทนุถนอม กล่อมแก้วใจให้เบิกบาน
และสืบสานรักแท้แทนแม่เจ้า

แม้ไม่รู้เหตุผลคนเป็นแม่
เธอพ่ายแพ้สิ่งใดจึงขลาดเขลา
ทอด ทิ้งดวงฤดีนี้ไว้แต่วัยเยาว์
ดอกโศกเจ้าโศกเศร้าราวร้าวทรวง

เอาเถอะเจ้าจงนอนก่อนฟ้าสาง
ฟ้ารุ่งรางสว่างแล้วในแมน สรวง
จะปลุกเจ้าให้เข้าใจในโลกลวง
เจ้าพุ่มพวงหลับเถิดหนาอย่าอาวรณ์

เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาอย่าร้องไห้
เจ้าจะได้ดื่ม นมน้อยที่คอยป้อน
แม้มิใช่นมแม่เจ้าอย่าเว้าวอน
เจ้าจงนอนกินให้สบายใจ

เพราะชีวิตถูกลิขิตเป็นปริศนา
เจ้าจงกล้า จะฝ่าฟันวันฟ้าใหม่
ยอมรับกับอดีตที่เป็นไป
เมื่อฟ้าใสจะเข้าใจในชีวิต

"เสาวรี"

ภาพเก่ากับเงาที่เลือนลาง

รุ่งอรุณฟ้าสางกลางหุบเขา
ให้เห็นเงาสาดส่อง ร่องภูผา
แสงสีทองส่องประกายบนหญ้าคา
หมู่นกกาบินถลาออกหากิน

ในยามสายสายหมอกออกจางจาง
แลป่า กว้างกว้างไกลหาใจถวิล
แสนเงียบงำน้ำไหลยังได้ยิน
จากซอกหินไหลไปชื่นใจฟัง

ตะวันลอยคล้อยต่ำลาลับฟ้า
เหล่า สกุณาพากันหันกลับหลัง
เสียงเรไรกู่ก้องร้องเพลงดัง
ส่งเป็นพลังกังวานในลานไพร

ท้องฟ้ามืดตะวันดับลาลับกัน
มี แต่จันทร์ทอแสงแฝงเงาไม้
ส่องระยิบระยับจับอยู่ ณ ดอกใบ
เหมือนส่องใจให้ลึกซึ้งอารมณ์

มีธรรมชาติที่สร้างทาง ชีวิต
ที่ลิขิตนำทางความสุขสม
แต่วันนี้มีป่าเขาที่เศร้าตรม
เจ็บระบมล้มตายเพราะใครกัน

โอ้ชีวิตป่าไม้ในวันนี้
จะไม่มีให้เห็นเช่นวันนั้น
จะได้เห็นก็เพียงแค่ภาพเงาจันทร์
เพราะใครนั้นทำร้ายช่างอายจริง

ละอองฝน

สยองหัว


อยู่สูงไม่มองต่ำ
สะดุดคะมำเป็นธรรมดา
กี่ครั้งและกี่ครา
ไม่จดจำเป็นบทเรียน

อำนาจแห่งมูลนาย
ทำลายคนอย่างแนบเนียน
โชติช่วงดั่งดวงเทียน
แล้ววูบดับในวับเดียว


จุดยืนที่เจ้าหยัด
สะท้อนทัศนะเทียว
ค่อยกลืนค่อยกลมเกลียว
ค่อยงอกเกล็ดเผด็จการ


ปากว่าตาขยิบ
ประชาธิปไตยขาน
แท้ใจสิประจาน
ไม่รู้จักประชาจริง


แรงกดและแรงต้าน
เป็นสองด้านอยู่ยันยิง
ยังช่วงและยังชิง
เป็นด้านหลักใช่ด้านรอง


อำนาจอธิปไตย
แห่งประชาคือครรลอง
เผด็จการเข้าหาญครอง
ต้องค้ดค้านต้องเปิดโปง


ไม้ผุอันมีแผล
เพราะแห่หามผีตายโหง
ดังฤาจึงนายโรง
ไป่ปิดทองสยองหัว


ยิ่งพูดยิ่งผิดหนัก
กลายกงจักรเป็นดอกบัว
ช้างตายอยู่ทั้งตัว
ใบบัวปิดมิดชิดไฉน


เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


ที่แท้จริง


แท้จริงสายลมยังพัดแผ่ว
เจ้าโกกิลาแก้วแว่วกู่ขาน
ต่อวันเวลาจากเมื่อวาน
ทั้งธาตุสี่คงก่อการณ์บนโลกา

เพียงเจ้าหรือหายไปในมหรรณพ
แพร่งพรายน้ำก็ไม่พบให้เสาะหา
ว่าอยู่ใดเป็นใดในชะตา
ดวงชีวาจะฟูฟ่องหรือล่องลง


กับกระแสสับสนคนบนโลก
ที่พร่ำเดินเผชิญโชคให้เลือนหลง
เข้าใจเจ้าหวั่นไหวไม่มั่นคง
ง่ายเป็นวงกระเพื่อมเสื่อมศรัทธา


คลายในความเป็นมนุษย์สุดที่รัก
น้อยหนึ่งลืมตระหนักคิดรักษา
ยิ้มอยู่ได้กับสาไถยใจมายา
แย่งเป็นมารกว้านหล้าสง่างาม


สนิทใจในโลกานุวัตร
ชอบวัตถุอุบัติระส่ำสาม
ปล่อยใจให้ได้ปลื้มหลงดื่มตาม
จนรู้ซึ้งถึงความล้มละลาย ฯ


จวบวันนี้ที่รู้สึกตัวอีกหน
ขอหนีไกลในมนต์แลขยาย
มาหวานกับกวีศรีพรรณราย
รักธรรมชาติง่ายง่ายใต้ร่มเงา


พินิจในย่างเท้าเหยียบเรียบง่าย
ยืดบทธรรมสอนไว้ไม่โง่เขลา
จะต่อวันเวลาที่รางเลา
ผนึกเอาความรู้สึกที่แท้จริง


แสน สิทธิธรรม


รักเธอจริงจริ๊ง


รู้ตัวไหมคนดีสุดที่รัก
พี่เฝ้าภักดีมั่นใฝ่ฝันหา
แอบรำพึงรำพันทุกวันมา
สุดศรัทธาท่วมท้นน้องล้นใจ

จักอดทนรอน้องปองมั่นหมาย
ทุกวันคล้ายสู้คอยพลอยหวั่นไหว
จากเย็นยันฟ้าสางสว่างไป
พี่เล่นไพ่เพียรกำหนดฝึกอดทน


รู้เถิดพี่รักล้ำธรรมชาติ
รักสัตว์โลกเสมือนญาติมิอาจหม่น
ยิ่งม้าแข่งยิ่งสงสารซ่านกมล
จึงเปรอปรนเข้าสนามด้วยความรัก


หากได้เคียงคู่น้องครองขวัญแล้ว
พี่จักแน่วจำนงตรงสมัคร
เลี้ยงเธอด้วยลำแข้งใช้แกล้งทัก
ด้วยใจภักดิ์เธอคงอิ่มปริ่มชีวิน


ขอสาบานเคียงนุชคนสุดท้าย
มิขอหน่ายหากคนดีมีทรัพย์สิน
หากไม่จริงดั่งคำพร่ำจากจินต์
ขอให้สิ้นใจสลาย..แก่ตายเอย


พจน์ เพื่อนขวัญ


ปริญญาของคนพ่าย


กำเนิดจากท้องทุ่งไกลกรุงมาก
"ทม"จึงอยากไปสู่ความหรูหรา
มันเกลียดการหว่านไถทำไร่นา
เพราะมีค่าคล้ายทาสอนาถใจ
เรียนจบหกศกก่อน"ทม"นอนคิด
จะมีสิทธิ์เหมือนอย่างคิดบ้างไหม
ปริญญาค่าวิจิตรบัณฑิตไทย
"ทม"วาดไว้ในวิมานแห่งการรอ


กับชีวิตในกรุง"ทม"มุ่งมั่น
เพื่อสิ่งอันมีผลไม่ย่นย่อ
สวมเสื้อ ครุยวันใดสุขใจพอ
แม่กับพ่อคงยิ้มรับให้กับมัน
ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมพร้อมพร้อมเพื่อน
"ทม"ซึ่งเหมือนคนใหม่ก็ไหวหวั่น
จะผง ขาวหรือจะการพนัน
"ทม"ยึดมั่นยิ่งกว่าตำราเรียน


เงินของแม่ทุกบาทจากหยาดเหงื่อ
ตกเป็นเหยื่อการพนันความฝันเปลี่ยน
เรื่องยก พวกตีกัน"ทม"ชั้นเซียน
ชีพ"ทม"เวียนวกวนอย่างคนทราม
หัวใจ"ทม"จมเหวความเหลวแหลก
จึงไม่แปลกที่ต้องถูกมองข้าม
และ ไม่แปลกที่จะถูกประนาม
นั่นคือความปราชัยของ.."ไอ้ทม"


จุฬาลัย


สุพรรณกัลยา


"ที่เขาเห็นเห็นกันนั้นเห็นจริง
แต่ว่าสิ่งที่เห็นหาจริง ไม่"
หลวงปู่ดุลย์ท่านเอ่ยเฉลยไว้
เป็นจริงซ้อนจริงในไม่เป็นจริง

ที่เขาเห็นพระสุพรรณกัลยา
นิมิตมาเป็นภาพจับใจ ยิ่ง
ให้เห็นตามความงามความเพริศพริ้ง
ล้วนเป็นสิ่งเศกสรรค์บันดาลดล


บันดาลขึ้นจากจิตที่คิดมั่น
พระสุพรรณกัลยา มาแต่ต้น
วีรกรรมคำเก่าเคล้าระคน
กระทั่งอยากได้ยลเหมือนได้ยิน


จิตจึงนึกจึงเห็นกลายเป็นภาพ
ให้ได้กราบได้ไหว้ เหือนใจสิ้น
เป็นตัวตนให้เคารพอบอุ่นอิง
ได้พึ่งพิงโภชประโยชน์ยาว


ภาพที่เห็นเห็นกันนั้นไม่จริง
แต่เป็นสิ่งให่ระลึก นึกสืบสาว
เกียรติประวัติวีรกรรมย้ำเรื่องราว
ประวัติศาสตร์ชาติคราวต้องร้าวรอน


คนมีสิทธิ์คิดได้คิดไปเถิด
คิดเพื่อ เกิดคุณค่าอุทาหรณ์
ให้เห็นเหตุเภทพาลทุกขั้นตอน
ให้เห็นผลที่สะท้อนสะเทือนตาม


อย่าหลงเพียงภาพฝันที่ชั้นวาด
นิมิตรมาดงามสง่าน่าเกรงขาม
อย่างมงายไสยศาสตร์อุบาทว์ทราม
จงแจ้งความจริงเท็จเถิดคนไท


"ที่เขาเห็นเห็นกันนั้นเห็น จริง
แต่ว่าสิ่งที่เห็นหาจริงไม่"
สังคมสิ้นสัจธรรมเหนี่ยวนำใจ
คนจึงใช้มายามายึดแทน


เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


น้องรัก


โฉมเอยพ่อโฉมกระหล่ำดอก
รักเจ้าใช่หลอกจะบอกให้
ขวัญชีวาอย่าทำเป็นร่ำไร
มาใกล้ใกล้ซิจ๊ะนะคนดี

พ่อเป็นชายทั้งแท่งกายแกร่งแกล้ว
หน้าตาแจ่มแจ๋วถูกใจพี่
ยิ้มแย้มแก้มนวลดูยวนยี
เอ๊าะ เอ๊าะ อย่างนี้ซิเหลือทน


ใครจะคอยค่อนแคะแขวะฟาดได้
ก็ช่างเขาปะไรอย่าไปบ่น
เรารักกันนั้นใช่สัปดน
ในกมลเสรีที่ชื่นเชย


ทีโรคเอดส์ทำกลัวกันหัวหด
แต่โรคอดร้ายกว่าตีหน้าเฉย
ด้วยว่าโฉมองุ่นไม่คุ้นเคย
ต่อคำเอ่ยค่อนว่าจะเสียใจ


ก็ประกาศเปิดเผยใช่เลยละ
เป็นผู้ชายนะยะจะบอกให้
ดูเขายังงงงุนกันวุ่นไป
ไม่รู้จักหรือไรเราคือเกย์


โฉมเอยพ่อโฉมมะขามเทศ
แม้เป็นเพศเดียวกันไม่หันเห
พี่รักพ่อเนื้อแน่นนวลไม่รวนเร
เจ้าจงอย่าโย้เย้เร่รักใคร


สอ แย้มครวญ


มหากาพย์


ร้อยอณูทิยสถานพิมานไหน
ร้อยหยาดยองใยในห้องหน
ร้อย หยดรวมตัวทั่วสกล
ร้อยขอบมนเอิ่มอิ่มประพิมพ์ประพาย

สร้อยลำแสงแสวงหาสายตาจ้อง
เปล่งลำศรสีทองปองเป้า หมาย
กระทบดวงยวงหยาดก็กราดกราย
สว่างพลุ่งรุ้งพรายประกายกานท์


บัดนั้นแหละแกะรอยทยอยเกล็ด
ทุกพราว เม็ดเผล็ดสะพรั่งรังสีหวาน
โสตถิสวัสดิ์รัสมีรวีวาร
เทพประทานปานเทียมทัดวัชรา


ระยับร้อยพลอยเพชรเกล็ดมณี
มงกุฏแก้วแก่นวิถีกวีกล้า
แสวงถ้อยถนอมขวัญกัลยา
ประเทืองฟ้าบ่าฝันนิรันดร


สยบยอมน้อมประณตมรกตแก้ว
ซึ้งใจ แล้วแนวทางสร้างนุสรณ์
อักษราค่าล้ำประคำกลอน
รินอาภรณ์ภาษามาสังเวย


จงคงค่าคู่ควรประมวลคิด
นิรมิตวิจิตร กรรมร่ำเฉลย
อยู่คู่ฟ้าคู่ขวัญด้วยกันเลย
โดยโอ่อ่าผ่าเผยดังเคยเป็น


มหากาพย์โบราณมากรานกราบ
จารลงทาบบทกวี เท่าที่เห็น
กรรโชกลมขย่มซุ้มพุ่มกระเด็น
หยาดกระเซ็นลงพรูกลบลบทุกรอย


โสตถิเทพ แสวงประเทือง


หน้าด้าน


คุยกันท่านนายกฯ แล้วละครับ
ท่านยอมรับว่าเข้าใจใน ปัญหา
เรื่องคำพูดของราเกซ สักเสนา
ท่านบอก-เป็นเรื่องธรรมดาของพวกโจร

ส่วนเรื่องพรรคแกนนำรัฐบาล
นำ เทปออกประจานอย่างโลดโผน
ตามสันดานจ้วงจาบชอบหยาบโลน
คุณนิกรฯ-ก็ตะโกนแล้วเหมือนกัน


ว่า-พรรคเราจะเอา เรื่องสอปอกอ
พฤติกรรมขี้ฉ้อของ"เทพ"ทั่น
มาลุยให้เป็นเทือก-เพราะรู้ทัน
ในสันดานกันและกันอยู่แล้วครับ


จะเรียง ร่วมรัฐบาลหรือร่วมเพศ
ย่อมจะชั่วย่อมทุเรศ- ถ้าสับปรับ
ที่ชั่วปัด-แต่ที่ดีนั้นรับ
นี้จะนับว่า "ร่วม" ได้อย่างไร


จนบัดนี้- นายกฯ ท่านยังยิ้ม
ปากแหลมแก้มอิ่ม-อยู่เห็นไหม
ดังนั้นฯ เราจะ "ร่วม" ท่วมต่อไป
ใครหน้าด้าน เรื่องของใคร เราไม่รู้ ?


