++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

หมี (๓-ตอนจบ)

ปรีดี อู่ทรัพย์


ใกล้ๆป่าต้นผึ้ง มีลำห้วยอยู่ไม่ไกลนัก ประกอบกับมีป่ารกทึบอยู่ตามอาณาบริเวณใกล้ห้วยและมีต้นไม้สูงขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น

กำนันพร้อม บอกว่า หมีเป็นสัตว์รักความชื้นร่มเย็น ไม่ชอบเกลือกกลั้วโคลนและแช่น้ำอย่างควายป่า หมูป่าหรือกวาง มันชอบอาศัยรกทึบ ดังนั้น บริเวณที่เรามาพบจึงเป็นบริเวณที่ดี ที่จะจ้องดับชีวิตมัน

ในชีวิตพรานของผมยิงหมีได้ตัวเดียวที่ ดงคู่ จังหวัดสุโขทัย ตอนนั้นผมไปขัดห้างยิงมันขณะที่มันขึ้นตีผึ้ง การยิงหมีที่กำลังขึ้นต้นไม้นั้น เหมือนกับการยิงเป้ายิงได้ง่ายสบายมาก ผมยิงเข้าหัวมันนัดเดียวด้วยลูกโดด มันร่วงลงมากระทบพื้นดินดังสนั่นหวั่นไหว เพราะตัวมันโตเท่ากระสอบข้าวสาร

พูดถึงหมีแล้ว ผมอยากจะขยายความให้ท่านผู้อ่านเข้าใจ เพื่อประดับความรู้สักนิด หมีเป็นสัตว์ป่าเมืองไทยที่ผมขอรับรองว่า มันจะไม่มีวันสูญพันธุ์เป็นอันขาด ทั้งนี้เพราะหมีเป็นสัตว์ป่าประเภทเจ้าไพร เช่นเดียวกับเสือ ซึ่งไม่มีใครอยากจะตอแยกับมันนักเพราะ มันเป็นสัตว์ดุร้ายมาก นอกจากนั้นแล้วยังเจ็บไม่ได้อีกด้วย มันจะอาฆาตพยาบาทขนาดหนัก หมีในเมืองไทยที่ผมเคยพบมามี ๓ ชนิด คือ หมีคน หมีควาย และหมีหมา

หมีคนและหมีควายเป็นหมีขนาดใหญ่ อยู่ตามป่าสูงรกทึบ เยือกเย็น ส่วนหมีหมาเป็นหมีขนาดเล็กมีอยู่ทั่วไป (บางแห่งเรียกว่า อี เห็นหมี) หมีเป็นสัตว์ประเภทมีอารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนเสือ ไม่ชอบเกะกะระรานสัตว์ป่า ไม่นิยมออกหากินในเวลากลางวัน ลำตัวของมันมีสีดำ กลืนกับความมืดของป่า มันจึงเป็นสัตว์ลึกลับไม่ค่อยมีใครเห็นมันบ่อยนัก

ในเมืองไทยเรา เสือกับหมีเป็นสัตว์คู่กัน เมื่อพูดถึงสัตว์ดุร้ายแล้ว คนเรามักจะพูดว่า "เสือหมี" แต่บางคนเข้าใจผิดไปว่า "เสือดุร้ายกว่าหมี" ซึ่งไม่เป็นความจริง ถ้าจะพูดถึงความดุร้ายแล้ว เสือกับหมีดุร้ายพอๆกัน แต่ในความว่องไวปราดเปรียว ชั้นเชิงของการต่อสู้หมีแพ้เสือหลุดลุ่ย หมีไม่กินสัตว์ป่าด้วยกัน แต่มีหมีบางชนิดกันสัตว์เหมือนกัน แต่เป็นสัตว์เล็กๆ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา นก และงูต่างๆ

ในการต่อสู้ศัตรูนั้น หมีจะไม่มีวันผละหนีง่ายๆ แม้จะบาดเจ็บสาหัสอย่างไร หมีจะต่อสู้อย่างใจขาดชนิดที่เรียกว่า สู้ตายหรือจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง

การผสมพันธุ์ หมีเป็นสัตว์ลูกดกเช่นเดียวกับหมู คอกหนึ่งของหมีมีลูก ๔-๕ ตัวเช่นเดียวกับเสือ การตกลูกของหมีโดยมากตกลูกในโพรงไม้ที่อาศัยของมัน ลูกๆของหมีจะอยู่กับแม่ของมันเป็นระยะเวลาอันยาวนานเช่นเดียวกับลูกเสือ ดีและกระดูกของหมี ใช้เป็นยา ราคาแพง เนื้อใช้เป็นอาหาร หนังใช้เป็นของใช้ต่างๆ


พวกเราพากันนั่งห้างในบริเวณนั้น คอยยิงหมีเข้าตีผึ้งอยู่ตลอดคืน แต่โชคไม่ดี นอกจากหมีจะไม่มาแล้ว สัตว์อื่นๆยังไม่ผ่านเส้นทางปืนอีกด้วย มีแต่สัตว์เล็กๆผ่านเข้ามาบ้าง เช่น อีเห็น กระจง แต่ไม่มีใครยิง เพราะกลัวจะดังป่า

