++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

เรื่อง: กล่องของแม่

แม่ก้าวเดินอย่างมั่นคงมาขึ้นรถ มั่นคงจนฉันใจหาย"หนักมั๊ยแม่ อิ๋วถือกล่องให้แล้วกัน" ฉันเอื้อมมือไปฉวยกล่องเก่าๆ นั้นจากมือแม่แต่ไม่สำเร็จ
แม่เม้มปากอย่างเด็ดเดี่ยวและตามองถนนอย่างระมัดระวัง ส่วนมือประคองกล่องที่ว่าไว้อย่างมั่นคง วันสุดท้ายแล้วที่แม่จะอยู่ในความดูแลของฉัน
เมื่อตอนคุยกันกับแม่ ความโล่งอกทำให้ฉันมีความสุขมาก สุขที่แม่เข้าใจความจำเป็นของลูกที่ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่ที่อื่น แน่นอน ตรงนั้น ตรงที่ใหม่
ที่แม่จะไปอยู่ทุกคนจะมีความสุข เพราะเป็นสถานที่สำหรับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน สถานที่ซึ่งรวมเอาคนที่มีความรู้สึก ความต้องการ
ความคิดอ่าน และอะไรต่อมิอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกันมาไว้ใต้ชายคาเดียวกัน มันเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง! ทฤษฎีของการแยกประเภทแยกโลก
ออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อลดความขัดแย้งในต่างประเทศที่พัฒนาแล้วสังคมล้วนเป็นเช่นนี้ "ไปก็ไปซี ว่าแต่แกจะกินอยู่ยังไงล่ะ" แม่ตอบง่ายๆ
หลังจากฟังลูกสาวคนเล็กอย่างฉันพูดวกวนอยู่เป็นนาน สองนาน ใจวาบลึกเหมือนกันกับคำพูดของแม่ที่ห่วงฉัน จะอยู่จะกินยังไงต่อไป
"แม่อย่างห่วงเลย อิ๋วโตแล้ว" ฉันตอบแม่อย่างเด็ดเดี่ยวบ้าง นับแต่วันที่คุยกันแล้ว แม่ก็ยังดำเนินชีวิตปกติเพื่อรอวัน 'ย้ายบ้าน ' แม่ไม่ได้ลุกขึ้นมา
เก็บสมบัติของแม่อย่างที่ฉันคิดไว้ แม่ไม่ได้มีอาการซึมเศร้าเหงาหงอยอย่างที่พวกเราพี่ๆ น้องๆ กลัวกัน และแม่ไม่ได้พูดจาโต้แย้งกับฉันเหมือนเรื่อง
อื่นๆ ที่เคยเป็นมา พวกพี่ๆ และบรรดาสะใภ้ กับเขยทั้งหลายเสียอีกที่รุมถล่มฉันอยู่หลายวัน "แม่คนเดียว อยู่อีกไม่กี่ปีอิ๋วก็ไม่น่าจะต้องผลักไสแก
ไปอย่างนั้น" นี่พี่สาวคนโต "คนแก่ก็ยังงี้แหละ บ่นบ้างว่าบ้าง จะอะไรกันนักหนา ชั่วดีก็แม่เรา จะส่งแกไปทำไมกันแถมไอ้เนิร์สซิ่งโฮมที่ไปหามา
ก็ราคาแพงเป็นบ้า" ส่วนนี่ก็พี่เขยจอมตืด "แม่คงเสียใจพิลึก แกลองไปคิดดูใหม่ดีๆ แล้วกันว่าจะส่งแม่ไปจริงเหรอ" "แกก็หัดใจเย็นๆ ลงมั่งซี ลูกผัว
ก็ไม่มีแม่คนเดียวก็ดูไม่ได้ แล้วจะไปอยู่กะใครเขาได้" เออ..เอาเข้าไปได้พวกดีแต่พูด พูดกันดีนัก แต่ไม่เห็นมีใครมาดูดำดูดีแม่ซักคนนอกจากฉัน!