อินถา ร้องวัวแดง


ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไป


เมื่อหมู่บ้านก้าวไกลกู่ไม่กลับ
ทุกอย่างจำเปลี่ยนปรับขยับขยาย
พร่าเลือนภาพทุ่งนายุคตายาย
หากแต่ภาพความตายเริ่มฉายชัด

เงียบสนิทมโหรีดนตรีลูกทุ่ง
ลำประโดงทุกโค้งคุ้งถึงคราววิบัติ
กากเดนการพัฒนาสารพัด
เปลี่ยนแปลงวิวทิวทัศน์ทุกเถื่อนทาง


ทุ่งรวงทองเปลี่ยนมือคนถือสิทธิ์
บ้านจัดสรรพันยูนิตถูกผลิตสร้าง
นิคมอุตสาหกรรมสารพัดถูกจัดวาง
เช้าค่ำเสียงเครื่องจักรครางอยู่โครมครืน


ลุ่มนา และ สาวหนุ่มแห่งลุ่มนา
เหลือก็เพียงนิทานปรัมปราอันขมขื่น
เพลงผู้เฒ่ากล่อมหลานอยู่วานซืน
แผ่วเสียงร่ำกล้ำกลืนขมขื่นครวญ


ไร่นาเคยทำกินเสื่อมสิ้นยุค
เหมือนโรคร้ายลามรุกไปทุกส่วน
ท้องทุ่งและเสน่หหาบรรดามวล
ทิ้งอดีตให้ทบทวนแค่ในนิทาน ฯ


สุขุมพจน์ คำสุขุม


ชีวิตช่างยาวนานในความเงียบ


ยามเช้า
นั่งนิ่งนึกในความสงบ
เบื้องหน้าคือ สายน้ำ
แควใหญ่ที่ไร้สุ้มเสียง
ชีวิตไม่มากไปกว่าความว่าง
ความคิดของฉันคือท้องฟ้า
ที่โต๊ะห่างออกไป
เพื่อนๆของฉัน งดงาม
เหมือนดอกไม้ผลิบาน
ด้วยเสียงเพลงและสำเนียงกีตาร์แผ่วเบา
ลำนำแห่งมิตรภาพคือแดดแรกที่กำลังฉายฉาน
กาลเวลา ไม่รู้สิ้นสุด
ชีวิตของฉันช่างยาวนานในความสงบ


สมพงษ์ ทวี


สงสัย


ประชาชนส่วนใหญ่ยังไร้ยาก
เกษตรกรส่วนมากยังไร้ที่
ทรัพย์ ในดินเคยอึดมสมบูรณ์ดี
สินในน้ำเคยมีกลับขาดแคลน

ที่เป็นป่ากลับโปร่งโล่งตลอด
ที่เป็นคลองน้ำขอดพงรกแน่น
เขียวข้าวกล้าเคยสดจรดแดน
มีโรงงานขึ้นแทนข้าวในนา


น้ำเคยใสไหลเย็นเห็นชื่นฉ่ำ
กลับขุ่นดำกลิ่นคุ้งทุกท่า
คันโพงผุพลิกหงายอยู่ปลายนา
หอยปูปลาด่าวดิ้นปลิดวิญญาณ


นกเหยี่ยวแก่แรงล้าวนหาเหยื่อ
เห็นแต่เรือจอดท่าไร้ อาหาร
วันแล้ววันปีกผ่าวปวดร้าวราน
นานแล้วนานผอมแห้งหมดแรงบิน


ประชาชนส่วนใหญ่ยังไร้ยาก
ชาวนาไร่ส่วน มากมีหนี้สิน
สนามกอล์ฟกลับเฟื่องกังเมืองอินทร์
นี่คือดินแดนใดใครบอกที


ชำนาญ อำไพ


วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

ชาวนากระดูกสันหลังชาติ

ชาว ไทยกว่าครึ่งค่อนประเทศที่มีอาชีพทำ นา
กระ โหลกแตกทับถมร้อยพันก่อกองกระ ดูก
สัน บ่าแบกรับความทรมานไว้เต็มความห หลัง
ของ ชาวนาหนี้สินไม่รู้จะชดใช้อีกกี่ร้อย ชาติ

วรวิทย์ จันทร์สุวรรณ

"woravit chansuwan"
wo_chansuwan@hotmail.com

19 Mar 1999

ตายเสียเถิดกวี


ก็แค่เพียงเคียงฝันไปวันหนึ่ง
ลึกซึ้งในจินตนาการกว้างใหญ่
สื่อสารก่อผลสะเทือนใจ
ด้วยภาษาแปลกใหม่อยู่อย่างนั้น


ขีดเขียนอะไรก็ไม่รู้
เชิดชูอยู่ได้หนอไฟฝัน
ลุ่มหลงดงภาษาตีค่ามัน
เป็นสวรรค์สว่างวาบอาบวิญญาณ์


***


ขีดเขียนทำไมก็ไม่รู้
ก็แค่เพียงฝันอยู่อย่างผู้กล้า
ใกล้ฝันไกลตีนไกลตา
เป็นบ้า กันแล้วหรืออย่างไร
พร่ำเพ้อละเมออยู่ไม่หยุด
ยิ่งฉุดยิ่งฝันกันไปใหญ่
ยิ่งโฉบปีกฉีกฟ้าหายไป
สู่หวังแห่งใจลึกนั้น
ตายเสีย เถิดผองกวีที่รัก
ตายลงในใยถักรักจะฝัน
ดับลงใน ตาข่ายกลางแสงจันทร์
บนเปลฝันที่เธอทอต่อต่อมือ


เสรี ทัศนศิลป์


ปริญญาในคืนเหงา


อ้างว้างเหว่ว้าเมื่อลาถิ่น
เปล่าเปลี่ยวดาวจินต์นักหนา
ยากแค้นอดทนเรื่อยมา
หวังว่าสักวันจะกลับคืน


ราตรีมีเพื่อนคือกาพย์กลอน
กำ-ราบจิตใจให้ชื่น
วันนี้วันพรุ่งวันมะรืน
ฉันจะ ฝืนอยู่ได้ถึงวันใด


จากถิ่นพ่อถิ่นแม่ถิ่นคนรัก
ที่เคยพำนักอาศัย
อนิจจาฟ้าช่างจงใจ
ให้จากมาแสนไกลหนอเรา


มาเรียนมารู้อยู่ ห่าง
เพื่อเอาใบเบิกทางงี่เง่า
โธ๋เอ๋ยค่านิยมมัวเมา
จะให้เอาไปโอ้อวดใคร


กระดาษก็ยังเป็นเช่นกระดาษ
ใช้บ่งบอกความ ฉลาดได้แค่ไหน
เห็นคนหลายคนที่ได้ไป
ยังโง่เง่าจัญไรเช่นเดิม


สัญญา คำวงษา


อ หั ง ก า ร ข อ ง ด อ ก ไ ม้


ส ต รีี มีี ส อ ง มื อ
มั่นยึดถือในแก่นสาร
เกลียวเอ็น จักเป็นงาน
มิใช่ร่านหลงแพรพรรณ

ส ต รี มี ส อ ง ตี น
ไว้ป่ายปีนความใฝ่ฝัน
ยืนหยัดอยู่ร่วมกัน
มิหมายมั่นกินแรงใคร


ส ต รี มี ด ว ง ต า
เพื่อเสาะหาชีวิตใหม่
มองโลกอย่างกว้างไกล
มิใช่คอยชม้อยชวน


ส ต รี มี ด ว ง ใ จ
เป็นดวงไฟไม่ ผันผวน
สร้างสมพลังมวล
ด้วยเธอล้วนก็คือคน


ส ต รีี มี ชี ว ิต
ล้างรอยผิดด้วยเหตุผล
คุณค่าเสรีชน
มิใช่ปรน กามารมณ์


ดอกไม้มีหนามแหลม
มิใช่แย้มคอยคนชม
บานไว้เพื่อสะสม
ความอุดมแห่งแผ่นดิน !


๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๖


คนจรกับเงาจันทร์


ดึกนี้เหงาเงียบเฉียบฉิว
ลมเรื่อยเปื่อยปลิว
หวิวพัดกวัดใจ คนจร
ยากหนอเหงาซบหลบนอน
เมื่อยังอาวรณ์
หวิวหวิวฉิวเฉียบเยียบเย็น

ดึกนี้ลมร่ำลำเค็ญ
เผยสุขทุกข์ เข็ญ
ว่าเป็นฉะนี้นี่แล
ดีกนี้ดาวห่างร่างแห
คล้ายคลุมดวงแด
คล้ายดั่งดาวใจยามจร
คืนนี้เหงาในนาคร
เพียงแสง นีออน
พรมพร่างอยู่อย่างเงียบงัน
เหมือนแสงไฟลับดับฝัน
สู่ห้วงจาบัลย์
จะบอกจะเล่าใครดี
คืนนี้หนักธาตุในกวี
ร้อยร่ำ วลี
ระล้ำระลักรำพัน
มีเพื่อนเพียงแสงในจันทร์
มีดาราอัน
อิ่มเอมในอกกูเอง
แม้ว่าหวาดไหววังเวง
จักพลัน บรรเลง
บรรโลมบอกโลกบรรลือ
ดั่งว่าความฝันนั้นคือ
ดั่งมือสองมือ
พาโลกสู่ล้านอำไพ
แม้ใจเพียงใจหนึ่งใจ
แต่นึ่งลึก ใน
แสนใจล้านใจใจนั้น
คนจรเพ้อกับแสงจันทร์
อันนิ่งงเงียบงัน
ใยหนอยิ่งเศร้าเหงานัก


กานติ ณ ศรัทธา
ศิริพร แก้วกาญจน์
ลำภา มัคศรีพงษ์
พิเชษฐ์ แสงทอง


วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

ป่าไม้

อันป่าไม้ มากมายในไทยนี้
สร้างสรรค์ดีปลูกป่าพื่อฟ้าใส
มีสัตว์เล็กสัตว์

ใหญ่ในพงไพร
คือสายใย ธรรมชาติสะอาดตา

ทั้งยามเช้า ยามเย็นเห็นสดชื่น
เป็นพันหมื่นล้านต้น คนปลูกป่า
ช่วยกันปลูกต้นไม้ ใจ

ศรัทธา
พัฒนา ชาติไทย..ให้งดงาม

  รัชนู พิมพ์จักรแสน จ.ชลบุรี
   16 ก.พ.2541

คือแม่

อุ่นใดเล่าห่มด้วยรักเท่าตักแม่
หาใครแลห่วงเราเท่าาแม่ขวัญ
เลือด

จากอกยอมพลีเลี้ยงชีวัน
คือแม่นั้น ยอมให้ทั้งกายใจ

แม้ใครอื่นหมื่นพันนั้นดุด่า
แม่ผวากอดร่างไม่ห่างหาย
ชี้ทางเดิน ให้เห็นมิเว้น

วาย
ไม่คิดร้าย ติฉิน ก่อนสิ้นลม

 กลยุทธ กำแหล้
 นครพนม 11 ม.ค.2542

ดี-ชั่ว

ทำ แต่สิ่งดีไว้ไม่หลงผิด
ดี ย่อมติดคู่กายไม่หม่นหมอง
ได้ รับแต่สิ่งดีมี คนมอง
ดี สนองป้องภัยได้ผลดี

ทำ สิ่งชั่ว ชั่วก็สุมรุมทำร้าย
ชั่ว อาจทำให้เราตายกลายเป็นผี
ได้ แต่ทุกข์สุขรางเลือนไม่เหมือน ดี
"ชั่ว" คำนี้ ถ้าหลีกได้ไม่ทุกข์เลย

ครูจิ๊ก

ร.ร.บ้านสามบึงบาตร จ.พิจิตร

รมณีย์

ดึกดื่นตื่นตาฟ้าห่ม
ผิวแผ่วเพลงลม
เพราะพริ้งดั่งทิพย์คีตการ

ขุน ศึกหลงลืมรำบาญ
ดื่มด่ำสำราญ
หลงใหลในห้วงอารมณ์

คนทุกข์ท่วมท้นระทม
น้ำค้างพร่างพรม
หัวใจพรายผ่องโดยพลัน

จุมพิตนวลแสงแห่งจันทร์
อบอุ่นเอื้อปัน
อวลไออิ่มรักรมณีย์

ย่อมปวงปรัชญาเมธี
แหละเหล่ากวี
ร้อยรสโศลกรำพึง

ขุนโจร ใจดิบด้านดึง
ดั่งมนตร์ตราตรึง
ลืมฆ่าเข่นเค้าชีพคน

คนล้าเหนื่อยนักจำนน
ฮึกเหิมอีกหน
ในห้อมแห่งราตรีงาม

ดึกดื่นดาว วาววาม
ให้เห็นนิยาม
หลากหลายเรื่องราวพราวฟ้า

คล้ายตาสบต้องดาวตา
คล้ายคู่สนทนา
สนิทแนบในห้วงดวงใจ

ปล่อย ฝันล่องลอยเรื่อยไป
สู่ฟ้าอำไพ
เพื่อพร้อม-พรุ่งนี้-ชีวิต ฯ

มาโนช นิสรา

เพื่อน......เอย

ความเป็นเพื่อนเหมือนมีคู่รู้ความ คิด
ความเป็นมิตรเหมือนความชื่นรื่นสุขสันต์
ใครไร้เพื่อนเหมือนยากจนทน จาบัลย์
ใจหวาดหวั่นเหงาหงอยคอยคู่เคียง
มีเพื่อนใจเพื่อนงานสำราญ ยิ่ง
เป็นทุกสิ่งถ้วนครบมิหลบเลี่ยง
มีปัญหาพาแก้ไขได้พร้อม เพรียง

ทั้งฟังเสียงคำปรึกษาไม่ว่าวอน
ควรมีเพื่อนควรเป็นเพื่อนเตือน สำนึก
ควรจักฝึกเป็นได้ใช่จักสอน
ฝึกแบ่งปันวาจาเพราะเหมาะทุก ตอน
ใครเดือดร้อนช่วยได้ให้ฝึกทำ
เสมอต้นเสมอปลายไม่หน่าย แหนง
จิตแจ่มแจ้งจริงใจใฝ่อุปถัมภ์
กตัญญูรู้คุณผู้หนุนนำ
เป็น เพื่อนย้ำยืนยั่งดังจำนง
สุรภา เดชะ

ข่าวคราวจากราวป่า

กล้วยไม้ป่าผลิดอกออกอาบฝน
กลีบเก่าร่วงหล่นบนเนินเขา
แตกกอหน่อใหม่วัยเยาว์
ใต้พุ่มเทือกเถาว์เงาแมกไม้

ทางเถื่อนเอือบน้ำชุ่มฉ่ำชื่น
ผ่านคืนผ่านวัน ฝันเก่าใหม่
รอยเกวียนหลุมเก่าทอด ยาวไกล
ลำห้วยเอื่อยไหลไปนาคร

เท้าย่างทางทอดคลอดหุบ
แดดหรุบควันไฟใคร ? สุมขอน
ตีนเขาไร่ใหม่คนหลับนอน
ยอด อ่อนข้าวเขียวด้วยเรียวมือ

ฯลฯ

มุ้งมิ้งสับสนเมื่อฝนสาด
ฟ้าฟาดเปรี้ยววับกลับมืดดื้อ
สรรพสิ่งพระพายไม่พัดพือ
คนถือมีด จ้องใกล้ห้องนอน

ราตรียืดยาวและข่าวร้าย
เสือหิวกระหายล่า, ไล่ต้อน
พยอมไพรกลีบช้ำพร่ำวอน
เกสรฉีกขาดเกลื่อนกลาดดิน

ต้นอ่อนพฤกษาหักคาต้น
แร้วบ่วง,คอกกลแสนโหดหิน
ค้างคาวผี,ว่ายฟ้าหากิน
หมอกลิ่นจำปูนโพ้นโพ้นพ้น

ฯลฯ

รอย เท้าย่ำเท้ายามเช้าตรู่
รับรู้ข่าวคราว-เศร้าหมองหม่น
หยาดน้ำโปรยฟ้า,น้ำตาคน
สัตว์หน้าขน ฉุดคร่าบุหงาดง

สุ เห ลิมปาน

อาชีพครู

อาชีพครู หมายถึงชีวิตที่จำเจ ซ้ำซาก..
และสังกัดกลุ่มที่มี รายได้ตำที่สุดในสังคมไทย..
เป็นการเสียสละที่เป็นรูปธรรม..

ทุกวันนี้..
เด็กส่วนใหญ่ถือการศึกษาเป็นเรื่องลงทุน ซึ่งก็เหมือนกับการลงทุนในธุรกิจทั่วไป..
คือซื้อถูกขายแพง..
พวกเขาถือหลักดูหนังสือให้น้อยเก็บคะแนนให้ มาก..
และเรียนให้จบโดยเร็วที่สุด..
เมื่อเป็นเช่นนี้..
เขาจะมาสนใจอะไรกับครูซึ่งต้องการสอนให้เขาคิด เป็น..
มองโลกกว้างไกล และมีสำนึกว่า..
ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกทั้งหมด..