ตอนเช้า เราลงห้างมาพบกันด้วยอาการสะโหลสะเหลจากการอดนอน พากันไปหุงข้าวริมแอ่งน้ำข้างห้วย งัดเอาเครื่องกระป๋องออกมาเป็นอาหารแก้ขัด น้ำพริกเผากับขนมปังที่ผมเตรียมใส่ผ้าขาวม้ามัดเอาไปทำให้ผมและคณะอิ่มได้ตามสมควร

กำนันพร้อม ซึ่งอ้วนกลมไปทั้งตัว แหงนดูรังผึ้งบนต้นยางแล้วว่า
"มาทั้งทีกลับมือเปล่าเสียลายนักเลง"
"ถ้างั้นจะทำยังไง"
"ตีผึ้งกลับไปบ้านซิหัวหน้า ตอกทอยขึ้นไป ปาดเอารังของมันลงมา น้ำผึ้งแท้เดี๋ยวนี้ราคาดี"
"ใครจะขึ้นล่ะ ต้นยางอย่างนี้สูงไม่ใช่เล่น ต้องมีหมอผึ้ง ใครเป็นบ้างล่ะ"
"ผมเอง ตั้งแต่ครูมาไม่เคยสักที จะขอลองวิชาวันนี้แหละ"
"กำนันมั่นใจนะ" ผมถามย้ำความตั้งใจ
"ผมมั่นใจ" กำนันตอบด้วยแววตาทรนง

การตอกทอยและการตีผึ้ง เป็นวิธีการทางไสยศาสตร์ที่กว้างขวาง สำหรับการหากินในป่าดงพงไพรอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าหากมีโอกาสและเวลา ผมจะเขียนเสนอต่อท่านผู้อ่านในเรื่องนี้โดยเฉพาะต่อไป เนื่องจากขณะนี้หน้ากระดาษจำกัด จึงขอผ่านแต่โดยย่อไปก่อน

กำนันพร้อม สั่งให้พวกลูกบ้านที่ไปด้วยเหลาลูกทอย แล้วลนไฟใส่ถุงย่ามเป็นจำนวนมาก เตรียมเชือก เตรียมถังขึ้นไป สำหรับเอามีดปาดรังผึ้งใส่ แล้วโรยเชือกลงมา เตรียมอุปกรณ์เสร็จ เวลาก็เข้าไต้เข้าไฟพอดี กำนันสั่งให้ก่อไฟกองใหญ่ขึ้นเพื่อที่จะล่อให้กลุ่มผึ้งที่ใช้มีดปาดตกลงมาแตกฮือเข้าไปรุมล้อมเล่นไฟกองนั้น

แล้วกำนันก็หักกิ่งไม้เล็กๆมาเสกคาถาอยู่นานพอสมควร พอเสร็จแล้วก็ให้พวกลูกบ้านเอามามัดหุ้มตัวแกเหมือนเสื้อเกราะ เอาปลายกิ่งไม้ลงดูคล้ายสุมทุมพุ่มไม้ใหญ่เพราะตัวแกอ้วนอยู่แล้ว จากนั้นก็เข้าไปยืนอยู่ใต้ต้นยาง บริกรรมคาถาอีกครู่หนึ่งแล้วตอกทอยขึ้นต้นยางไป

พอถึงรังผึ้งก็เริ่มเอามีดปาดตัวผึ้งให้ตกลงมาจากรังอย่างรวดเร็ว ผึ้งส่วนใหญ่เมื่อตกลงมาถึงพื้นดิน ก็แตกฮือบินเข้าสู่กองไฟตายตามที่คาดคะเนไว้ กำนันพร้อมปาดรังผึ้งใหญ่ใส่ถังน้ำกระตุกเชือกให้พวกข้างล่างโรยเชือกลงมา และกำนันก็รีบไต่ลูกทอยต้นยางลงมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน มือปัดตามตัวว่อน

ทั้งนี้เป็นเพราะผึ้งป่าหลายตัวตกลงมาแล้วบินกลับขึ้นไปอีก เพราะห่วงรังและน้ำหวานพร้อมลูกอ่อนของมัน ผึ้งเหล่านี้บินไชชอนเข้าไปภายในกิ่งไม้ที่มัดหุ้มตัวของกำนันที่เป็นเสมือนเกราะแห่งความโง่เขลาอยู่ บางตัวเมื่อไต่ไปจนสุดอึดอัดบินไม่ได้มันก็ต่อยเอาอย่างเจ็บปวด เสียงกำนันพร้อมโวยวายลงมาตั้งแต่ยอดไม้

พอลงมาถึงพื้นดินก็กระชากกิ่งไม้คาถาอาคมออกวิ่งเป็นเงาตะคุ่มๆ คล้ายหมีหนีไปเข้ามุ้งที่พรานไผ่กางคอยท่าเอาไว้ เมื่อผึ้งตามต่อยไม่ได้ มันบินวนมุ้งอยู่พักใหญ่แล้วก็หายไป ทิ้งให้พวกเราหัวเราะกันเฮฮาอยู่ในมุ้งว่า กำนันวิ่งตัวป้อมหนีผึ้งเหมือนหมี

คนที่ไม่สนุก คือ กำนันพร้อม แกนอนจับไข้เพราะพิษผึ้งป่าอยู่ตลอดคืน ... ผมนึกไปถึงกรรมใดใครก่อแล้ว ชักท้อไม่ค่อยอยากออกป่ามาจนทุกวันนี้


ที่มา ต่วยตูน เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๙

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น