ก็ไอ้ที่ไม่มีลูกมีผัวทุกวันนี้ก็เพราะแม่นั่นแหละวัน ๆ เวลาที่เหลือจากการทำงานต้องอุทิศให้แม่ไปจนหมดแล้ว จะไปพักร้อนยาวๆ ก็ไม่ได้ เพราะ
ไม่มีใครยอมมาดูแม่ให้ พวกปากดีที่ว่าตำหนิฉันนั้นแหละตัวดีนักละวันหยุดยาวทีไรต่างก็เผ่นกันไปพักร้อนยังกะผึ้งแตกรัง "โอ๊ย! ไม่ได้หรอกฉันจอง
โรงแรมไว้แล้ว แกไว้ไปคราวหน้าซี เอาเถอะน่าแล้วจะซื้อของมาฝาก" อ๊วกจะแตก ใครอยากได้ของฝากพรรค์นั้น ขนมหม้อแกง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง
ลูกหยี กล้วยฉาบและของบ้าๆ บอๆ อีกเป็นพะเรอ แม่ก็ไม่กิน ฉันก็ไม่กิน เดือดร้อนต้องขนไปแจกต่ออีกต่างหาก ทุเรศ! แล้วฉันจะไปพึ่งใครได้ ไม่มี
คำว่าพักร้อนไม่มีวันหยุดยาวอย่างใครๆ เขา ไม่มีงานเลี้ยงตอนค่ำ ไม่มีงานวันเกิดเพื่อนหรืองานสนุกอะไรทั้งนั้นสรุปแล้วฉันจะหาโอกาสที่ไหนไปมี
แฟนล่ะเลยกลายเป็น 'ลูกเหลือขอ' อยู่คนเดียวในบ้านนี่แหละลูกสาวสามคนในบ้านมีคนมา 'ขอ' ไปหมดยกเว้นคนสุดท้องอย่างฉันใครจะมาซาบซึ้ง
กับความเป็น 'ลูกเหลือขอ' ได้ดีเท่าฉันใช่ว่าฉันจะสวยน้อยกว่าพี่อ้อย พี่แอ๊วและพี่อ๋อมและใช่ว่าความรู้จะด้อยกว่าพี่คนอื่น ๆเพียงแต่แม่พวกนั้นมัน
เกิดก่อนเลยได้โอกาสตัดช่องน้อยแต่งงานกันไปหมดแล้วฉันเลยกลายเป็นคนสุดท้ายที่พลาดเก้าอี้ดนตรีไปซะฉิบตกที่นั่ง ต้องมานั่งเลี้ยงแม่
ทนฟังแม่บ่นและคอยเถียงกับแม่ในทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องเสื้อตัวใหม่ ผมทรงใหม่อาหารเย็นของแม่แต่ละวัน และวันที่แม่ต้องไปไหว้เจ้าตามวัดต่าง ๆ
ก็ไม่รู้เป็นไง ให้ตายเถอะ มันเหมือนแกล้ง แม่จำเพราะต้องไปไหว้พระไหว้เจ้าเอาวันที่ฉันอยากออกไปช็อปปิ้งหรือมีนัด กับใครต่อใครซะทุกทีซีน่า
"แม่ไปวันอื่นไม่ได้เหรอ วันนี้อิ๋วจะไปดูหนังกับเพื่อน" แต่แม่ไม่เคยแยแสท่าทางกระฟัดกระเฟียดและเสียงสะบัดของฉันเลย "วันนี้เป็นวันดี วันเทวดา
ลง มาจากสวรรค์วันอื่นไปไม่ได้" หรือไม่ก็ "วันนี้วันพระใหญ่ ปีนึงมีไม่กี่วันเอง ไม่ไปไหว้ได้ไง" โอ๊ย! จะบ้าว่ะ อยากขว้างแก้วขว้างจานให้มันสาแก่ใจนัก
ไอ้เรื่องไหว้พระไหว้เจ้าของแม่นี่ยังถือเป็นวาระจรนะ นอกเหนือจากพวกเจ้าประจำคือไปหาหมอทุกเดือนและซื้อยาส่วนที่เป็นกรณีฉุกเฉินพิเศษก็ชัก