แต่โดยส่วน ลึก..
ครูเองก็ไม่แน่ใจเลยว่า..
ตัวเองกำลังเสียสละเพื่อส่วนรวม..
หรือกำลังหนุนช่วยให้คน บางกลุ่ม..
ให้มีฐานะเป็นผู้ได้เปรียบในสังคม..
ไม่แน่ใจว่าเป็นครูที่มีบทบาทจรรโลง สังคม..
หรือเป็นเพียงเครื่องจักรตัวหนึ่ง...
ในโรงงานผลิตปริญญา...

wissly_jack@thaimail.com

เหวนรก

นึกระหว่างทางไต่ลงน้ำตก
เรากำลังลงนรกหรือไฉน
ทั้งเรียบลื่นสูงชัน ทุกบันได
หอบหายใจหาใดแทบไม่เจอ

แข้งขาสั่นสุดฝืนจะยืนไหว
เกาะราวไม้จนสุดราวจึงก้าวเก้อ
ยังลืมตาไม่ขึ้นมึนละเมอ
มองภาพเบลอบิดเบือนในเลือนลาง

ใครหนอ มาคลี่ม่านบานเต็มฟ้า
ขาวสะอาดบาดตาจาพร่าพร่าง
ลมโบยโบกสะบัดไหวไปทุกทาง
ควันลอยคว้างละอองกระเซ็นเย็นฉ่ำกาย

อลังการ์สง่างามเกินน้ำตก
นี่หรือคือเหวนรกอันโหดร้าย
ราวหมอกควันอัศจรรย์กระจัด กระจาย
รุ้งเสื่อมพรายยังยอมพรากจากฟากฟ้า

นี่หรือเหวนรกอันลือลั่น
เสียงครืนโครมโหมสนั่นลั่นหุบผา
ทุกเร้นสายไม่ขาดหายจาก สายตา
ลอยละลิ่วเริงร่ามาสำแดง

เหวนรกเย่อหยิ่งอย่างยิ่งใหญ่
เพียงธารใสไหลลัดเลาะเสาะแสวง
มาผสมกลมเกลียวจนเชี่ยว แรง
ก็แข็งแกร่งสูงส่งทรงพลัง

นึกระหว่างทางไต่บันไดเขา
วาสนาของเราช่างแสนสั้น
จะได้เห็นภาพนี้อีกกี่วัน
เขาจะกั้นทำเขื่อน เฉือนหัวใจ

เหวนรกจะเหลือเพียงเสียงเล่าขาน
เป็นตำนานให้ลูกหลานต้องร่ำไห้
เจ้าช้างป่าจะสูญพันธุ์ ณ วันใด
เราคงเห็น เขาใหญ่ อีกไม่นาน

วัน ณ. จันทร์ธาร

จากส่วนลึก

อีกสักปี สักวัน สักชั่วโมง
และหนทางก็จางหายไป
ในก้าวเดิน เราหา มันไม่พบอีกแล้ว
อีกหนึ่งปี ความฝัน แล้วก็ราตรี
แห่งความหลับยาวนาน
และภายใต้พื้นดิน
ฉันจะเป็นราชา
ของกระดูกที่หลับ อย่างมีสิทธิ์

ลูเซียน บลาก้า
(2438-2504)
กวีเอกของโรมาเนีย

เสียงกระซิบจากหลุมฝังศพ


เริงร่าย, ว่ายฟ้อนระบำฟ้า
วาดรำ, ลีลาท่า อ่อนช้อย
ยิ้มยวน, ชวนฝันให้ล่องลอย
หวานล้ำ,หยาดย้อย-ท่วงทำนอง
เพรียกถ้อย,ร้อยเรียง-สำเนียงคำ
แผ่วผิว,ขับลำนำ-ทำนอง ร้อง
หอมดอก,อบอวลกรุ่น-ผกากรอง
ฟุ้งกำจาย,ทั่วท้องทุ่งขอบฟ้า-

ตะวันขับ,แดดสาว-มาอาบฝัน
รุ้งหนุ่ม,วาดโค้ง ตะวัน-แย้มดวงหน้า
แดดสาว,โอบกอดรุ้ง-ชื่นชีวา
เที่ยวท่อง,ธารอิสรา-เริงรวี
เอื้อมดวง,โคงทอง-ผุดผ่องใส
ริ้วรุ้ง,พลิ้วไสว-ระบาย สี
แต้มแต่ง,เมืองสวรรค์-ชั้นดาวดี
เสียงเพลงปี่พากย์, ประโคมกลอง-ท้องวิมาน


โอ้..บรรเจิด,เพริศพราว-ชาวสวรรค์
เอิบอิ่ม,สุขสันต์-สวรรค์สะท้าน
ดูดดื่ม,กลืนกิน-ท้องถิ่นกันดาร
ห้วยคลอง,หนองหาน-ระเหิดหาย-,
แว่วเสียง,แดนสรวง-กระซิบสั่ง
เรืองรุ้ง, ฟุ้งหวัง-กลับพังพ่าย
โหยไห้,ดาวร่วง-ลงเรียงราย
สวรรค์ล่ม,จมหายแล้วเมืองฟ้า


เยี่ยม ทองน้อย


ทางสองแพร่ง

รุ่น "กูสร้าง" ไม่พอคนขอเช่า
หลายรุ่นแล้วรุ่นเล่าจนลือ เลื่อง
หลายกระแสแห่แหนมาแน่นเนือง
เช่าพระเครื่อง "กูปั้น" ว่าชั้นดี

รุ่น "กูสอน" กลับไม่มีใครรับ
นั่งคอพับคอเอียง บ้างเลี่ยงหนี
สอนให้เห็นคุณธรรมภาษาคัมภีร์
กลับไม่มีคนติดใจคิดค้น

รุ่น "กูสอน" ใครใครกลับไม่ชอบ
ไม่ติดกรอบ ติดกักต่อมรรคผล
มองเป็นเรื่องสาธกที่วกวน
กลับไม่สนใจฟังซังกะตาย

รุ่น "กูสอน" จึงไม่มีใครเชื่อ
ของแท้แท้เนื้อ เนื้อกลับเบื่อหน่าย
ไม่เห็นทิศทางธรรมคำบรรยาย
ไม่ระคายผิวหนังฟังไม่รู้

รุ่น "กูเสก" "กูแสร้ง" รุ่น "กูสร้าง"
แม้หน ทางเส้นไกลยังไปสู่
ยิ่งรุ่นกรุแตกพังยิ่งพรั่งพรู
คนแตกกรูยื้อแยกเหมือนแตกรัง

รุ่น "กูสอน" จึงไม่สู้รุ่น "กูเสก"
ยิ่งลง เลขให้รู้รุ่น "กูขลัง"
ยิ่งได้เห็นปาฎิหาริย์อาจารย์ดัง
ก็ยิ่งคลั่ง ปิดครอบเลี่ยมกรอบทอง

คนทุกวันหลงเชื่อแต่เนื้อพระ
แตะกลับละคุณธรรมนำสนอง
เชื่อรุ่นเสกเดินสายกันก่ายกอง
ติดรุ่นของเคลือบขลังบังอุบาย

เราหลงติดหลงเชื่อแต่เนื้อ สร้าง
จนติดค้าง ติดคุณ เรียงรุ่นขาย
ติดน้ำมือ น้ำหมาก กากน้ำลาย
จนติดตายตายติดหลงทิศทาง

ธัญญา ธัญญามาศ

ลองเล่นมายากลดู

จาก The Book of Goals

หลายคนพูดถึงการใช้ชีวิตที่สมดุล แต่ผมชอบที่จะคิดถึงนักมายากลที่โยนลูกบอลถึง 4 ลูก ที่แตกต่างกัน ขึ้นไปบนอากาศพร้อมๆกัน ลูกบอลทั้ง 4 ลูกนั้นเปรียบได้กับ

  1. ชีวิตการทำงาน - งานประจำวัน และการอยู่รอดในอาชีพที่คุณพอใจ
  2. ชีวิตในบ้าน - ความต้องการทางจิตใจของสมาชิกในครอบครัว และงานประจำวันได้แก่ การทำความสะอาด การซักรีด การใช้รถร่วมกัน การดูแลสัตว์เลี้ยง การดูแลสนามหญ้า ฯลฯ
  3. ชีวิตในสังคม - เพื่อกิจกรรมอาสาสมัคร และการติดต่อกับชุมชน ได้แก่ คนที่อาศัยในเมืองเดียวกัน เพื่อนบ้าน โรงเรียน องค์กร
  4. ชีวิตส่วนตัว - ความเฉลียวฉลาด ความมีน้ำใจ ค่านิยมเป้าหมายและความฝัน และโดยเนื้อแท้แล้วคุณคือใคร? คุณชอบสิ่งที่คุณเป็นอยู่หรือไม่? คุณจะไปไหน
วิธีง่ายๆในการมองดูลูกบอลทั้ง 4 ของคุณ ซึ่งมีงาน ชีวิตในบ้าน สังคม และโลกส่วนตัวนั้น ผมเรียกว่า ชีวิตในอวกาศ

บางครั้งคุณต้องจับลูกบอลลูกนี้ บางครั้งต้องไปจับอีกลูกหนึ่ง ในบางเวลาส่วนหนึ่งของชีวิตจะมีอิทธิพลมากกว่าส่วนอื่นๆ ถ้าคุณกำลังเป็นนักเรียน แพทย์ฝึกงาน และต้องเข้าเวรทุกคืนเว้นคืน คุณคงไม่อยากจะใช้เวลาว่างในการไปเรียนภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม หรืออาสาสมัครไปช่วยงานในค่ายผู้ลี้ภัย คุณอาจงานยุ่งจนจำชื่อลูกไม่ได้

ในช่วงเดือนแรกๆ หลังลูกคุณคลอด วิธีดำเนินชีวิตคุณอาจเปลี่ยนไปมาก ไม่ว่าคุณจะเป็นชายหรือหญิง คุณจะรีบกลับบ้าน และสนใจกับชีวิตใหม่ที่รอการเลี้ยงดู ต้องการทั้งเวลา และความสนใจจากคุณ

ในช่วงอื่นๆในชีวิต คุณสามารถรักษาความสมดุลได้ดีขึ้น มีเวลาพอสำหรับกิจกรรมอื่นๆ เช่นการเลี้ยงบุตร การใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนๆการทำความสะอาดบ้าน การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การให้กำลังใจผู้อื่น หรือการใช้เวลาว่างทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งการใช้เวลาว่างทำกิจกรรมเหล่านี้ บางครั้งอาจทำให้คุณรู้สึกอึดอัดใจ บางครั้งคุณอาจปลาบปลื้มใจ แต่คุณก็ยังต้องการจะทำอยู่ดี

การเล่นมายากล

จาก The Book of Goals

อาจเป็นประโยชน์กับคุณ
"คนยิ่งมาก ยิ่งมีความต้องการมาก ยิ่งมีเรื่องยุ่งๆมากตามมา"

ชีวิตการทำงานของสตรีนั้น เป็นตัวอย่างที่ดีมาก สำหรับคำกล่าวเปรียบเทียบ คนทำงานเหมือนกับการโยนลูกบอลสับหลีกของนักมายากล

ในหนังสือ Juggling ของ Faye J. Crosby ได้กล่าวถึงชีวิตของสตรี ซึ่งต้องสับหลีกระหว่างงานและครอบครัว เมื่อโลกของธุรกิจได้เปิดกว้างให้แก่ผู้หญิงมากขึ้น เมื่อผู้หญิงไปทำงานนอกบ้าน ทำให้พวกเธอต้องประสบปัญหาในการแบ่งเวลาและพลังงานในการดูแลบุตรและครอบครัว แต่จากการทำวิจัยของ Crosby พบว่า ถึงแม้ว่าผู้หญิงจะมีความเครียดในเรื่องการแบ่งเวลา แต่ผู้หญิงและบุตรของเธอมักจะได้ประโยชน์จากการมีบทบาทหลายอย่างของเธอ Crosby กล่าวไว้ดังนี้

"การทำให้งานที่ได้รับเงินเดือนเป็นส่วนเดียวกับชีวิตสมรสและการเป็นมารดาช่วยทำให้เธออารมณ์ดี ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน แต่โดยทั่วไปแล้วโอกาสของการมีความสุขนั้นมีมากกว่า ถ้าหากว่าเราสามารถกระจายและรวมความสนใจของเราได้ การเล่นลูกบอลมายากลนี้ เป็นการลดความเสียงของความสลดหดหู่ ความกังวล ตลอดจนความเศร้าสร้อย"

นอกจากนี้ การโยนลูกบอลหลายๆลูก ซึ่งหมายถึงเรื่องงาน และชีวิตในบ้าน มีส่วนทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าชีวิตน่าสนใจมากขึ้น และรู้สึกว่าพวกเธอมีความสามารถและมีความมั่นใจในตนเอง เมื่อเธอมีความสุขในส่วนใด ก็นำความสุขไปสู่ส่วนอื่นๆด้วย ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าเธอรู้สึกหมดหวังจากส่วนหนึ่งก็จะชดเชยโดยการพยายามทำความสำเร็จให้มีขึ้นในส่วนอื่นๆ

ในการทำงาน
การที่คุณเพลิดเพลินกับบทบาทหลายอย่างพร้อมกัน คุณจำเป็นต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากงานที่บ้านของคุณซึ่งน้อยมากทั้งหญิงและชายที่ได้รับมันจากการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาใน Seattle พบว่า 85% ของผู้จัดการระดับกลาง พบว่า พวกเขารู้สึกว่าเป็นการยากที่จะทำให้เกิดความสมดุลในชีวิต ระหว่างเวลาทำงาน ชีวิตที่บ้าน สังคม และเวลาส่วนตัว มีเพียงแค่ 1 ใน 50 พบว่า พวกเขาพอใจกับการสับหลีกบทบาทหลายๆแบบ

คิดไปไกลกว่าตัวคุณเอง

จาก The Book of Goals

เมื่อครั้งที่ผมเป็นจิตแพทย์ใหม่ๆ ผมได้ช่วยเหลือทหารผ่านศึกเวียดนามซึ่งกำลังต่อสู้ดิ้นรนเพียงเพื่อจะมีชีวิตในประเทศซึ่งไม่เข้าใจหรือสนใจว่าเขาเคยผ่านสิ่งเลวร้ายใดมาบ้าง พวกนี้ได้รับบาดเจ็บทางกายและทางจิตใจอย่างสาหัสมาก ซึ่งพวกเขาไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสังคมเท่าใดนัก หลังจากที่ผมได้ทำงานข่วยเหลือพวกทหารผ่านศึกมาระยะหนึ่ง ผมเริ่มมีความคิดว่า มีใครบ้างที่จะออกจากโรงพยาบาลในเวลาอันใกล้นี้ มีใครบ้างที่จะต้องได้รับการบำบัดรักษาที่นั่นต่อไปอีกนาน

เป็นที่น่าสนใจว่า สิ่งที่มำคัญที่สุด ในการกำหนดว่าคนไข้คนใดจะออกจากโรงพยาบาลก่อนนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับอาการรุนแรงของอาการบาดเจ็บของเขา แต่เป็นความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นนอกตัวเขา คนไข้บางคน สายสัมพันธ์ของเขาก็คือสมาชิกในครอบครัวที่ต้องการเขา รอเขาอยู่ที่บ้าน หรือเด็กเล็กๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อของตัวเอง พ่อแม่ ภรรยาที่รอคอบการกลับมาของเขา นานเหลือเกิน เหตุผลอื่นได้แก่ ศาสนา และเหตุผลอีกประการที่คุณคาดไม่ถึง คือ งาน

คนไข้คนโปรดของผมคนหนึ่ง ชื่อ ชอน ไรรีย์ ซึ่ง กระดูกขาแตกและติดเชื้อระหว่างการบำบัดรักษา เขาอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนและผ่านการบำบัดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดูเหมือนว่า เขาคงต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ไปอีกนาน เมื่อผมได้คุ้นเคยและได้เรียนรู้เรื่องราวของเขา ผมจึงเปลี่ยนใจ ผมได้พนันกับพนักงานคนอื่นว่า เขาจะเป็นคนไข้คนแรกที่ได้ออกจากโรงพยาบาล

เหตุใดหรือ ? เพราะว่าเขามีเส้นตายของเขา พ่อของชอนซึ่งอายุมากแล้วมีกิจการผลิตจานแก้วเล็กๆ ซึ่งมีผู้ช่วยเพียงคนเดียว และผู้ช่วยคนนี้จะเกษียณไปในไม่ช้า ถ้าเขาไม่กลับไป พ่อของเขาจะต้องแบกจานแก้วหลายๆจาน ซึ่งมีน้ำหนักมาก และพ่อของเขาคงจะต้องหยุดกิจการไปโดนปริยาย พ่อของเขาคงไม่สามารถดำเนินการจ้างคนนอกมาได้อีก เพราะอายุมากแล้ว ชอนรู้ว่า เขาจะต้องยืนบนขาของเขาให้ได้ เพื่อจะช่วยพ่อของเขาให้รักษากิจการเอาไว้

และเขาก็ทำได้ เพียงไม่กี่เดือนต่อมา หลังจากที่เราเอือมระอากับสภาพของเขา ชอนได้ลองใช้เครื่องหัดเดิน ต่อมาก็ลองใช้ไม้ค้ำ 2 ไม้ ต่อมาก็เหลือเพียงไม้เดียว ในเดือนต่อมา เขาสามารถเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยขาของเขาเอง หลังจากนั้นเพียงอีกไม่กี่อาทิตย์เขาก็ไปทำงานได้

เป็นอะไรเป็นให้ดีที่สุด

แม้มิได้เป็นดอกกุหลาบหอม
ก็จงยอมเป็นเพียงลดา ขาว
แม้มิได้เป็นจันทร์อันสกาว
จงเป็นดาวดวงแจ่มแอร่มตา
แม้มิได้เป็นหงส์ทนงศักดิ์
ก็จงรัก เป็นโนรีที่หรรษา
แม้มิได้เป็นน้ำแม่คงคา
จงเป็นธาราใสที่ไหลเย็น
แม้มิได้เป็นมหาหิมาลัย
จงพอใจจอมปลวกที่แลเห็น
แม้มิได้เป็นวันพระจันทร์เพ็ญ
ก็จงเป้นวันแรมอันแจ่มจาง
แม้มิได้เป็นสนต้นระหง
จงเป็นพงอ้อสะบัดไม่ขัดขวาง
แม้มิได้เป็นนุชสุดสะอาง
จงเป็นนางที่มิใช่ไร้ความดี
อันจะเป็น อะไรนั้นไม่แปลก
ย่อมผิดแผกดีงามตามวิถี
ประกอบกิจบำเพ็ญให้เด่นดี
สมกับที่ตนเป็นเช่นนั้น เทอญ

ฐะปะนีย์ นาครทรรพ

รู้แก้ปัญหา

จาก Emotional Qutient :
จากความฉลาดทางอารมณ์สู่สติและปัญญา
โดย นพ. เทอดศักดิ์ เดชคง

ปัญหาและอุปสรรคเป็นเรื่องปกติในชีวิตมนุษย์ ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กๆหรือผู้สูงอายุ แน่นอน ปัญหานำมาซึ่งความทุกข์ แต่ถ้าจะขจัดทุกข์ด้วยการหนีปัญหาไปเสีย ย่อมไม่เกิดการเรียนรู้ หรือหลายครั้ง ปัญหานั้นก็ไม่ได้หมดตามไปด้วย ตรงกันข้ามหากรู้จักแก้ไขปัญหาแล้ว ก็จะช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้

ปัญหาของปัญหา วัยรุ่นหรือเด็กก่อนวัยรุ่น พบว่ามีปัญหาเรื่องยาเสพติดสูงมาก ไม่ว่าจะเป็น ยาบ้า กาว ทินเนอร์ เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาอี ยาเค ฯลฯ บางรายใช้เพราะต้องการทดลอง แต่บางรายก็ใช้เพราะคิดว่าเป็นทางแก้ปัญหา แต่แท้จริงแค่เป็นวิธีหลบเลี่ยงปัญหาชั่วคราว ใช้ยากล่อมใจตนเองให้เกิดความสุขที่ไม่จีรัง แถมยังสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาทับถมทวีคูณ

วัยรุ่นมีพื้นฐานทางสรีระที่ผันผวนง่ายอยู่แล้ว เมื่อประสบกับปัญหาต่างๆ เช่น การเรียน ครอบครัว เพศตรงข้าม ฯลฯ ก็อาจทำให้สภาพจิตใจเสียสมดุลไปได้ การฝึกสอนให้เขาสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ จีงต้องเริ่มตั้งแต่ในวัยเด็ก การให้รู้จักรอคอย มองโลกในแง่ดีก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นความหวังในชีวิต คนที่แม้จะสอบได้คะแนนไม่ดี และอาจจบช้ากว่าที่กำหนด หากรู้จักมองในแง่ดีบ้างว่า ก็ยังสามารถจบได้ รู้จักรอคอยให้ช่วงเวลาที่ไม่สบายนั้นผ่านพ้นไป

การรู้จักมองโลกในแง่ดี เห็นคุณค่าในตนเอง ดำเนินชีวิตอย่างมีความหวังและกำลังใจจึงเป็นกุญแจสำคัญ

วิธีการแก้ปัญหาเป็นอย่างไร
ตามหลักการแล้วก็คือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง ประกอบด้วยการรวบรวมข้อมูล ตั้งสมมติฐาน กำหนดเป้าหมาย แล้วจึงลงมือปฏิบัติ ขั้นตอนเหล่านี้คล้ายคลึงกับอริยสัจ 4 หรือความจริง 4 ประการ อันได้แก่

  • ทุกข์ - (ความขัดแย้ง การทนอยู่ไม่ได้)
  • สมุทัย - (เหตุแห่งความทุกข์)
  • นิโรธ - (หนทางการดับทุกข์)
  • มรรค - (วิธีการดับทุกข์)
เมื่อมีความขัดแย้งหรือทุกข์เกิดขึ้น ขั้นแรกก็ต้องยอมรับและเข้าใจอย่างกระจ่างว่านี่คือปัญหาที่ต้องแก้ ถ้ายอมรับตรงนี้ไม่ได้ คงจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ

รวบรวมข้อมูล คือ การหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ มาวิเคราะห์หาสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหา

ตั้งสมมติฐาน คือ การคาดคิดคาดเดา โดยมีฐานข้อมูลว่า สิ่งนี้น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญ สิ่งนั้นน่าจะเป็นสาเหตุที่เสริมเข้ามา ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ตัดทิ้งไปได้

กำหนดเป้าหมาย - ว่าจะแก้ไขกันแค่ไหน เอาแค่พอผ่านไปได้ หรือจะแก้อย่างถอนรากถอนโคน อันนี้จะทำให้ง่ายต่อการวางแผนแก้ไขปัญหาด้วย

ลงมือปฏิบัติ - ตามแนวทางที่คิดว่าเหมาะสม

หลังจากลงมือปฏิบัติแล้ว ก็ควรได้ประเมินผลดูด้วยว่า ได้ผลไหม ถ้าไม่ดีก็ควรปรับปรุงด้วย

นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งมาปรึกษาเรื่องไม่ค่อยมีเพือน เลยเกิดความอาย ขาดความมั่นใจ ครั้นพอให้ตัวเขาเองคิดดูว่าเป็นเพราะอะไร เขาเข้าใจว่าอาจเป็นจากที่เขาไม่รู้วิธีเข้าสังคมก็ได้

หนุ่มรายนี้ไม่ค่อยเริ่มต้นความสัมพันธ์ก่อน แต่จะรอให้เพื่อนเป็นฝ่ายเข้าหา เช่น เดินสวนกัน เขาก็จะคอยดูเพื่อนว่าจะยิ้มหรือทักทายให้เขาหรือไม่ หากเพื่อนทักก่อนเขาจึงจะพูดคุยด้วย แต่ถ้าเพื่อนเฉยๆ เขาก็ไม่ทักทาย เหตุการณ์คล้ายๆกันนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ และน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาความสัมพันธ์

ผมช่วยให้เขาตั้งเป้าหมาย เขาจะต้องริเริ่มความสัมพันธ์ที่ดีก่อน โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะตอบรับกลับมาหรือไม่ เมื่อยิ้มให้แล้วไม่ได้รับยิ้มตอบก็ไม่มีอะไรเสียหาย ทั้งการฝึกยิ้ม ฝึกทักทาย ก็เป็นการบ้านที่เขาต้องเอากลับไปทำต่อที่บ้าน หลายเดือนผ่านไป เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้น เพื่อนฝูงเริ่มเป็นกันเองกับเขามากขึ้น นี่คงเป็นตัวบอกว่า การลงมือปฏิบัติเช่นนี้เป็นทางที่ถูกต้องแล้ว

กรณีที่เด็กยังไม่อาจคอดแก้ไขได้เอง พ่อแม่ ครู ควรต้องชี้แนะให้บางอย่าง โดยเฉพาะด้วยคำถามกระตุ้น "ทำอย่างไรดี" "อย่างนี้ได้ไหม" "ทำอย่างนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น" จะช่วยให้เขาคิดแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สำหรับครูแล้ว กระบวนการปลูกฝังนิสัยให้รู้จักแก้ปัญหา อาจไม่ใช่อยู่ในแค่ชั้นเรียน การปลูกผัก เล่นกีฬา ทำงานฝีมือ ฯลฯ ล้วนสามารถเป็นบททดสอบ และการเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาได้ด้วย

การ "ลองทำดู " เป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยให้กล้าที่จะคิด จะทำสิ่งต่อๆไป โรงเรียนบางแห่งให้เด็กนักเรียนมัธยมค้นหาวิธีแก้ปัญหาการใส่ปุ๋ยต้นไม้ เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณ จึงหันไปใช้ของที่มีในธรรมชาติ เช่น มูลสัตว์ ขยะมูลฝอยแทน

กระบวนการเรียนรู้แบบนี้ ทำให้เกิดโครงสร้างความรู้ในสมองแต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้าง คือ ต้องใช้เวลามาก จึงควรสอดแทรกการเรียนรู้แบบนี้เข้ากับการเรียนรู้รูปแบบอื่นๆ เพื่อให้เกิดแนวคิดที่หลากหลาย ทั้งรับฟังจากผู้รู้ต่างๆ และรู้จักค้นคว้า ไปจนถึงให้สามารถคิดเอง ทำเอง ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม

วันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

การช่วยเป็นพี่เลี้ยง

จาก The Book of Goals

ในการประกอบอาชีพของคุณมีทางทำสาธารณะประโยชน์ได้มากมาย เคยมีใครบ้างไหมที่เคยช่วยเหลือคุณเมื่อคุณกำลังหางาน หรือเพิ่งเริ่มต้นอาชีพ? คุณควรจะตอบแทนผู้อื่นบ้าง คุณควรเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้อื่น

บางมหาวิทยาลัยและโรงเรียนสายอาชีพบางแห่ง ได้มีโครงการพี่เลี้ยงซึ่งให้นักศึกษาผู้สนใจที่บางอาชีพได้ทำงานร่วมกับผู้ซี่งอยู่ในสายอาชีพนั้นจริงๆ เป็นเวลาตลอดภาคการศึกษาหรือตลอดฤดูร้อน โครงการพี่เลี้ยงอื่นๆอาจมีข้อจำกัด เช่น อนุญาตให้นักศึกษาซักถามและโทรไปปรึกษาพี่เลี้ยงได้ในบางโอกาสเพื่อสอบถามข้อมูลและแนวทางต่างๆ คุณเคยคิดบ้างไหมว่า คุณน่าจะได้รู้แนวทางมากกว่านี้ เมื่อสมัยคุณเพิ่งเริ่มทำงาน หรือเพิ่งเริ่มเปลี่ยนอาชีพ? คุณควรจะช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนกับที่คุณหวังว่าคนอื่นจะช่วยเหลือคุณเช่นนั้น คุณควรช่วยให้ผู้อื่นที่ทำงานให้กับคุณได้เรียนรู้ทักษะต่างๆมากขึ้น พยายามผลักดันพวกเขาให้ก้าวหน้าไปด้วยกัน

นอกจากนี้ยังมีหนทางง่ายๆที่คุณจะได้ช่วยเหลือผู้อื่นในที่ทำงาน โดยให้คำชมแก่พวกเขา มันมีคุณค่าอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะได้พบกับพวกเขา คุณควรกล่าวชมว่า "คุณทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ผมชื่นชมในตัวคุณมาก " เพียงเท่านี้ คุณจะทำให้เขามีกำลังใจต่อไป

มองการณ์ไกล


จาก The Book of Goals


ผมอยากให้คุณกับงานของคุณและรู้สึกว่าได้รับสิ่งตอบแทนจากการทุ่มเทเพื่องานมาหลายปี แต่มีบางสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่างาน ได้แก่ ครอบครัว สุขภาพและเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่คุณจะทำให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าคุณเสียงานของคุณไปลองนึกดูว่า ถ้าหากความเจ็บป่วยเกิดขึ้น กับคนในครอบครัวหรือพายุเฮริเคนทำลายบ้านของคุณจะเป็นเช่นไร พวกเรากำลังลืมไปว่า เราทุ่มเทให้กับงาน เรากลับมาบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เราไม่มีเวลาว่างสำหรับครอบครัวหรือสังคมที่เราเกี่ยวข้องเลย

บางทีคุณอาจจะอยากจะเสียสิ่งที่มีคุณค่าเพื่อรักษาวิญญาณของคุณไว้ อาจหมายถึงบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คนซึ่งรู้สิ่งใดมีค่าและสามารถรักษาสิ่งที่มีค่าไว้ได้ มักจะสามารถวางแผนนำวัตถุอื่นๆกลับมาภายหลัง (ในความเป็นจริง มหาเศรษฐีบางคนเล่าว่า เขาหาเงินมา 1 ล้านดอลลาร์และเสียมันไป 1-3 ครั้ง ก่อนที่เขาจะรักษามันไว้ได้) แต่การเอาความเชื่อใจของครอบครัวและของเพื่อนกลับคืนมาเป็นสิ่งที่ยากกว่า

การทุ่มเทให้กับงานหมายความตามที่กล่าวมาแล้ว คุณอาจรู้สึกว่าไม่มีเวลาเหลือจะให้ใครหรือสิ่งใดเลย แต่ถ้าคุณไม่สามารถให้ได้แล้ว ในที่สุดคนและสังคมรอบตัวคุณจะเลิกขอให้คุณอยู่ร่วมกับเขา เมื่อถึงเวลานั้นจะเป็นเวลาที่คุณตระหนักดีว่า คุณได้สูญเสียไปมากเพียงใด ถึงแม้จะเป็นการยากที่จะมีเวลาพอให้กับทุกคน แต่คุณควรจะต้องพยายาม

ในการทำงาน
งานที่ดีที่สุดในโลกไม่สามารถเป็นเกราะป้องกันคุณจากความเจ็บปวดและความต้องการตามธรรมชาติได้ จอร์จ บุช ได้เสียเวลาในวัยเยาว์ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ไม่สามารถทำให้พวกเขาลืมความรู้สึกสูญเสียในชีวิตได้ ลองนึกว่าใครเป็นคนมีค่าสำหรับคุณนอกเหนือจากงาน รู้จักที่จะเป็นผู้ให้แก่เขาและให้ความสนใจแก่เขาเท่าที่ควรจะได้รับ

ก้าวผิดไป..อย่ายอมแพ้


ความชื่นบานในชีวิตหาได้ไม่ยาก
ไม่ลำบากถ้าคิดจะไขว่ คว้า
สร้างฝันให้เป็นจริงเถอะ แข่งกับเวลา
และเผชิญหน้ากับความจริงสักที


ทดสอบความอดทนของหัวใจ
ปลดปล่อยความทุกข์ไปใน โลกกว้าง
แค่นี้แหละ ความเบิกบานจะมาแทนที่ความอ้างว้าง
แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นตามมาเอง


ถ้าเราสู้กับความจริงได้
ก็ทำใจให้เข้ม แข็งเข้าไว้อย่าอ่อนแอ
ถ้าก้าวผิดไปก็อย่ายอมแพ้
เมื่อคิดว่าเราแน่ ที่จะก้าวสู้ความจริงต่อไป


ปวีณา ดาวขาว


ใช้เวลาดูผลสะท้อนกลับด้วย


จาก The Book of Goals


ชีวิตจะเป็นเช่นใด ถ้าหากเรามัวแต่สนใจคนอื่น แต่ไม่มีเวลาพอสำหรับดูแลตัวเอง เมื่อสมัยที่ผมเรียนอยู่เกรด 4 มิสแมคมานารา ครูของผมได้เชิญคุณพ่อผมมาพบและบ่นเกี่ยวกับผมว่า ผมใช้เวลาฝันกลางวันมากเกินไป เมื่อคุณพ่อถามผมว่า ผมทำอะไร ผมเรียนท่านว่า ผมไม่ได้ฝันกลางวัน แต่ผมกำลังใช้ความคิด

การฝันกลางวันไม่ใช่เรื่องเลวทราม แต่คนส่วนใหญ่จะดูแคลนการฝันกลางวัน สำหรับในยุคปัจจุบันนี้ ผมคิดว่า เราควรมองออกไปนอกหน้าต่างและให้จิตใจของเราโลดแล่นออกไปบ้าง

ในภาวะที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน การปล่อยใจกลับไปอดีตหรืออนาคตอาจช่วยให้คุณคลายเครียด ผมเคนเตือนคุณถึงอันตรายถึงการคิดคำนึงถึงแต่เรื่องเสียใจในอดีต และความกลัวเรื่องในอนาคต แต่ผมไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่สามารถจำสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้ และฝันถึงสิ่งในอนาคตได้ แม้แต่คนที่รักงานของเขา จำเป็นต้องได้รับการผ่อนคลายทางจิตใจ จากเรื่องงานและให้ความคิดอื่นแวบเข้ามาในสมองบ้าง

วัฒนธรรมของเราในปัจจุบันไม่เห็นคุณค่าของการอยู่คนเดียว เราไม่มีเวลาที่จะอยู่คนเดียวเพียงพอ แม้แต่การเดินทางไปทำงานของเราก็ไม่เป็นส่วนตัว เพราะการต้องใช้รถยนต์ร่วมกัน การมีโทรศัพท์ติดรถ และเครื่องเล่นวิทยุ ผู้บริหารซึ่งเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเคยบอกผมว่า เธอพบว่าเธอไม่มีความเป็นส่วนตัวแม้ในห้องน้ำของเธอเอง เพราะว่าเมื่อลูกๆของเธอเดินได้ พวกเขาก็จะตามเธอเข้าไปในห้องน้ำด้วย และที่ที่เป็นส่วนตัวสำหรับเธออย่างแท้จริง คือ ในอ่างอาบน้ำ ขอบคุณพระเจ้าที่เด็กๆกลัวน้ำร้อน

อยากทานภาหม่นให้สดใส


อยากทานภาหม่นให้สดใส
ดั่งในวันวานครั้ง ก่อน
สวยๆสะอาดอ่อนๆ
ไม่ซับซ้อนสับสนเหมือนวันนี้
ใจเธอก็เช่นฟ้า
ปรวนแปรทุกเวลาทุกที่
อยากระบายป้ายเป็นภาพดี ดี
ผสมสีตรงกับใจเธอคนเดิม

เพียงจันทร์ พักตร์อำไพ


วิถีแห่งอารมณ์


อารมณ์เธอแตกต่างตามวิถี
แต่ล้วนมีคุณค่าอย่าสงสัย
ว่าหนึ่งนั้นนิ่ง ลึกสุขุมใจ
มองเห็นความเป็นไปอย่างลึกซึ้ง
ขณะหนึ่งดูราวเกรี้ยวกราดดุ
มุทะลุร้อนแรงเลือดเนื้อถึง
ถาโถมคลื่นซัดสาดอึงคะนึง
ก่อดอยคลื่นจึงคลื่นโยนยวบฟ้า..!

ภูเขาสูงใหญ่
ต้องไม่ใจกับดินทราย
เหมือนกับที่สวนดอกไม้
ต้องไม่หวั่นไหวเพราะ ดอกหญ้า
ท้องฟ้าอันกว้างไกล
คงไม่ดับไปเพราะดวงดารา!!