บ่อยจนกลายเป็นเจ้าประจำกันไป คือ เดี๋ยวหวัดเล่นงาน เดี๋ยวท้องเสียวันดีคืนดีก็หกล้มหกลุกให้อารมณ์เสียระหว่างทำงาน ก็จะไม่อารมณ์เสียได้ไง
ฉันเป็นพนักงานคนเดียวในบริษัทที่ต้องขาดงาน หรือมีอันต้องมีเหตุให้เผ่นกลับบ้านด่วนจี๋กลางคันบ่อยที่สุดจนแค่เดินเข้าไปหาเจ้านายโดยไม่ต้องอ้า
ปากพูดนายก็โบกมือไล่อนุญาตแล้ว (ดีที่ได้นายดีและเข้าใจ) ฉันเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่าคงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่งหรือเงินเดือนขึ้น
หรือเงินเดือนขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างคนอื่นๆหรอกจนกว่าแม่จะตาย! แล้วเมื่อไหร่ล่ะแม่ถึงจะตาย ฉันอาจจะตายก่อนแม่ก็ได้ใครจะรู้!!
แม่ขึ้นรถเรียบร้อยพร้อมเอากล่องของแม่วางบนตัก โดยไม่ยอมให้ฉันเอาไปวางไว้เบาะหลังพอพ้นซอยเท่านั้นแหละ รถติดเป็นแพเต็มถนน
ฟ้าที่ดำทะมึนตั้งกะเช้าก็สำแดงอาการทันทีกลายเป็นฝนตกลงมาห่าใหญ่ โดยไม่ต้องมีอารัมภบท มันดูน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับอาการฝนตกรถติด
"แม่หนาวมั๊ย จะได้หรี่แอร์" แต่แเม่สั่นหน้าตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย "แม่เอาของมาน้อยจัง" ในเมื่อแม่ไม่พูด ฉันเลยต้องพูด
ไม่งั้นคงเครียดเป็นบ้ากับประโยคนี้ของฉันแม่เริ่มพูดขึ้นมาได้ "ที่เอามานี่ก็ทั้งชีวิตแล้วอย่างอื่นไม่รู้จะเอาไปทำไมมันไม่จำเป็น เสื้อสองชุดรองเท้าแตะ
คู่ก็พอเอาไปมากเดี๋ยวโดนขโมยน่ะซี" ฉันลอบถอนใจ ยังดีที่แม่คุยขึ้นมาบ้าง แม้จะเป็นการพูดแบบมองโลกในแง่ลบไปหน่อยก็ตาม แม่ก็ยังงี้แหละ
กลัวของหาย กลัวคนมาขโมยของของตัวบางทีโวยวายแทบตาย ปรากฎว่าของที่ว่าหายนั้นอยู่ในลิ้นชักของตัวเองแท้ๆรถบนถนนขยับได้ทีละนิดสลับ
กับอาการหยุดนิ่งอยู่กับที่ทีละนานๆฝนบนฟ้าก็เทลงมายังกะเทวดากำสรวลฉันมองดูกล่องบนตักแม่ที่แม่ใช้ใส่ของไปบ้านใหม่มันเป็นกล่องกระดาษ
สีน้ำตาลเก่าแก่ด้วยกาลเวลากล่องแบบนี้เดี๋ยวนี้เขาคงเลิกผลิตแล้วและผงซักฟอกยี่ห้อนั้นก็เลิกผลิตไปนานหลายปีแล้วยิ่งดูจากวันเดือนปีที่ผลิต
ตรงข้างกล่องยิ่งเห็นว่ามันเก่าเชียวลังผงซักฟอกของแม่จะว่าไปจริงๆ ขนาดกำลังพอดีเพราะพอวางบนตักแล้วขนาดพอดีกับตักแม่เลยมีรอยปะ
ตามวิธีการของแม่อยู่หลายแห่งรวมทั้งเชือกฟางสีชมพูหม่นที่แม่ใช้รัดรอบกล่องหลายทบเพื่อเสริมความแข็งแรงไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ไม่เปลี่ยน
กล่องใหม่ทั้งที่เราก็มีกล่อง แบบนี้หลายใบอยู่ วันนี้แม่ประคองกล่องของแม่อย่างเบามือมันดูน่าขัน ยังกะพวกบ้านนอกเวลาจะกลับบ้าน วันก่อน
ฉันเอากระเป๋าใบเก่งของฉันให้แม่ แต่แม่ไม่เอา "ไม่เอา ย้ายไม่ได้ ย้ายแล้วเดี๋ยวมันสับสนกันหมดเอาไว้ในกล่องน่ะดีแล้ว" ตั้งแต่จำความได้ ก็เห็นแม่
ลากเจ้ากล่องใบนี้เข้าๆ ออกๆ อยู่หลายหน แต่ไม่มีใครเคยถามแม่ซักทีว่ามีอะไรในนั้น พวกเรามักเรียกว่า 'กล่องของแม่' ก็เท่านั้นและเป็นอันรู้กัน
ว่าห้ามย้ายห้ามรื้อกล่องของแม่เป็นอันขาด ไหนๆแม่จะไม่อยู่แล้วฉันเลยถามขึ้นว่า"มีอะไรในกล่องมั่งล่ะ" แม่มีอาการกระตือรือร้นเชียว เวลาพูดถึง
กล่องของแม่ รีบดึงเชือกฟางสีชมพูที่ผูกบน กล่องออกมาอย่างเบามือ แล้วเริ่มหยิบของในนั้นออกมาให้ดู"มีแต่ข้าวของเกี่ยวกับพวกแกทั้งนั้นแหละ
บน ๆ นี่ก็รูปพวกหลานทั้งหลาย ล่างๆ ก็จะเป็นรูปพวกแก" แม่หยิบสมุดอัลบั้มใส่รูปขึ้นมาหนึ่งเล่ม แล้วเปิดดูทีละหน้าพร้อมกันยิ้มกว้าง "นี่ตาเอก
ตอนเกิดใหม่ๆ ตัวมันแดงเชียวหน้าเหมือนแม่มันยังกะแกะ พอโตแล้วซนเป็นบ้า ยายมันเลี้ยงซะเสียคน" นี่ก็เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของแม่คือมีช่องว่าง
เป็นต้องจิกลูกสะใภ้ และครอบครัว แม่ยังหยิบโน่นหยิงนี่ออกมาอย่างช้า ๆ พวกรูปทั้งนั้นแหละ มีทั้งรูปลูกชาย ลูกสาว หลานยาย หลานย่า
รูปวันแต่งงาน รูปรับปริญญา รูปเด็กเกิดใหม่ รูปที่พวกลูก ๆหลานๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน แม่เก็บไว้ยังกะของมีค่าแล้วก็มาถึง บรรดากระดาษรุ่งริ่ง
กระดาษพวกนั้นบางและเก่าจนแทบจะกระจายเมื่อโดนลมจากเครื่องปรับอากาศหน้ารถ"อุ๊ย! อะไรน่ะ" ฉันรีบปัดหน้ากากเครื่องทำความเย็นให้พ้น
หน้าตักแม่ ก่อนที่กระดาษคร่ำคร่าพวกนั้นจะร่วงปลิวไปตามแรงลม"วันเกิดพวกแกกับพวกหลาน ๆ ไง ฉันเก็บไว้ทุกคนแหละไม่ยังงั้นเวลาไหว้พระ
จำไม่ได้ว่าเกิดกันเมื่อไหร่ เรามันครอบครัวใหญ่ จำไม่หมด นี่..นี่..แผ่นนี้วันเกิดตาอึ่ง (คือพี่ชายฉัน) ตอนมีลูกคนแรกมันสับสนวุ่นวายไปหมด ทีแรก