ชาญสิทธิ์ ฉายถวิล



เก็บ


เก็บทุกข์แร้นแค้นเต็มแผ่นฟ้า
เก็บหยาดหกยดน้ำค้างตามมาสานขวั้น ตา
เก็บคราบเหงื่อผองประชามาแบ่งปัน
เก็บเดือนดาวมาเคล้าฝัน-ปันมวลชน
โดยทุกข์ ถึงทุกข์ รู้ทุกข์
น้ำตาหลั่งรุกหมอง หม่น
โดยเหงื่อ เพรื่อไหลคลุกไคลปน
และเดือนดาวเฝ้าดิ้นรนบนนภา

หยิบน้ำใจให้เพื่อนพ้องและน้องพี่
หยิบความ เมตตาอารีที่เสดสา
หยิบถ้อยวลีที่กระจ่างชัดด้วยสัจจา
มาเกื้อกูลประชาข้าแผ่นดิน


พันธกานต์ ตฤณราษฎร์


เตือนใจ


ครั้งอ่อนโลกอ่อนวัยไร้เดียงสา
เคยคิดว่าลำพังตนอาจขวนขวาย
มี มือสองสมองกล้าอาจท้าทาย
ไม่เคยหมายพึ่งพิงแอบอิงใคร

ครั้นเติบโตเรียนรู้สู้ชีวิต
จึงได้คิดแรงเรามีเท่าไหน
จะก้าวสูงแม้ ไม่เกี่ยวเหนี่ยวสิ่งใด
คงไม่ไหวเพราะแรงเรามีเท่านี้

อยากจะก้าวขึ้นไปให้สูงส่ง
ต้องลดความทรนงคงศักดิ์ศรี
คนข้างบน ช่วยดึงจึงจะดี
ข้างล่างมีมิตรด้วยช่วยประคอง

คนข้างล่างช่วยดันสำคัญนัก
เป็นแรงผลักก้าวถนัดไม่ขัดข้อง
น้ำพึ่งเรือคนพึ่ง กันตามครรลอง
ไม่มัวหมองหมดค่าน่าอายใจ

เพียงอย่าเหยียบหัวใครให้ตนเด่น
อย่าผลักใครให้กระเด็นเป็นใช้ได้
ลด ศักดิ์ศรีลงบ้างช่างประไร
อย่าลดใจต่ำช้าน่าชิงชัง

อัชพร


กาลเวลา

กาลเวลาฆ่าสิ้นสรรพสิ่ง
แต่ไม่ฆ่าความจริงที่เป็นอยู่
เท็จได้ธรรมดาสาย

ตาดู
มิหลอกการหยั่งรู้ที่ลึกล้ำ
ใดสิ่งสวยงามวิเศษศิลป์
คือคุณแก่แผ่นดินที่ดื่มด่ำ
ใดสิ่งหยาบช้าสาริยำ
กล

คือกรรมเวรแดนของแผ่นดิน
ศึกษาสืบค้นในสัจจะ
สาระสืบสานทุกงานศิลป์
ให้คงภาพคู่พื้นปฐพิน
เมื่อยลยินหยั่ง

รสกำหนดรู้
รู้ให้จริงเพื่อจารซึ่งสัจจะ
เป็นพันธะหน้าที่พึงมีอยู่
ภาระการสานสร้างเส้นทางปู
ไปสู่กาลเวลาอนาคต


พินิจนิ่งวันหนึ่งข้างหน้านั้น
มิใช่วันใครนำใครกำหนด
มีหรือใครอยู่ยงขึ้นทรงยศ
เมื่อสิ้นหมดมอดสูญสมัยกาล


ค่าคนคงที่ยังชีวิต
เป็นเส้นใยเมืองนิมิตอันก่อสาน
ใดจะเหลือเมื่อร่างลงแหลกราน
เพียงตำนานบอกเล่าก็เท่านั้น


เมื่ออยู่ย่อมมีหวังว่ายังอยู่
ยังเป็นผู้วาดวางหวังสร้างสรรค์
สร้างเป็นสมบัติแห่งปัจจุบัน
อภินันท์นอบให้สมัยมา


ปัญญางามโดยทรรศนะ
สร้างสิ่งสาระด้วยรู้ค่า
เป็นบัวสวยรับแสงสุริยา
พ้นปากเต่าปูปลาเสมอไป


ความงามแฝงแง่มีปมเงื่อน
ไม่มีใครบิดเบือนตลอดได้
เมื่อรู้งามรู้แง่รู้แก่ใจ
คือรู้ในสิ่งที่พึงปรีดา


กาลเวลาฆ่าสิ้นสรรพสิ่ง
แต่ความจริงไม่เคยให้ผู้ใดฆ่า
เมื่อความจริงความงามตามกันมา
ย่อมอยู่กับกาลเวลานิรันดร



"วาณิช จรุงกิจอนันต์"

คือคน

ครั้งคราวก่อนตัวฉันยังน้อยนิด
ไม่เคยคิดสร้างสรรค์วันข้างหน้า
แล้วแต่พ่อ

กับแม่จะนำพา
เพราะตัวข้าขาดวิชามาอำนวย
พอโตขึ้นเติบใหญ่ได้อีกนิด
ก็เริ่มคิดสร้างสรรค์วันสดสวย
ฝันสักวัน

ฉันต้องครองความรวย
หวังจะช่วยเหลือชนคนพิการ
มาบัดนี้ตัวฉันได้ฟันฝ่า
มีปัญญาคู่สมองสองประสาน
ลืม

ความหลังครั้งเคยคิดมาเนิ่นนาน
เริ่มคิดอ่านสร้างสิ่งอื่นทุกคืนวัน
เดี๋ยวอยากโน่นเป็นนี่ไม่มีจุด
อยากจะรุดไปข้างหน้าท้า

ความฝัน
อยากจะเชิดชูหน้าเผ่าพงค์พันธุ์
ทนกัดฟันทนอาบคราบเหงื่อกาย
มือนั้นกำปากนั้นกัดตีนนั้นถีบ
แล้วก็รีบ

มุ่งไปตามใจหมาย
ทนเหนื่อยยากครากตรำลำบากกาย
ชอบท้าทายคือคนทุกชนเชื้อ
มีสองมือกับสองตีนเป็นอาวุธ


คือมนุษย์ผู้ประเสริฐเป็นเลิศเหนือ
มีสองสองตาและเลือดเนื้อ
ทนอยู่เพื่อคงศักดิ์ "นักสู้ "นาน

" สีเทียน "



เมตตา

ดวงดาวประทับประดาบนฟ้ากว้าง
น้ำค้างทอประกายบนใบหญ้า
หิน

เกลี้ยงกลางแก่งแต่งวนา
เหมือนเมตตาแต่งในหัวใจคน
ลมโบกไม้ใบไหวระยับ
ดิบซับซาบน้ำเมื่อฉ่ำฝน
มณฑลรับ

แสงทองต้องมณฑล
เกิดโดยกลกฏแห่งการแบ่งปัน
เกื้อกูลกรุณาน้อมสนอง
คือนวลส่องแสงสว่างการสร้างสรรค์


มีหรือราตรีกาลนานนิรันดร์
มีหรือวันใดสว่างมิร้างรา
จะโหดเหี้ยมห้าวหาญไปปานไหน
ไม่มีเลยหรือใจหวั่นผวา
แม้น

รู้จักสัจจะธรรมดา
คงเห็นจริงสัจจาทุกดวงใจ
จะหนักแน่นนิ่งได้หรือไรเล่า
ขุนเขายังรู้เลื่อนรู้เคลื่อนไหว
จะกร้าว

แกร่งกร้านกล้าเกินกว่าใคร
เพื่ออะไรที่กร้านให้การเกิน
โลกนี้มิใช่อยู่เพียงภูผา
ฝุ่นธุลีนานาก็อยู่เนิ่น
ไม่มีภูผาใดไม่

เชื้อเชิญ
หมางเมินหน่ายหนีธุลีดิน
วันใดแม้ดวงอาทิตย์ดับ
โลกย่อมย่อยยับลงแล้วสิ้น
สรรพสิ่งบนพื้นปฐพิน


ถ้วนถิ่นเท่ากันเสมอกัน
ไม่มีดาวฤาจะรู้ระยะฟ้า
ไม่มีหน้ามีหลังได้อย่างไรนั่น
ไม่มีดินเบื้องล่างให้ย่างยัน
จะ

ดึงดันเย่อหยิ่งกับสิ่งใด
แม้สิ้นศรัทธาหาเหตุผล
ไม่เห็นค่าของคนที่ต่ำใต้
ความเป็นคนจะมีอยู่ที่ใคร
เมื่อมิให้ตน

เห็นคนเป็นคน
นั่นดวงดาวประดับประดาบนฟ้ากว้าง
ถึงเจือจางแต่ก็พอเห็นหน
มีเมตตาประดับในหัวใจตน
ไว้ขับ

ความมืดมนในชีวิต

"วาณิช จรุงกิจอนันต์"

ศรัทธา

ปักธูปเทียนทองทั้งสี่ทิศ
กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์สรวงสวรรค์
กราบกรานนรกานต์

โลกันต์
เทวัญภูติไพรในพิภพ
กราบโดยกลกลัวจึงก้มกราบ
สร้างภาพไว้ค้อมยอมสยบ
สร้างผีประจำเสาไว้เคารพ
สร้างเทพไว้

นอบนบอภิวันท์
ปล่อยใจให้ออกไปนอกร่าง
แผ้วทางกรุยสู่ประตูสวรรค์
สืบเชื่อเช่นนี้มานิรันดร์
และสืบช่วงเช่นนั้นเสมอมา


เมื่อใจไม่นิ่งโดยสนิท
แน่นอนดวงจิตหวาดผวา
ตามีมืดสนิทเหมือนปิดตา
แสวงหาซมซานลนลานไป
สวรค์ไหนหุบห้วงสรวงสวรรค์


โลกันต์ไหม้หมกนรกไหน
นรกสวรรค์นั้นมีอยู่ที่ใด
อยู่ที่ใจหรือว่าที่ฟ้าดิน
ดิ้นรนค้นหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อิ่มอาบภาพนิมิตมิสุดสิ้น


หลอนตนอาตมาเป็นอาจิณ
ชาชินเชื่อยิ่งว่าจริงแท้
อนาถหนักทรรศนะสงบนิ่ง
สิ้นสิ่งคิดสร้างหนทางแก้
ยุคสมัยวันเวียนกาล

เปลี่ยนแปร
ยังดักดานต้านกระแสที่แปรแปลง
หลงกากบูดเน่าหลงเถ้าถ่าน
หลงสิ่งสสารอันเสแสร้ง
มิเคยคิดว่าจะหวังระวังระแวง


จะเห็นแห่งหนทางได้อย่างไร
เมื่อศรัทธาหาเรื่องที่หลอกหลอน
จะรู้หนาวรู้ร้อนกระไรได้
ก้เห็นดีเห็นงามตามกันไป
มิใส่ใจจะ

เห็นความเป็นจริง
จุดธูปหมดไหม้ไปกี่ดอก
เถ้าธูปก็มิบอกแม้สักสิ่ง
เมื่อธุปไหม้ไฟลามเล่าความจริง
ใครเผาทิ้งคุณค่าปัญญาคน



"วาณิช จรุงกิจอนันต์ "

คนชุดขาว

เธอก้าวย่างทางฝันในวันก่อน
ลองมองย้อนความหลังครั้งสับสน
เธอ

ก้าวย่างทางสีขาวคราวพลีตน
พยาบาลรับใช้คนด้วยวิญญา
เธอก้าวย่างทางฝันในวันนี้
ด้วยชีวีของผู้สู้ปัญหา
เก็บ

ความทุกข์ลบรอยคราบน้ำตา
ด้วยคุณค่าแห่งชีวิตคิดอดทน
เธอก้าวย่างทางฝันในวันหน้า
ด้วยปัญญาของผู้รู้เหตุผล


มีน้ำใจใฝ่อุทิศชีวิตตน
ด้วยเป็นคนชุดสีขาวงามพราวตา
เธอก้าวย่างทางฝันถึงวันนี้
เป็นเวลาสิบปีแล้วเธอจ๋า


ทางสีขาวที่เจ้าฝันสุดพรรณา
เต็มไปด้วยความระอาอ่อนล้าใจ
เธอมุ่งมั่นฝันใฝ่ใจบริสุทธิ์
เป็นมนุษย์สุดประเสริฐเลิศยิ่ง

ใหญ่
แม้นจะมีความคับแค้นอยู่แน่นใจ
เฝ้าอุตส่าห์ทนไปเพราะใจทน
เถอะสักวันความฝันอันยิ่งใหญ่
จะสวยใสดั่ง

ธาราดุจห่าฝน
วันที่ฉันชนะใจใครบางคน
ฉันจะยิ้มอย่างอดทนปนน้ำตา

"เอื้องดอย "

ทุ่งหญ้า

กี่พายุพัดย้ำกระหน่ำพัด
กี่สายซัดวสันต์ซ้ำกระหน่ำสาย
ร้อนกี่แล้งลุกล้ำ

มาทำลาย
อย่างพึงหมายว่าจะปราบเราราบลง
จะกดขี่บีฑาสารพัด
เชิญขย้ำเชิญกัดตามประสงค์
เวลาเคลื่อนคงจะรู้

ใครอยู่คง
ใครที่จักปลิดปลงและเป็นไป
เมื่อเป็นไม้ใหญ่หยัดขึ้นเยี่ยมฟ้า
จึงย่ำยีทุ่งหญ้าอันต่ำใต้
แข่งกันแซงแย่ง

กันเสียดเบียดกันไป
รอวันพายุใหญ่กระหน่ำเยือน
หรือมีอยู่ไม้ใหญ่ที่ยืนหยัด
สืบต่อศตวรรษไม่คลอนเคลื่อน
มีหรือ

ใดอยู่ดีนับปีเดือน
อยู่เหนือเงื่อนไขงานกาลเวลา
วันหนึ่งใครโค่นครืนลงครื้นครั่น
ใครนั้นจะนิ่งแนบสนามหญ้า
ใคร

หนึ่งสูงเยี่ยมอยู่เทียมฟ้า
จะซบหน้าแนบสนิทลงติดดิน
ติดดินต่ำหยามได้ว่าไร้ค่า
แต่นิ่งเหนือกาลเวลานิจศีล
สิ้นแรง

เหยียดก็เหมือนแร้งสิ้นแรงบิน
จะเหยียบด้าวเดินดินสถานใด

"วาณิช จรุงกิจอนันต์ "

คืนวัน

รุ่งอรุณนกร้องอยู่เริงร่า
ดังดนตรีลีลาอันเริงรื่น
เหมือนชีวิตยามนั้นวันและคืน


สดชื่นงดงามในยามนั้น

ไม่มีใครหยุดดวงตะวันวาด
เปลี่ยนแสงทอสาดที่ผายผัน
เงาสูรย์จึงมิจักชะงักงัน
นกว่ายวันว่อน

ฟ้าไปหากิน

เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเพราะแดดร้อน
แดผ่อนเพลาแรงเมื่อแสงสิ้น
หมดแล้วเวลาว่ายฟ้าบ่ายบิน
สถิตถิ่นทอดถอน

บนคอนน้อย

"วาณิช จรุงกิจอนันต์ "

ต้นทาง

เมื่อวักน้ำสุพรรณนั้นขึ้นลูบหน้า
ที่อ่อนล้าก็คล้ายจะคลายเคลื่อน
หยาดน้ำ

เย็นเน้นให้รู้ว่าอยู่เรือน
ได้กลับเยือนบ้านเราแต่เยาว์ยัง
ทุกครั้งคราวก้าวย่างไปข้างหน้า
ก็รู้ว่ามีทางอยู่ข้างหลัง
ทาง

ที่ทอดเที่ยงทิศไม่บิดบัง
พร้อมคำสั่งสอนสู้ให้รู้ทาง
ได้ก้าวตามต้นทางได้แต่ต้น
จึงเดินด้นเดินได้มาไกลห่าง
แต่

ตรึงสายใจสู่ไม่รู้จาง
ขยับย่างกายไปแต่ใจคง
เห็นสีเขียวสีขาวทุกคราวคิด
มีความหมายในนิมิตว่าสูงส่ง
เชื่อว่า

เขียวขาวคู่จะอยู่คง
เป็นสีธงนำทิศในจิตใจ
นำให้กล้าประกาศตนเป็นคนกล้า
ว่าเดินมาไกลมากมาจากไหน
ศิษย์มี

ครูรู้ที่ชั่วดีใด
จึงยืนได้ยืนอยู่ในหมู่ชน
กล้าหยัดขึ้นยืนค่าให้คนขาน
เพราะเลือดศิษย์ "สูงสุมาร ฯ" นั้นเข้มข้น
และ

ยังคงขลังเข้มอยู่เต็มตน
ในฐานะของคน "สูงสุมาร ฯ "

วาณิช จรุงกิจอนันต์

สวัสดีปีใหม่

ไม่มีชีวิตใครที่ว่างเปล่า
ถ้าหากเขามั่นใจว่าไม่ว่าง
ไม่มีใครอับจนสิ้น

หนทาง
ถ้ายังสร้างศรัทธาพยายาม

วันคืนขยับย่างไปข้างหน้า
อยู่นิ่งกาลเวลาแล้วก้าวข้าว
แน่นอนอนาคต

ต้องงดงาม
ต้องมุ่งตามไปเห็นว่าเป็นจริง

ท้อแท้ครั้งหนึ่งขณะไหน
ขณะนั้นแรงใจก็หยุดนิ่ง
จะเหมือนไฟ

ไหม้มอดถูกทอดทิ้ง
ไม่มีสิ่งใดเหลือเป็นเชื้อไฟ

ไฟดับเปรียบได้กับใจดับ
มืดอับอึ้งอั้นมิฝันใฝ่
มีชีวิตที่เหลือ

เพื่ออะไร
ถ้าความฝันในใจนั้นไม่มี

ทุกข์เกิดทันใดถ้าใจทุกข์
ทุกข์สุขไม่หมดสิ้นทุกถิ่นที่
เกิดขึ้นตามครรลอง

ของชีวี
สุดแต่จะเห็นดีกับสิ่งใด

วันคืนไม่เที่ยงเป็นฉะนั้น
เปลี่ยนคืนเปลี่ยนวันเปลี่ยนปีใหม่
เปลี่ยนปีกาลเวลา

เดินหน้าไป
อย่าเปลี่ยนใจที่เคยกล้านำหน้าปี

"วาณิช จรุงกิจอนันต์"