ไม่รู้จะจดวันเกิดลูกยังไงดี แต่ยายน่ะซีรีบฉีกปฏิทินออกมายัดใส่มือ บอกว่า เอ้า! วันเกิดลูกเก็บไว้ซะ ตั้งกะนั้นมาพอใครเกิด ฉันก็ฉีกวันที่เก็บไว้ทุกที
ฉันมันคนไม่รู้หนังสือ ไม่เหมือนพวกแกหรอก มีคอมพิวเตอร์มีอะไรกันแต่ไม่เห็นมีใครจำวันเกิดแม่ได้ซักคน วันตายพ่อยังไม่รู้เลยฉันต้องนั่งไหว้อยู่คน
เดียวทุกปี" น้ำเสียงของแม่ไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจ อาจเพราะแม่กำลังชื่นชมของที่เก็บไว้ในกล่องอยู่ก็ได้ ปฏิทินที่แม่ว่านั้นเป็นกระดาษสีนวล
บาง ๆ ใบใหญ่บ้างเล็กบ้างตามแต่ว่าปีไหนเขาจะผลิตปฏิทินออกมาขนาดไหนตอนเด็ก ๆ อาเจ๊ร้านขายของชำแถวบ้านจะเอามาแจกให้ทุกปี พอเขา
เลิกแจก แม่ต้องไปซื้อที่ตลาดเก่าเยาวราชนู่นแหละ ตอนหลัง พี่อึ่งเป็นคนเอามาให้ทุกปีเพราะที่บ้านเขามีคนเอามาให้แต่เขาไม่แขวนเพราะเชย
มันเป็นปฏิทินทางจันทรคติที่แยกวันที่ออกเป็นวันละหนึ่งแผ่นตัวเลขวันที่พิมพ์ตัวโตสีดำเด่นอยู่กลางหน้ากระดาษถ้าเป็นวันหยุดตัวเลขจะเป็น
สีแดงแทน พวกเราทุกคนคุ้นกับปฏิทินของแม่ดี เพราะแม่สอนพวกเราทุกคนหัดอ่านหนึ่งสองสามจากปฏิทินพวกนี้แหละพี่อั๋นนั้นโดนแม่ตีมือมากที่สุด
เพราะอ่านไปฉีกเล่นไป"อย่าฉีก เดี๋ยวแม่ไหว้เจ้าไม่ถูก" แม่จะหวงปฏิทินมาก เพราะบนกระดาษแต่ละใบนั้น นอกจากวันที่ตัวมหิมาเห็นเด่นชัด
โดยไม่ต้องใส่แว่นแล้ว ยังมีคำทำนายสั้นๆ อยู่ด้วย สำหรับคนเกิดในวันนั้นและมีฤกษ์ผานาทีกำกับไว้ว่าวันนั้นควรทำการมงคลหรือไม่ควรทำอะไร
และที่สำคัญใบ้หวย...แม่น! "ลูกแปดคนก็มีแต่แกนี่แหละที่เล่นเอาฉันไม่เป็นอันกินอันนอน" "อ้าว! ทำไมล่ะ" เออ นี่เป็นความรู้ใหม่ทีเดียวสำหรับฉัน
"ตอนแกเกิดในปฏิทินเขาเขียนไว้ว่า ชะตาไม่ดี เลี้ยงยากไอ้ฉันเลยร้องไห้ซะเป็นวรรคเป็นเวร พ่อแกเค้าหาว่าบ้า เฮ้อ! จริงไม่จริงคนเป็นแม่ก็ต้องเชื่อ
ไว้ก่อนน่ะแหละ ของมันอยู่ในท้องมาตั้งเก้าเดือนใครไม่รักไม่หวงก็บ้าแล้วผู้ชายจะมารู้อะไร เค้าไม่ได้มาอุ้มท้องแบบเรานี่" พูดถึงพ่อแล้วแม่อดค้อนลม
ค้อนแล้งไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อว่า "พอออกจากโรงพยาบาลอยู่เดือนยังไม่ครบดี ฉันก็รีบไปไหว้เจ้าเลย ย่าแกด่าซะไม่มีดีเค้าห่วงกลัวเราไม่สบาย