Candle in The wind แสงเทียนต้องลม

ลาก่อน กุหลาบแห่งอังกฤษ
ขอเธอสถิต ณ

ใจฉัน
เป็นเกียรติประดับอยู่เป็นนิจนิรันดร์
เมื่อวันเวลามาพรากจากไป
เป็นเสียงเพรียกเพียงเธอที่ปลุกเร้า
เป็นเสียงเฝ้ากระซิบผู้ทน

โหย
มาบัดนี้ สวรรค์ก็มาพราก กลับมิโรย
เปล่งมนต์โปรยประทับไว้บนนาม (ไดอาน่า)
เปรียบประดุจยามนั้นเธอดั่งแสง
ที่ยั่วเย้า

กระเซ้าสายลมผ่าน
มิราถอยแม้ยามตะวันรอน
แม้เปียกปอนใต้ผ้ากระหน่ำฝน
ทิ้งรอยเท้าย่ำไว้ไปทุกที่
บนเนินเขียวขจีแผ่นดินแม่


และแม้แสงต้องแดงดับลับเพลา
แต่ปรารถนายังอยู่มิรู้คลาย
ปรารถนาปกปักษ์เพียงเอ็นดูรัก
ปรารถนาปกปักษ์เพียงแย้มสรวล


ปรารถนาเธอเป็นเช่นแสงนวล
ไว้ชูชวนนวชนสู่ความดี
แต่ความจริงที่ปรากฏ
ย่อมหยาดรดบนดวงใจที่ไห้หวน
มิอาจแสร้งกล่าวคำ

เช่นลิ้นลวง
มิอาจล่วงวาจาที่เศร้าใจ
ลาก่อน กุหลาบแห่งอังกฤษ
ด้วยชีวิตเธอนี้ดั่งลมไล้
ให้แผ่นดินนี้ มีชีวิตมีอุ่นไอ
เกินกว่า

ใครจะกล้ากล่าวให้เธอรู้

Elton John

กายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยนักพักลงก่อน

กายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยนักพักลงก่อน
ใจจงผ่อน

คลายความเครียดที่ทับถม
กายต้องฝืนท่องตำราอยู่หน้าโคม
ใจต้องสู้นานนมจึงพ้นไป

ผลจะดีจะร้ายอย่าพึ่งคิด


ให้สะกิดเตือนตนแล้วแก้ไข
วันเวลาผ่านพ้นให้พ้นไป
วันพรุ่งที่สดใสยังรอเรา

"เกรด"มิใช่เครื่องตัดสินของ

ชีวิต
มิใช่บอกถูกผิดหรือโง่เขลา
เป็นเครื่องบอกความรับผิดชอบของตัวเรา
เป็นกระจกสะท้อนเงาของการเรียน



สาวหวิ่ง

'รัก กลั่นออกมาจากใจ

ท้องฟ้ากว้างใหญ่สิ้นสุดได้ที่สายตา
ภูเขาสูงเสียดฟ้าสิ้นสุดได้ที่ยอดเขา
ทะเลกว้างใหญ่สิ้นสุดได้ที่แผ่นดิน
กาลเวลาสิ้นสุดได้ที่วันเดือนปี
ใยเล่า-ความทุกข์โศกของเธอ
ไม่สิ้นสุดได้ที่ใจของเธอเอง

อัชพร


......................
ที่ผ่านๆมา....ก็คงจะผ่านๆไป
ความรัก....ความห่วงใย....สิ่งที่ดีดี..
บางครั้งถึงแม้จะเติมลงไปมากมายเท่าใด
กลับไม่มีความหมายใด.....
สำหรับใครบางคน....
อยากให้เธอเริ่มต้นใหม่...
เริ่มที่ใจ...ที่ใครคนหนึ่งมาแทน...
และใครคนหนึ่งนั้น....พร้อมที่จะรับอย่างเต็มใจ

สาวเหมียว.....

..........................
แม้หนทางนั้นแสนไกล
แต่หัวใจฉันนั้นเฝ้าห่วงหา
เป็นกำลังใจให้เธอนั้นทุกเวลา
เพียงเธอนั้นรู้ว่าฉันไม่ลืม....
....สาวส้ม..

.............................
โบกมืออำลา
แล้ววันนี้ก็ผ่านไปอีกวัน
เดินไปตามทางที่เธอใฝ่ฝัน
ไปตามกำลังที่เธอปรารถนา
รีบเรียนรู้เผชิญสู่สิ่งใหม่ๆ
พร้อมเตรียมใจกล้าศึกษา
ทั้งตำราผู้คนและเวลา
จะสอนสั่งคุณค่าชีวิตเรา...

.......สาวเอ็ม.......


เก็บวันนั้นที่มีค่า
เก็บช่วงเวลาที่สดใส
เก็บความรักที่เธอให้
เก็บไว้ในความทรงจำ
.........สาวปอย........


ป่าค้างตะวันผันผ่านน่านฟากฟ้า
เบิกดวงตารอยยิ้มและความหวัง
เติมความฝันใส่ความรักเป็นกำลัง
หัวใจยังสดใสและชื่นบาน.....

......สาวหนิง..


ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่าทิฐิต่อกัน
มีความในใจใดๆ ให้เปิดเผยต่อกัน
เพราะคืนวันนั้นสั้นนัก
บางที...อาจจะสายเกินไป ที่จะเรียกเวลาให้ย้อนคืน

.......สาวบอล..envi2.....


แม้ไม่มีความรักให้...
มีแต่ความจริงใจมาฝาก....
หากทำให้เธอลำบาก...
ไม่อยากรับฝ่ากก็ตามใจ
แต่หากว่าเธอรับไว้
จะไม่ทำให้เธอผิดหวัง
รับรองเป็นกำลังใจให้ทุกครั้ง
แม้ยามเธอพลั้งก็จะไม่ห่างไกล

.......สาวสุ......


ความเจ็บปวดของวันวานที่ได้รับ
ความแตกดับของพรุ่งนี้ที่จะเห็น
กับวันนี้ที่คล้ายตายเย็นๆ
เก็บไว้เป็นประสบการณ์เตือนใจตน...

.......สาวป้อม....


พรุ่งนี้อนาคตจะเป็นอย่างไร
เธอเท่านั้นที่จะสามารถตอบได้
มันจะดีหรือร้ายเพียงใด
ขึ้นอยู่กับหัวใจของเธอเอง....

.....สาววรรณ....


เมื่อน้ำค้างหยดหล่นบนดอกไม้
ลมรำเพยระเหยหายเมื่อใกล้สาง
กับชีวิตวันนี้ที่บอบบาง
เหมือนน้ำค้างระเหยตายด้วยสายลม

....สาวอู๋.......


ไม่มีใครไม่เคยผิดหรือพลาดพลั้ง
ไม่มีใครจักสมหวังไปทุกสิ่ง
ไม่มีใครหนีพ้นความเป็นจริง
ไม่มีใครหยุดนิ่งอยู่ตลอดกาล

......สาวจิ๋ม.....


มีโอกาสเกิดมาสวรรค์สร้าง
ความคิดกว้างก้าวไกลไม่หยุดนิ่ง
มีสมองสองมือรู้ทุกสิ่ง
ความเป็นหญิงใช่อุปสรรคจักขวางเธอ

.....นายโป้ง......


ดูอดีตหารอยพลาดอาจแก้ไข
นำกายใจสู่ทางดีมีความหวัง
ประกอบการงานก้าวหน้าเยี่ยมเปี่ยมพลัง
ใช้เวลาดูตามหลังก่อนสั่งลา

.......นายโจ้.......


พึงใจในสิ่งที่มี
เมื่อมีชีวิ...
กระทำหน้าที่ดีงาม....
น้ำตา...ดวงแก้วแวววาม
ตราตรึงติดตาม...
เสาะหารากเหง้าของตน....

....นายใหญ่.....

ไฟ...

อารมณ์โลดนั่นแล้วคือไฟร้อน
วู่วอน..วู่วามด้วยความหวัง
มีรู้จักรักจริงหรือชิงชัง
เพียงหมายได้เหมือนดังที่ดาลใจ

สบสวยปองสิ่งประสงค์สวย
มือดึงด้วยดึงดันพาหวั่นไหว
หวั่นจะพลาดผิดหวังเพ้อคลั่งไป
ยิ่งเพิ่มไฟปรารถนาเผาอารมณ์

สิ่งเสริมสวยส่งเสริมบำรุงเกษม
ใจเอมอิ่มอบเมื่อสบสม
ไม่สบน้ำตาซกลงโศกซม
เหมือนให้พรมดับภัยของไฟร้อน

วาณิช จรุงกิจอนันต์

บันได

ฉันคือบันได...
พวกเขาพาดไว้เพื่อปีนป่าย
ไปสู่จุดหมายแห่งความฝัน....เบื้องบน

เพื่อพวกเราจะได้ปีนป่ายได้อย่างง่ายดายและสบายยิ่งขึ้น...
เมื่อเท้าของพวกเขาสัมผัสกับ...
จุดหมายปลายทางของความฝัน...
พวกเขาก็ผลักฉันให้ล้มลง..
เพียงเพราะฉันคือ...บันได..

บุณฑริกา

......พันธนา....

ก็ย่อมรู้อยู่ท่ามกลางความหมาย
ที่มากมายร้อยพันเป็นปัญหา
ทั้งต่อหน้าให้นับทั้งลับตา
พันธนาชีวิตเป็นนิจไป

การสะสางมิหยุดลงสุดสิ้น
ย่อมโดดดิ้นรนหาเข้ามาใหม่
ที่เสร็จสางใช่เสร็จจริงเสร็จสิ่งใด
เมื่อเปลี่ยนวัยเปลี่ยนหวังทุกครั้งครา

มีความหมายหลายประการที่พานพบ
สางไม่จบก็ผูกพันเป็นปัญหา
คำตอบถูกควรที่ไม่มีมา
ถ้าหากว่ายังไม่ถามใจตน

วาณิช จรุงกิจอนันต์

.....เสน่หา......

ทั้งสิ้นคือศรัทธาแสนยานุภาพ
เอิบอาบซาบซ้อนมาซ่อนสู่
คิดว่ารู้ไปไปกลับไม่รู้
ยิ่งหมายสู้ยิ่งเหมือนสร้างทางศรัทธา

มองเห็นความงามสิ้นว่าสวยสด
ปรากฏแห่งเหตุเสน่หา
บุกเบิกบากบั่นฝ่าฟันมา
หมายว่าจะได้ชัยชนะ

มีศรัทธาสู้ทนอยู่พร้อมถ้วน
มิเคยทวนถามสิทธิ์อิสระ
ศรัทธานำกำหนดไม่ลดละ
เป็นพันธะหมักหมมจงงมงาย

...วาณิช จรุงกิจอนันต์....

เคย เป็นคนพิเศษ สำหรับเธอ

.เข้าใจนะว่าไม่คู่ควรกับเธอแม้แต่น้อย
นานนเท่าไหร่ที่เฝ้ารอคอย
..วันที่จะสูงส่งเท่าเธอได้
รู้อยู่ตลอดเวลา..มันคงดีกว่าถ้าฉันจะไป...

เพื่อวันหนึ่งเธอจะพบคนใหม่..ที่อาจเรียกได้ว่า.."สมกัน"
เธออาจจะเจ็บเพียงเล็กน้อยตอนนี้..
แต่เมื่อไหร่เธอพบคนที่ดี เธอก็จะค่อยๆลืมฉัน
ยอมหลีกทางให้เธอพบความสุขที่มากกว่ากัน...
เพราะสำหรับคนไร้ค่าอย่างฉัน แค่"เคยรักกัน" ก็พอใจ

น้องพร...


เธอเคยเห็นบ้างไหม..
มีความรักพาดผ่านไปทุกหนทุกแห่ง...
ในสายลมขอบฟ้าไกลใบไม้แห้ง...
ยามที่เธอล้าแรง..ยังมีกำลังใจ...
ลืมเถอะนะ.. คืนวันอันอ้างว้าง...
เธอยังมีเส้นทางที่ยิ่งใหญ่..
อีกไม่นาน..ความร้าวรานจะผ่านๆไป...
คงไม่ไกลกับความฝันวันของเธอ..
วันเวลาทุกโมงยาม..
ความงดงามที่ยังรอคอยเธอเสมอ...
แสงของดาวจะพราวพร่างนำทางเธอ..
ถักทอให้พบเจอสิ่งดี.ดี
ก้าวไปเถอะนะ..อย่าอ่อนล้า..
. หากเธอหันกลับมายังมีคน..คนนี้
เพียงหวังเสมอ..ขอให้เธอจงโชคดี...
ทุกนาที..ฉันยังเฝ้าคอยความสำเร็จของเธอ..

เบิร์ด & น้องวรรณ

ข้อคิดเพื่อกำลังใจ @ สะกิดความคิด

อย่ามีแต่"ตั้งใจจะ"แต่ไม่ยอมลงมือทำ
เพราะจะทำให้เราเบื่อหน่ายตัวเองมากที่สุด"
"อย่าตัดอายุไขให้สั้น ด้วยการตัดกำลังใจทิ้งง่ายๆ"
"อย่าให้การพ่ายแพ้ในหลายๆครั้ง
ทำให้เราเพิกเฉยที่จะกระทำต่อให้สำเร็จ"

"อย่าให้สถานการณ์และอารมณ์เปลี่ยนความตั้งใจสูงสุดของเราไปทำสิ่งอื่น
ในขณะที่โอกาสแห่งความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว"
"ความสะเพร่าในการดำเนินชีวิต
หลายครั้งเป็นเหตุให้เราระทดระท้อใจ

เมื่อผลของมันเกิดขึ้นกลายเป็นความล้มเหลวโดยที่เราไม่รู้ตัว"

เบิร์ด & น้องวรรณ

ฉันเห็นดาวพราวพร่างอยู่กลางฟ้า


ฉันเห็นดาวพราวพร่างอยู่กลางฟ้า
อยากเก็บมาวางไว้ในใจฉัน
ยามที่ใจเหน็บหนาวร้าวรานครัน
ยามถึงวันฉันเหงาเปลี่ยวเปล่าใจ

ฉันเห็นรุ้งทอดยาวตรงราวฟ้า
เหมือนเป็นทางนำพาสู่ฝันใหม่
ยามที่ฝันวันวานนั้นจางไป
จะข้ามรุ้งมุ่งไปไกลสุดตา


เพียงงแค่ฝันเท่านั้นที่ฉันคิด
เพียงแค่จิตคำนึงไกลสุดใฝ่หา
เพียงแค่เพ้อหลงไปในมายา
ภาพลวงตาหลอนว่าฝันนั้นมีจริง

เอื้อมมือไปคว้าไขว่ในภาพฝัน
หลอกหัวใจว่าคืนวันนั้นหยุดนิ่ง
คิดว่าฝันที่วาดไว้กลายเป็นจริง
สุดท้ายเหลือเพียงสิ่งเดียวความเปลี่ยวดาย

จะมีไหมที่ใจได้ดังใฝ่ฝัน
หรือจะมีเพียงคืนวันฝันร้ายๆ
จะมีไหมวันที่ฉันนั้นสุขใจ
หรือมีเพียงความเดียวดายที่ได้มา..

.สุกัญญา สุรเสียง


ฝัน.