ได้ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เลยเสียอกเสียใจยอกใหญ่ พอไปไหว้เจ้าเสี่ยงเซียมซีก็พูดเหมือนกันเค้าว่าแกเลี้ยงยากเพราะดวงมันมายังงั้น แต่จะมีความ
ก้าวหน้าในชีวิต เฮ้อ! ไอ้ฉันน่ะเลี้ยงแกมาชนิดไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยกลัวพี่เอาไปทำแข้งขาหัก ไปโรงเรียนก็จุดธูปทุกเช้าให้แคล้วคลาด เวลาไปไหนๆ
ก็ต้องบนพระทุกที่ให้แกไปดีมาดี กว่าจะโตมาได้ เฮ้อ! แม่ถอนใจอยู่หลายครั้งกว่าจะพูดจบได้ความเงียบเกิดขึ้นพักใหญ่ นอกจากเสียงฝน
และเสียงเครื่องปรับอากาศในรถแล้วมันเงียบจนฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่ไหนซักแห่งในโลกที่ไม่ใช่บนถนนมีรถติดเป็นแพอย่างนี้
"แกจะเอาฉันย้ายไปอยู่ไอ้เนิร์สซิ่งโฮมของแก ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก คนแก่แล้วมีที่นอนมีข้าวกินสามมื้อก็พอ ห่วงก็แต่แกน่ะแหละอีกไม่กี่ปีจะ
สามสิบห้าอยู่แล้ว ต้องระวังตัวให้ดีอย่าลืมไปทำบุญไหว้พระซะจะได้อายุมั่นขวัญยืน ถ้าฉันยังอยู่กะแกก็จะได้ไปจัดการให้แต่ต่อไปแกต้องทำเองแล้ว
ค่ำมืดดึกดื่นเข้าบ้านออกบ้านต้องระวังหน่อย" แม่พูดพร้อมกับที่ค่อย ๆเรียงกระดาษและรูปทั้งหมดลงไปในกล่องของแม่อย่างเดิม "ไอ้กล่องนี่ไม่ได้
เปลี่ยนเลยนะ ตั้งกะมีลูกคนแรก มีอะไร ฉันก็เรียงลงไปเรื่อยๆ หลายสิบปีแล้ว แต่มันยังกะคอมพิวเตอร์ พวกแกเลยนะ แถมแม่นไม่มีอะไรเท่า
พวกแกซะอีกหลง ๆ ลืม ๆ" ฉันไม่เคยรู้เลยว่ากล่องของแม่จะบันทึกชีวิตของครอบครัวเราไว้ได้มากขนาดนี้ มิน่าแม่จะจำวันสำคัญของพวกเราได้แม่น
อย่างไม่น่าเชื่อจนพวกเราแอบเรียกแม่ว่า "สมองคอมพิวเตอร์" ที่แท้แม่มีทีเด็ดตรงกล่องนี่เอง เห็นแม่ลากออกมาดูบ่อยๆ แล้วเก็บไว้อย่างดีทุกที
ฉันคงนั่งนิ่งไปนานถ้าแม่ไม่พูดขึ้นว่า "แกก็อย่าไปคิดอะไรมากเลย ฉันรู้ว่าพวกพี่ ๆ เค้าเอาภาระมาใส่แกมากเกี่ยวกับตัวฉันแต่คนเดี๋ยวนี้มันก็ภาระแยะ
ไหนจะส่งลูกไปโรงเรียนไหนจะเอาลูกไปสอบไปวิ่งเต้นเรื่องนั้น เรื่องนี้ ผัวมันยังต้องไปตีกอล์ฟอีก แม่พวกสะใภ้ก็ต้องวิ่งกลับไปดูพ่อแม่เค้า อะไรๆ