ฝันบางฝันจะคงมั่นอยู่ในใจไปตลอดกาล
เป็นฝันที่เธอมุ่งมั่นอยู่เต็มเปี่ยมหัวใจ
และฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ฝันนั้นเป็นจริง
ตามติดมุ่งมั่นดังคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง
พยายามทุกวิถีทางเพื่อฝันนั้น
และสิ่งที่ฉันหวังคือ
ท้ายที่สุดฝันนนั้นจะเป็นของฉัน
ถ้าฉันสามารถเอื้อมสูงขึ้นไปแตะฟากฟ้าได้เพียงสักครั้งในชีวิต

ฉันรู้ว่าฉันจะแข็งแกร่งขึ้น
เพราะฉันรู้ว่าฉันได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว
ณ.เวลานี้ฉันจะก้าวเดินต่อไป
มองหนทางที่ฉันได้ปีนป่ายขึ้นมา
และฉันยิ่งมีความเชื่อมั่นว่า
เหนือสิ่งอื่นใด ฝันนี้เป็นของฉัน

สุกัญญา สุรเสียง

วังบวร

บวรวังรังสรรค์พรรณพิจิตร นิมิตรไพสิฐศรีรุจีสวรรค์
มหาสุรสิงหนาทปราสาทสุวรรณ เกินรำพันโอภาสราชมณเฑียร
พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ขัณฑ์ แพราวอัพพันตร์พรรณรายพรายพาเหียร
เปลวช่อฟ้าท้าวิมานตระการเกียรติ์ พิเศษเศียรนาคสะดุ้งพุ่งพริ้วลม
พระพุทธสิหิงส์สิงสถิตย์ เจริดวิจิตรพุทธลักษณ์ประจักษ์สม
เรืองอร่ามวามกาญจน์เกินขานชม พระพักตร์คมชัดงามองค์รามแล
ชวนรำลึกตรึกธรรมอำรุงจิต จูงให้คิดน้อมนำธรรมกระแส
ว่าทุกข์ผองล่องจากเหตุเลศที่แท้ เกิดแล้วแก่,เจ็บตาย ย้ายพรากกัน
กอปรกรรมใด,ผลกรรมนำสนอง ธรรมประคองใจสงบพลกองขันธ์
บ่มบุญเบิก,เพิกบาป,อาปจินต์วรรณ พิสุทธิ์สันโดษสติดำริภาร
โบสถ์บวรสถานสุทธาวาส เรืองวิลาสจตุรมุขสุกใสสถาน
ตะวันเช้าทอรังสีคลี่แก้วกาญจน์ ทวารบานจำหลักทองทุกช่องเชิง
แผงเพ็ญบันไพพรรณสีทวีวาว เพริศพรายพราวราวรุ้งรุ่งฟ้าเหลิง
เปลวช่อฟ้าใบระกานาคาเริง ลักษณ์ดำเกิงไขราสุธากร
มุขสี่ต้นตระการแล้วแวววะวาบ กระแหนะกาบกระหนกกาญจน์ผสานศร
รุ่งรังสีขจีฉายขจายขจร ตะวันรอนย้อนส่องลำยองใย
จิตรกรรมผนังในแสนไกรเกริก ภูมิภาพเบิกสุนทรีย์ศรีไสว
แพนผนังสิบสองบานซ่านหทัย งามวิไลธงไชยช่างสร้างตราตรึง
จรูงพื้นจรดชายคาประดาภาพ สมเป็นลาภมรดกตกทอดถึง
ใครมาเห็นไม่วายเว้นเน้นรำพึง ครุ่นคะนึงซึ้งถวิลศีลธรรมพราว ฯ
แวววาวราวดั่งมณีรุ้ง รังสรรค์ เทียวนา
แสงส่องยองใยบัน ช่อฟ้า
งามจริงยิ่งพรหมขัณฑ์ พรรณแจ่ม เจิดแฮ
พราวพร่างระวางวังจ้า อ่องหล้าเลอสรวง แม่เอย
ผมร้อยกรองพจมานบรรสานศัพท์ เชิงร้องรับบทกวีศรีสมัย
ยึดแบบอย่างทางครูผู้เกริกไกร เขียนขึ้นใหม่หน้าโบสถ์โรจน์อารมณ์

ล้วน เจนใจ (2535)

ตำนาน

คือสาวน้อยช่างฝันของวันเก่า
ประกายฝันเต้าเร้านัยน์ตาใส
รอยย้มไร้เดียงสาภาวะภัย
บริสุทธิ์ดั่งดอกไม้แรกผลิบาน
ผ่านไปแล้วภาพฝันแห่งวันเก่า
ผ่านคืนวันอันเงียบเหงาและร้าวฉาน
ได้เรียนรู้ดูเห็นดังเช่นกาล
ความหยาบกร้านคลืบคลานในชีวี
ไม่เหลือแล้วรอยยิ้มปริ่มเดียงสา
ความฝันอันแกร่งกล้าในวิถี
ความบริสุทธิ์สดใสที่เคยมี
มาบัดนี้เหลือเพียงตำนาน
คือสาวน้อยช่างฝันแห่งวันเก่า
เธอตายไปในบทเพลงเศร้าที่ขับขาน
เหลือเพียงหญิงสาวผู้กร้าวกร้าน
กับดวงตาร้าวรานและทุกข์ตรม

.อัชพร สะอาดยิ่ง

แสงดาว ศรัทธามั่น

เห็นขอบฟ้าฝั่งตะวันตก
พระอาทิตย์จะตกหลังเขา
แต่ภูเขายังเสียดยอดตระหง่าน
หัวใจฉันชื่นบานแม้เจอยามเย็นเหงาเหงา
ค่ำนี้จะมีแสงดาว คืนนี้จะมีผู้เฒ่าแสงดาวศรัทธามั่น
ทุกทุกดวงใจที่ล้าและเหนื่อย
เธอยังเป็นความหวังสร้างสรรชีวิตโลก_สันติสุข
เป็นผู้ชายที่เดินตามใจ
เส้นทางมากมายไม่ตามทาง
ถึงฤดูเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง
หื่นหายรุนแรงตามล้าง
แต่ฉันจะยืนเขียนบทกวี

คำ พอวา

วลีที่อบอุ่น

เด็กโง่
เมื่อไหร่เจ้าโตขึ้น เจ้าจะรู้
ว่าโลกที่เราเห็นอยู่
กว้างไกลกว่าที่มองเห็น
ความรัก..ก็เช่นกัน
ไม่ใช่เพียงความผูกพันล้อเล่น
รักอาจไม่ชื่นฉ่ำเหมือนน้ำเย็น
รักไม่เป็นความร้อนรุ่มดังเปลวไฟ
" รัก" คือความรู้สึกที่มีค่า
อ่อนโยนเกินกว่าจะผลักไส
แม้รักแล้วอาจจะเสียใจ
ใคร ใคร ก็เคยเป็นอย่างนั้น
สักวัน เมื่อเจ้าเติบใหญ่
จะเข้าใจได้ลึกซึ้งกว่าฉัน
ว่าเหตุใดคนเราต้องรักกัน
ดูสิ..แสงตะวันโอบโลกจึงอบอุ่น
อรุณวดี อรุณมาศ

คติธรรมนำสุข

สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ
ถ้าเราถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขสันต์
หากปล่อยวางก็ว่างทุกข์ สุขนิรันดร์
เพราะฉะนั้น จงเลือกทาง ว่างทุกข์เอย
อันความตาย ชายนารีหนีไม่พ้น
จะมีจน ก็ต้องวายตายเป็นผี
ถึงแสนรักก็ต้องร้าง ห่างทันที
ไม่วันนี้ ก็วันหน้า จริงหนาเรา
อันทานศีล ภาวนา อย่าเลยละ
อุตสาหะ สืบสร้าง ทางสวรรค์
นิสัยส่ง คนนิพพาน ไม่นานครัน
เกษมสันต์ แสนสุข สิ้นทุกข์ภัย
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า
เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
เมื่อเจ้ามามือเปล่าจะเอาอะไร
เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา
อันยศลาภหาบไปมิได้แน่
เหลือก็แต่ ต้นทุนบุญกุศล
ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน
ร่างของตน ยังเอาไปเผาไฟ

*****
"อย่าเห็นแก่ตัว
อย่ากลัวลำบาก
จงคิดเสมอว่า
"เราตายแน่ ตายแล้วเอาอะไรไปได้บ้าง"

*****
"กรรม"
อย่าโกรธโทษทั่วให้ เทวา
อย่าโทษสถานพฤกษา ย่านกว้าง
อย่าโทษท้าวพรหมา เล็งโลก
โทษที่กรรมก่อสร้าง หากให้เป็นเอง

******
" แม้เรามิได้เกิดเป็นดอกซากุระ
ก็อย่ารังเกียจที่เกิดมาเป็นบุปผาพันธุ์อื่นเลย
ขอให้แต่เป็นดอกไม้ที่งามที่สดใสในพันธุ์ของเรา
ภูเขาไฟฟูจีมีลูกเดียว แต่ภูเขาทั้งหลายก็หาได้ไร้ค่าไม่
แม้มิได้เป็นซามูไร ก็จงเป็นลูกสมุนของซามูไรเถิด
เราจะเป็นกัปตันกันหมดทุกคนไม่ได้
ด้วยว่า ถ้าปราศจากลูกเรือแล้ว เราจะไปกันได้อย่างไร
แม้เรามิอาจเป็นถนน ขอจงเป็นบาทวิถี

ในโลกนี้มีตำแหน่งและงานสำหรับเราทุกคน
งานใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่เราย่อมจะมีตำแหน่งและงานทำเป็นแน่ล่ะ
แม้นเป็นดวงอาทิตย์ไม่ใด้ จงเป็นดวงดาวเถิด
แม้มิได้เกิดมาเป็นชาย ก็อย่าน้อยใจที่เกิดมาเป็นหญิง
จะเป็นอะไรก็ตาม จงเป็นเสียอย่างหนึ่ง
จะเป็นอะไรมิใช่ปัญหา สำคัญอยู่ที่ว่า
" จงเป็นอย่างดีที่สุด ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม.."

......ศรีบูรพา....

๐ มนุษย์ทั้งหลาย
ไม่ควรทำตัวให้เป็นมนุษย์ที่อาภัพ
ไม่มีข้อประพฤติ ไม่มีข้อปฏิบัติ...เป็นคนอาภัพ
คือคนหมดหวังจากมรรคผลนิพพาน...
หมดหวังจากคุณงามความดี...อย่าคิดอย่างนั้น

มนุษย์เป็นผู้มีบุญ..วาสนา
ที่เกิดมาเป็นสัตว์ที่ควรตรัสรู้ธรรมได้
เมื่อมนุษย์เป็นผู้มีบุญวาสนาเช่นนี้แล้ว
จึงควรที่จะปรับปรุงความรู้
ควรที่จะปรับปรุงความเข้าใจต่างๆ
ควรที่จะปรับปรุงความเห็นของตนให้อยู่ในธรรม
ให้สมกับที่เกิดมาเป็นสัตว์ที่ตรัสรู้ธรรมได้

๐ การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งละเอียด
ผู้มีกริยานุ่มนวล สำรวมปฏิบัติไม่เปลี่ยนแปลง
สม่ำเสมออยู่เรื่อย...นั่นแหละจึงจะรู้จัก
มันจะเกิดอะไรก็ช่างมันเถิด
ขอแต่ให้มั่นคง แน่วแน่เอาไว้
อย่าซวนเซ..หวั่นไหว
ให้มีสติอยู่..เห็นการเกิดดับของใจ
แต่อย่าให้มันมาทำใจให้วุ่นวาย
ให้ปล่อยวางมันไป
ความรัก...เกิดขึ้นก็ปล่อยมันไป
มันมาจากไหน...ก็ให้มันกลับไปที่นั่น
อย่าเก็บมันไว้สักอย่าง

พระธรรมคำสอนชอง หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

ไส้เดือน

ไม่มีคำพูด
ไม่ปรารถนามองเห็น
ทุกสัดส่วนของพื้นดินคือบ้าน

ไม่มีสังคม
ไม่มีความรักหรืออิจฉาริษยา
ตัวเองคือจุดศูนย์กลางของโลก

วันเวลาไม่แบ่งแยก
กลางวันกลางคืนไร้ความหมาย
เกิดหรือตายเป็นนิรันดร์

ไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชาย
แต่คือชายและหญิง
ระหว่างปลายสองด้านของชีวิต

ปราศจากสิ่งสมมติใดให้เคลือบแคลง
ดำรงอยู่ท่ามกลางความจริง
ไม่มารยาและไม่หลอกลวง

นิรนาม

ข้าเดินทาง

ข้าเดินทาง
อยู่ระหว่างม่านมัวหัวใจหมอง
อยู่ในบทเพลงช้ำร่ำคำครอง
อยู่ในมฃท่วงทำนองของอารมณ์

อกกลัดหนองเก็บจนเหน็บก่อ
ทดท้อทุกข์โถมประโคมขม
ขื่นไข้ในภวังค์เพราะหวังตรม
หลับอยู่กลางสายลมอันเลอะเลือน

บอกข้าสิความปริปวด
ว่าใจความร้าวรวดเรามีเพื่อน
ว่า-ในยามร้องร่ำมีคำเตือน
ว่า-ความจริงถูกเบือนและบิดไป

บอกข้าสิความเข็ญขื่น
ว่า-เมื่อกล้าฝ่าฝืนอย่าหวั่นไหว
ว่า-ระหว่างทางก้าวที่ยาวไกล
คนเดินด้วยดวงใจย่อมเจ็บร้าว

บอกข้าสิบอกข้าเถิด
ว่า-ทุกร่างที่ก่อเกิดย่อมเหน็บหนาว
บอกสิว่าหนทางไปดวงดาว
นั้นพร่างพราวหยาดพร่ำฉ่ำน้ำตา

บอกข้าได้ไหม
ว่านักฝันนั้นยากไร้-อนาถา
ว่า-ผู้ผ่านทางสายนี้ที่เห็นมา
ล้วนลำเค็ญชีวาไม่ผิดกัน

ข้าเดินทาง
เหมือนอยู่ระหว่างความจริงและความฝัน
แปลกแยกสับสนระคนกัน
อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันที่ดั้นเดิน

ใครหนอจะปลอบข้าล
ว่าเพลงทุกข์ที่ผ่านมานั้นผิวเผิน
ว่า-ชีวิตมีเรื่องราวยาวเหลือเกิน
ทางเผชิญข้างหน้าหนักกว่านี้ ฯ

พจนาถ พจนาพิทักษ์

เรือชีวิต..

ล่องเรือในทะเล
ร่อนเร่ไปเรื่อยเรื่อย
มองฟ้าก็ฟ้าเปลือย
แสนเหน็ดเหนื่อยในหัวใจ

รุ่มร้อนและราวร้าน
บางครั้งหนาวจนอ่อนไหว
ชายฝั่งอยู่ทางใด
ช่างห่างไกลเกินสายตา

ล่องเรือในทะเล
ร่อนเร่อนฃย่างเหว่ว้า
มองเพื่อนในนาวา
ดูเหนื่อยล้าเพราะดิ้นรน

นาวาแห่งชีวิต
ลิขิตได้ด้วยใจคน
แต่ว่าพายุฝน
ห้ามไม่ได้ดังใจเรา

ทอดสมอเรือชีวิต
ฟังเสียงคลื่นครวญแผ่วเบา
พักใจให้หายเหงา
ให้ฟ้าใส ค่อยไปนะ..

สำเนียง วิลามาศ

ดาว

ดาว..ที่สุกสกาวกลางฟ้าไกล
ส่องประกายความหวัง..อยู่กลางผืนฟ้า
ให้คนโหยหา ที่จะหยิบไขว่คว้า...
เอามาเก็บในหัวใจ..

ทาง..ไปสู่ดวงดาวไกลแสนไกล..
ไม่ได้โรยดอกไม้..ต้องฝ่าฟันด้วยใจ
ปวดร้าว...เพียงไหน..ทน..แต่เพียงรู้ไว้อยู่..
ว่า..
สองมือและใจอันมั่นคง..
นั่นคือ.ทรนงยิ่งภูผา..
ที่หยัดยืนมั่นคง..ไม่หวั่นไหวในโชคชะตา
ให้มาชี้ทางที่ก้าวเดิน.
ให้มาชี้ทางที่จะเดินสู่..ดาวดวงที่ใจมันต้องการ..
ไม่ยอมให้ใครกำหนดเดิน..
ไม่ยอมให้ใครขีดเส้นทาง...
ดวงดาวของใครต้องคว้าเอง...

นพดล จำปา

ลด


ไข่ปลาจำนวนล้าน
มากที่ไม่ผ่านปากล่าอาหาร
ยังเหลือเติบโตมาจำนวนร้อย
ไข่ตั๊กแตนจำนวนล้าน
มากตกเป็นอาหารในราวป่า
ยังเหลือเติบโตมาจำนวนพัน
ฯลฯ
ความคิดของคนนั้น
ลดน้อยถอยจำนวน
เพราะล้วนคิดแล้วไม่ได้ทำ
หรือทำไม่ได้
เลยไม่คิด...

ละไมมาด คำฉวี


วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

เมื่อกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์


เมื่อกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์
ประเสริฐสุดเกินสัตว์ในสงสาร
มีบุญมากยากสัตว์ใดมาเปรียบปราน
เทพประทานทุกสิ่งให้เรามา

เรามาพร้อมกายใจเหมือนใครอื่น
เรายังตื่นมองโลกไม่กังขา
ทุกสิ่งอย่างเรารู้เห็นตลอดมา
ต้องรับว่าเขาก็เป็นเช่นอาตมา


ทุกคนพบความแปรเปลี่ยนในชีวิต
ทุกคนคิดหาทางแก้ปัญหา
ทุกคนดิ้นต่อสู้เพื่อชีวา
เพียงแต่ว่าบ้างประสบพบทางดี

แล้วใยเราต้องมาท้อแท้จิต
ใยต้องคิดติดลบจนหมองศรี
ใยต้องเศร้าเหงาใจให้ราคี
ใยต้องหนีความจริงสิ่งต้องเจอ


รีบลุกขึ้นค้นหาชีวิตใหม่
เตรียมจิตใจไว้สู่อย่ามัวเผลอ
ให้เข้าใจความจริงอย่าละเมอ
สิ่งที่เจอมีทางแก้แน่นอนจริง

"สาโรช คำรัตน์"


โบกมืออำลา


โบกมืออำลา
แล้ววันนี้ก็ผ่านไปอีกวัน
เดินไปตามทางที่เธอใฝ่ฝัน
ไปตามกำลังที่เธอปรารถนา

รีบเรียนรู้เผชิญสู่สิ่งใหม่
พร้อมเตรียมใจกล้าศึกษา
ทั้งตำราผู้คนและเวลา
จะสอนสั่งคุณค่าชีวิตเรา

วุฒิไกร บุญศรี



ช่อดอกไม้....


อยากให้ใครมอบช่อดอกไม้ให้
เพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อเรา
อยากมอบช่อดอกไม้ให้ใครใคร
เพื่อแสดงถึงความรักที่มีต่อเขา
แต่เคยไหมสักครั้ง..ที่คิดจะมอบ..
ช่อดอกไม้ให้กับตัวเอง
เพื่อแสดงถึงความรัก...