ฉันก็รู้ แต่ทำไงได้ล่ะ คนมันยังไม่ถึงคราวตายมันก็ต้องอยู่ไปยังงี้แหละใช่ว่าอยากตายก็จะได้ตายซะที่ไหน แก่แล้วลำบาก ไปไหนต้องอาศัยคนอื่น
ทำอะไรก็ต้องออกปากไหว้วานคนนั้นคนนี้มันเหมือนต้องตากหน้าไปอ้อนวอนเค้า ไอ้ที่เคยคล่องๆ ก็กลายมาเป็นภาระความจริงไอ้ที่แกไม่มีผัว
ฉันก็ห่วงอยู่เหมือนกันบางที ถ้าไม่มีภาระเรื่องแม่แกอาจจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที" เงาดำในใจฉันเริ่มคลี่ขจายออกกลายเป็นเพียงหมอกบางๆ
ฉันแหงนหน้าไปดูท้องฟ้านอกรถ ฝนเริ่มบางตา แสงสว่างสามารถส่องผ่านเมฆมาได้บ้าง "แกอย่าห่วงฉันเลย ห่วงตัวเองดีกว่าไอ้ที่ฉันจะไปอยู่
มันคงดี เพราะราคามันแพงจะมีคนแก่ซักกี่คนที่ได้ไปอยู่ที่แพงๆอย่างนั้น ห่วงตัวเองเถอะถ้าเจอคนดีพอใช้ได้ก็อย่าเลือกมากมาย รีบแต่งงานรีบมีลูก
แก่แล้วจะได้ไม่ลำบาก ดูอย่างชั้นซี อย่างน้อยถึงลูกไม่มีมาดูแลเวลาให้ก็ยังมีคนส่งเงินมาให้ใช้ ถ้าไม่มีลูกจะยิ่งลำบากมากกว่านี้" ฉันไม่รู้จะพูดอะไร
เงียบกันไปพักหนึ่ง ฉันบอกแม่ว่า "อิ๋วจะไปหาแม่บ่อยๆ" "อย่าพูดยังงั้นเลย เดี๋ยวนี้การจราจรมันสาหัสเหลือเกิน เวลาก็ไม่ค่อยมี เรื่องต้องทำ
ก็มีแยะไปหมด เอาเป็นว่าว่างก็มาแล้วกัน แต่ถึงพวกแกไม่มาฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก ชีวิตทั้งชีวิตของชั้นอยู่ในนี้หมดแล้วอยากเห็นหน้าลูกก็ดูเอาในนี้
ไม่ต้องมานั่งคอยให้เสียเวลา เปิดกล่องของแม่มาก็เห็นหน้าพวกแกได้ทันที" แม่ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อกอดกล่องให้กระชับขึ้นรถบนถนนเริ่มเคลื่อนตัว
ช้าๆ พร้อมกันฝนที่ขาดเม็ด อีกไม่กี่เมตรจะถึงสี่แยกแล้ว และมีป้ายให้กลับรถได้ ฉันพารถ เบียดเข้าเลนขวาเพื่อกลับรถแม้รถคันอื่นจะบีบแตร
ด่ากันเสียงขรม แต่ฉันไม่สนใจ ฉันกำลังนึกถึงตัวเองตอนแก่ และมีกล่องอย่างแม่สักใบคงดีไม่น้อยที่จะได้อวดลูกๆ ของฉันถึง "กล่องของแม่"
รักแม่ ดูแลและตอบแทนแม่ของคุณ ให้มาก ๆ ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ ทำซะก่อนที่จะรู้สึกเสียใจ
ในชีวิตนี้คุณมีแม่เพียงคนเดียวนะ คนอื่นคุณหาได้ มีได้อีกเยอะ จริงมั๊ย!!!! ****รักรักรัก**


ขอบคุณครับ สำหรับสิ่งดีๆ ที่มีให้แก่กัน ^_^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น