.สุกัญญา


สันดาน


สันโดษเด่น เว้นโลภ ละโมบลาภ
ขจัดคราบ สิ่งสรรพ์ เหตุตัณหา
สิ่งควรได้ ไม่ได้ไม่ โสกา
แม้ได้มา ไม่ถวิล หลงยินดี
ใครคิดได้ อย่างนี้ คงมีสุข
ไม่ต้องทุกข์ ยากเข็ญ จนเป็นผี
แต่วิสัย ปุถุชน ล้นโลกีย์
สันดานมี ดีแต่คิด.. อีกนิดพอ...
"เก็บตก"


วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2549

การเสี่ยงภัยของคนเราก็สะท้อนบุคลิกภาพได

การเสี่ยงภัยของคนเราก็สะท้อนบุคลิกภาพได้

การเสี่ยงภัยของคนเรามี 2 แบบ ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็น แบบที่หนึ่งชอบตื่นเต้นในระยะสั้น เช่นโดดร่ม และเล่นการพนัน แบบที่สองชอบเสี่ยงในระยะยาว เช่น การแต่งงาน เลี้ยงดูครอบครัว หรือการประกอบอาชีพ บรรดาผู้เชี่ยวชาญได้แยกการเสี่ยงภัยทั้งสองบบนี้ เป็นระดับหนึ่ง และระดับ 2 คนส่วนใหญ่มักจะอยู่ในระดับ 2

"คนเสี่ยงภัยระดับ 1 นี้ต้องการความมัน ความสนุก" ดร.วิลเลี่ยม แอปเปิ้ลตัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาจิตแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐฯกล่าว

" พวกเขามีความโน้มเอียงชอบการก้าวร้าว ชอบการแสดงออก มีความเป็นปัจเจกชน หรือเป็นตัวของตัวเอง พวกเขากลัวความเบื่อหน่าย และชีวิตจำเจประจำวัน จึงชอบการเสี่ยงภัย บงครั้งเป็นอันตรายต่อร่างกาย" คนเสี่ยงภัยระดับ 1 นี้เหมาะที่จะเป็นนายตำรวจ นักกฏหมาย อาชีพแสดงดาราบันเทิง นักหนังสือพิมพ์ ทหาร นักการเมือง นักร้องเพลงร็อก นักพูดต่อสาธารณชน นักธุรกิจก็จัดอยู่ในระดับนี้ด้วย

"คนเสี่ยงระดับ 2 มีความอดทน อารมณ์ไม่เครียด จิตใจแห่งการอยู่ร่วมกับคนอื่น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเขา" คนเสี่ยงภัยระดับ 2 นี้อาชีพที่ดีได้แก่ นักบัญชี คอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ เลขานุการ หรือบรรณารักษ์ห้องสมุด เป็นต้น

คนส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ 2 นี้ แต่มีบางคน ถ้าสืบประวัติดูจะเห็นว่าเคยเป็นผู้เสี่นงภัยในระดับหนึ่งมาก่อน

การจัดการความรู้ (Knowledge Management)

ในธุรกิจ e-Business จะมีทรัพย์สินที่สำคัญอยู่ 3 อย่างคือ "คน" (People), "หุ้นส่วน" (Partner) และ "เทคโนโลยี" (Technology) แต่ในทรัพย์สิน 3 อย่างนั้น จะมีทรัพย์สินแฝง อยู่ตัวหนึ่งคือ 'ความรู้ หรือ Knowledge' ธุรกิจ e-Business สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะว่าบุคลากรที่ทำงาน ได้รับผลประโยชน์ จากขบวนการทำงาน ที่ดีกว่า และที่สำคัญคือ ได้รับความรู้จากเทคโนโลยี จากคู่ค้าหรือ Partner และความ รู้ด้านแหล่งตลาด (Market Place) สิ่งที่เราพบคือ ความรู้เป็น ตัวผลักดันธุรกิจในโลกของดอทคอม ความรู้เป็นสินทรัพย์ที่มีค่า และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถ ใช้บริการ จากภายนอก (Outsource) ได้

เนื่อง จากความรู้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้เหมือน ทรัพย์สินอื่นที่เป็นสิ่งของ เช่น สำนักงาน อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ เป็นต้น จึงทำให้ความรู้เป็นทรัพย์สินที่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ในระบบสารสนเทศสามารถค้นหาว่าทรัพย์สิน เช่น เครื่อง PC ว่าอยู่ที่ไหน ตอนนี้ราคาเท่าไร แต่การจะหาว่าความรู้ มีราคา ปัจจุบันเท่าไร และจะรักษาไว้ได้อย่างไร จะหาคำตอบได้ยากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในธุรกิจ e-Business ผู้บริหารจะ ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนั้น ผู้บริหารจะต้อง เห็นความสำคัญของ 'ความรู้' ผู้บริหารต้องสามารถแปลง 'ข้อมูลและข่าวสาร' ให้เป็นการดำเนินงาน ที่มีประสิทธิภาพ' ผู้บริหารต้องสามารถจัดการความรู้ได้ การบริหารความ รู้เป็นงานที่ท้าทาย เป็นงานที่ประกอบด้วย

1. การจัดการปริมาณข้อมูล

2. การจัดการคุณภาพข่าวสาร

3. การได้มา การสังเคราะห์ และการเผยแพร่ ความรู้ (Disseminating Knowledge)

4. การขยายผลคุณค่าของความรู้ในองค์กร

ความ รู้จะได้มาจากขั้นตอนการย่อยสลายตั้งแต่ ข้อมูล (Data) เป็นข่าวสาร (Information) และสุดท้ายเป็น 'ความรู้' การจัดระเบียบความรู้เริ่มมาจากการสร้าง คลังข้อมูล (Data Warehouse) ที่รวบรวมข่าวสารต่างๆ ไว้ ซึ่งจะทำให้เราเข้าถึงและวิเคราะห์ออกมาเป็นความรู้ได้ ข่าวสารใน Data Warehouse จะถูกสังเคราะห์ จะถูกเผยแพร่ โดยการใช้เครื่องมือตัวหนึ่งเรียกว่า 'Mining' ซึ่งจะขุดเจาะ ให้ได้มาซึ่งความรู้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ ซึ่งจะส่งต่อ ให้บุคคลหรือระบบที่เกี่ยวข้องเพื่อ 'ปฏิบัติ (Action)' ต่อไปตามผลของการตัดสินใจ

ความรู้แตกต่างจาก Data หรือ Information อย่างไร

Data มักจะได้มาจากข้อมูลต่างๆ จากตารางข้อมูล (Table) หรือข้อมูลใน Log file ต่างๆ ส่วนใหญ่ได้มาจาก Operational Data ส่วน Information จะหมายถึงรายงานต่างๆ ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่จัดวางไว้แล้ว และความรู้ได้แก่ ดัชนีวัดผลการดำเนินงาน (Key Performance Indicator) การเตือน (Alert) เพื่อให้ลงมือปฏิบัติ (Action) กราฟต่างๆ ซึ่งได้มา จากข้อมูลแต่ละระบบ หรือข้อมูลหลายๆ ระบบที่แสดงการเชื่อมโยงกัน (Context) หรือเป็นความรู้ของมนุษย์ที่สะสมจาก ประสบการณ์มาเป็นเวลานาน

ขบวน การจัดการความรู้ประกอบด้วย การสร้างความรู้ (Knowledge Generation) การวิเคราะห์ความรู้ (Knowledge Analysis) และการใช้ความรู้ (Knowledge Consumption) การสร้างความรู้ต้องมาจาก 'บุคคล' ที่จะจัดแบ่ง ระดับของความรู้ และจะต้อง เป็นบุคคลที่มีความรู้ ที่มีคุณค่าต่อธุรกิจ การวิเคราะห์ความรู้จะต้องใช้ บุคคลหรือระบบ ที่สามารถ นำเอาความรู้ที่ได้จาก การสร้าง มาวิเคราะห์และแจกจ่ายให้กับผู้ใช้ ที่เหมาะสม และอยู่ในรูปแบบที่เอื้ออำนวยประโยชน์ ต่อการทำธุรกิจ และขั้นตอนสุดท้าย คือผู้ใช้ความรู้นั้นๆ เพื่อประกอบการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

เมื่อเรามีความรู้ เก็บไว้ในระบบแล้ว เราควรจะทำการเผยแพร่ในองค์กร การเผยแพร่ ความรู้เริ่มต้นจากคลังข่าวสาร (Information Warehouse) เป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแพร่ความรู้ ความรู้ประกอบด้วย

1. ความรู้สังเคราะห์ (Synthesizing Knowledge)

2. ความรู้เพื่อการตัดสินใจและปฏิบัติการ (Trigger Knowledge Events)

3. ความรู้เพื่อการติดต่อ (Communicating Knowledge)

ความ รู้สังเคราะห์อาจได้มาจากการที่นักวิเคราะห์ธุรกิจ (Business Analyst) ใช้เครื่องมือเพื่อดึงข้อมูลจาก Information Warehouse เครื่องมือนี้เรียกว่า OLAP (Online Analytical Processing) หรืออาจจะ ได้มาจากการ ใช้เครื่องมืออัตโนมัติ ได้แก่ Data Mining, Context Analysis, Performance score-carding หรือ Business alert generation ก็ได้

เมื่อเกิดเหตุการณ์ (Event) ที่จะต้องมีปฏิบัติการต่อ (Action) จำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีบุคคลหรือระบบ เพื่อปฏิบัติการนั้น ระบบจัดการความรู้จะต้องติดต่อไปยังบุคคลคนนั้นให้ได้ (Communicating Knowledge) บุคคลเหล่านี้อาจจะ เป็นพนักงานในบริษัท หรืออาจจะเป็น บริษัทคู่ค้า ของเราก็ได้ ความรู้ที่จะส่งให้อาจจะเป็นเอกสาร รายงาน e-mail ข้อความเตือน หรือเป็น To do list ก็ได้

ความรู้เป็น 'ทรัพย์สิน' จึงจำเป็นต้องมีการขยายฐานความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าความรู้ยังคงทัน สมัยต่อการเปลี่ยน ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังคงคุณค่าอยู่เสมอ การขยายความรู้คือ การปรับเปลี่ยนให้ความ รู้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยการแก้ไขความรู้เดิมหรือการเพิ่มเติมความรู้ใหม่ ให้แก่พนักงานและ องค์กรอย่างสม่ำเสมอและ ต่อเนื่อง อันได้แก่ เพิ่มแหล่งข้อมูลใหม่ ปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ ทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรู้ รวมทั้งสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ๆ

รวมทั้งแก้ไขปรับปรุงผู้ที่เกี่ยวข้อง ในระบบความรู้เพื่อให้แน่ใจว่า องค์กรอยู่ในทิศทาง ที่ถูกต้อง และที่สำคัญ ไม่น้อยกว่าข้ออื่นๆ คือ การทำ ให้เกิดการเรียนรู้โดยการสร้าง e-learning web site เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง สร้างความรู้ทั้งในเชิงกว้างและ เชิงลึก ทั้งความรู้ที่มีอยู่เดิมรวมทั้งเพิ่มความรู้ใหม่ด้วย

การ จัดการความรู้เป็นขบวนการเชิงรุก และจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เป็นหัวใจของการ ทำธุรกิจ e-Business มิฉะนั้นแล้วเราอาจจะเสีย เปรียบในการแข่งขันให้กับคู่แข่ง ซึ่งให้ความสำคัญ ต่อทรัพย์สินที่เป็นความรู้ มากกว่าที่เป็นสิ่งของ

การจะอนุรักษ์ป่าไม้ให้กลับสมบูรณ์ดังเดิมควรจะเริ่มต้นกันที่เส้นผมบนศีรษะของเรา

เส้นผมคนเรามีธรรมชาติเดียวกับตระกูลพืชป่าไม้
ผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่สืบทอด จำลองและเลียนแบบวิวัฒนาการของพืชที่มีมาก่อนคน
มนุษย์เรารับเอาโครงสร้างและรูปแบบ รวมทั้งเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดมาประกอบ
เป็นสรีระ เราจึงประเสริฐกว่าสิ่งอื่น ต้นหญ้าที่ขึ้นบนพื้นดินโดยทั่วไป มักจะเจริญงอกงามตามธรรมชาติเขียวชอุ่ม
มองแล้วเย็นตาประทับใจ
แต่เมื่อใดที่ฝนแล้ง ดินแห้ง หญ้าก็จะเฉา แห้งเหลืองไร้ชีวิต หลุดร่วงโรยไป
หรือเมื่อใดที่น้ำมาก พื้นดินชื้นแฉะเกิน น้ำเจิงนองตลอดเวลา
ต้นหญ้า ต้นไม้ก็จะเปื่อยเปียกสำลักน้ำ หลุดร่วง เน่าเสื่อมในที่สุด
เส้นผมบนศีรษะที่มีอการแห้งกรอบ ไร้ชีวิตชีวา ร่วงง่าย ก็อาจเปรียบได้กับ
สภาพดินหรือผิวหนังบริเวณศีรษะที่มีอาการแห้งเกิน หรือชื้นเกินผิดปกติ ทำให้เส้นผมไม่สามารถเจริญงอกงามอย่างที่ควร
รูขน รูผมที่มีอาการยืดตัวมากเกินหรือมีไขมันอุดตันมากเกิน อันเนื่องจาก
สาเหตุการบริโภคอาหารหยินเกิน หรือถ้าหนังศีรษะแห้งมาก รูหดตัว ผิวแตก
หรืออาการหยางเกิน ผมก็จะร่วงแห้งและเปลี่ยนสีได้ง่าย ทั้งนี้เพราะอิทธิพล
ของอาหารที่รับประทานนั้น หยางเกิน ในปรัชญาอาหารต่างๆ อาจจำแนก
ออกได้ 2 ประเภท คือหยินและหยาง อาหารหยินคืออาหารที่ก่อให้เกิดพลังยืดตัวของเซลล์
ที่ให้เนื้อเยื่อกระจายถ่างออก อาหารที่ก่อให้เกิดผลหยิน
นี่คือของหวาน น้ำตาล น้ำของเหลว เครื่องดื่มทุกประเภท โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่ง น้ำผลไม้ที่คั้นสำเร็จบรรจุภัณฑ์ ผลไม้ก็ดี หากรับประทานมากเกินจะก่อ
ให้เกิดอาการหยินกับร่างกาย อาหารที่ผสมเคมีภัณฑ์ทุกชนิด รวมทั้งยาเม็ด
ยาสังเคราะห์ทุกชนิดเป็นหยิน เพราะเป็นการสกัด
เพิ่มความเข้มข้นมากเกินมาตรฐานธรรมชาติรับได้ อาจกล่าวได้ว่า 70% ของอาหารประจำวันเรามีสรรพคุณเป็นหยิน
แต่จะปรากฏในชื่อและรูปแบบต่างๆ กันเท่านั้น เมื่ออยู่ในร่างกายจะเปลี่ยนแปร
เป็นพลังหยินมากหรือน้อยตามแต่ชนิด
อาหารหยางได้แก่ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์
จากสัตว์ทุกชนิด รวมทั้ง ไข่ไก่ นม เนย ความเค็ม และเกลือ อาการหยางมีประ
มาณ 30% ของสัดส่วนอาหารประจำวัน ผมบนศีรษะเกี่ยวโยงกับอวัยวะภายในและบ่งสภาวะเลือดในร่างกายของแต่
ละคนว่ามีพลังและความเข้มข้นระดับใด ผมสีดำ แสดงว่า พลังเลือดดี
ผมยาวดก แสดงว่า พลังแกร่งแรงดันสูง ผมหนา แสดงว่า คุณภาพเลือดข้น
ผมเป็นตู้โชว์ของไต ผมมัน ผมร่วง แสดงว่า ไตชื้น ไตพองไตบวม
ผมสีเทา แสดงว่า เลือดเจือจาง ตับไตบกพร่อง การแก้ปัญหาเรื่องเส้นผมจึงต้องแก้ที่รากคือ
การ แก้ไขปรับปรุงเบื้องต้นที่เมนูอาหารก่อน เพราะกระเพาะเราคือสิ่งแวด ล้อมขั้นแรกใกล้ตัวเราที่สุด ต่อมาจึงแก้สิ่งแวดล้อมรอบบ้าน ปลูกต้นไม้ ทำสวน รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย พืชผักสวนครัวใกล้บ้าน
ต่อมาจึงช่วยกันปลูกป่า อนุรักษ์พืช พันธุ์ไม้ให้มากขึ้น และเจริญงอกงามขึ้น
การไม่สนใจเรื่องอาหารการกิน ก็เปรียบเสมือนการทำลายป่าหรือทำลายพื้น
ดินการเกษตร โดยใช้ปุ๋ยเคมีที่มีสารพิษเจือปนลงไปในดิน ทำให้การเกษตร
กรรมไม่จีรัง และไม่ครบวงจร
จะเห็นได้ว่า อาการผิดปกติของผมบนศีรษะจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหยิน-หยาง
จากอาหารและประเด็นสำคัญขึ้นอยู่กับความอ่อนแอของอวัยวะภายในต่างๆ
แล้วแต่ว่า ผมร่วงบริเวณใด็จะสามารถบอกความบกพร่องของอวัยวะนั้นๆ เกี่ยวโยง
กับตำแหน่งบริเวณที่ผมร่วง