++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

น่าเศร้าเพราะเรายังขายของเก่ากิน

ชาวไทยส่วนใหญ่คงได้ยินเรื่องราว
หรือได้ไปชมความน่าอภิรมย์ของอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมาแล้ว
ผมเพิ่งมีโอกาสผ่านไปเห็นสองครั้งเมื่อเร็วๆ
นี้เนื่องจากมีผู้ใหญ่ชวนให้ไปร่วมงานในฐานะผู้มีพื้นความรู้ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ
แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและสิ่งแวดล้อม ก่อนไปที่นั่น
ผมได้รับการบอกเล่าจากผู้ที่ไปพบปะสังสรรค์และประชุมสัมมนากันตามรีสอร์ตต่างๆ
ว่า อากาศในย่านวังน้ำเขียวเย็นสบาย

หลังจากได้สัมผัสอากาศและสภาพแวดล้อมของวังนำเขียวสองครั้ง
ผมมองว่าแม้อากาศที่นั่นจะค่อนข้างเย็นสบายจนทำให้ผมสูดอากาศเข้าปอดได้เต็มที่ก็จริง
แต่สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปทำให้ผมเศร้าใจมากเนื่องจากมันยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า
การพัฒนาของไทยจะไม่มีทางยั่งยืนเพราะวางอยู่บนฐานของการทำไร่เลื่อนลอยและขายของเก่ากิน

สำหรับผู้ที่อาจหลงลืมไป
ขอทบทวนเรื่องไร่เลื่อนลอยว่าเป็นการทำเกษตรกรรมโดยการเผาป่าเพื่อนำที่ดินมาปลูกพืชล้มลุก
หลังใช้ที่ดินนั้นปลูกพืชจนดินจืดเมื่อปุ๋ยธรรมชาติในดินหมดไปซึ่งอาจเป็นในช่วงเวลา
3-5 ปี เกษตรกรก็จะละทิ้งพื้นที่ตรงนั้นแล้วพากันอพยพไปเผาป่าตรงที่ใหม่
ป่าที่ถูกทำลายมักกลายเป็นทุ่งหญ้าคามากกว่าจะคืนสภาพกลับมาเป็นป่าเช่นเดิม
เมืองไทยในอดีต สภาพเช่นนั้นมักเกิดขึ้นทางภาคเหนือเมื่อชาวเขาเผาป่าเพื่อนำที่ดินมาปลูกข้าวผสมผสานกับการปลูกฝิ่น

แต่ในปัจจุบันนี้
ผู้ที่เผาป่าคือผู้มีอิทธิพลและนายทุนขนาดใหญ่ซึ่งนำที่ดินมาทำสวนผลไม้และไร่พืชเชิงเดี่ยว
จะเห็นว่า ณ วันนี้ยังมีการเผาป่ากันอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะป่ารอบๆ
เขตป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติในภาคเหนือ
มีรายงานว่าผู้บงการเผาป่าบางคนเป็นญาติของนักโทษไทยที่หนีคุกไปบงการเผาบ้านเผาเมืองตัวเองอยู่ในต่างแดน

ย่านวังน้ำเขียวมีรีสอร์ตและบ้านผุดขึ้นปานดอกเห็ดเพราะมันกำลังเป็นที่นิยมของนักจัดสัมมนาและมหาเศรษฐีที่มองหาย่านสร้างบ้านไว้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
การซื้อขายที่ดินด้วยราคาแพงเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายทั้งที่พื้นที่ตรงนั้นยังไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายกันได้ตามกฎหมายที่ดิน
หากมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าวิวัฒนาการนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำไร่เลื่อนลอยซึ่งเกิดขึ้นตามแหล่งต่างๆ
ของประเทศ การเผาป่าเพื่อนำที่ดินมาปลูกพืชเชิงเดี่ยวเกิดขึ้นเรื่อยมาในช่วงเวลา
50-60 ปีจากวันที่เรามีนโยบายเร่งรัดพัฒนาประเทศ
แม้แต่ที่ดินตามชายฝั่งและเกาะต่างๆ ก็ถูกทำลาย
การตัดป่าไม้โกงกางเพื่อนำพื้นที่มาทำบ่อกุ้งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง

ตัวอย่างทางด้านการสร้างรีสอร์ตได้แก่ทางฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยซึ่งเริ่มเมื่อหลายสิบปีก่อนที่บางแสน
หลังบางแสนเสื่อมโทรมและหมดความนิยมลงก็เลื่อนไปพัทยาเหนือ
แล้วลงไปพัทยาใต้ต่อไปถึงหาดจอมเทียน และเกาะช้างเกาะกูด
ทางฝั่งตะวันตกของอ่าวไทยก็เริ่มจากหัวหินแล้วลามถึงชะอำ ปราณบุรี
เกาะสมุย และพะงัน

ส่วนทางฝั่งทะเลอันดามันก็ที่ภูเก็ต
เกาะในเขตจังหวัดตรังและชายฝั่งจังหวัดพังงา
สถานที่เหล่านั้นส่วนใหญ่เกิดจากการทำลายป่าเพื่อนำเนื้อที่มาสร้างโรงแรม
รีสอร์ตและบ้านพักตากอากาศ
การทำลายป่ามักตามมาด้วยความสกปรกของผืนดินชายฝั่งและน้ำทะเล
นอกจากนั้นยังมีบริการโสเภณีที่มีทั้งแบบลับๆ และแบบออกหน้าออกตา เช่น
ที่พัทยาเหนือจนทำให้เมืองไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเพื่อปลดเปลื้องความคั่งค้างทางเพศ

หลังจากได้เห็นอำเภอวังน้ำเขียวกลายเป็นเนินเขาหัวโล้นโดยทั่วไป
และแทบจะไม่มีนกบินไปมาให้เห็น ผมนึกถึงหนังสือเรื่อง Silent Spring ของ
Rachel Carson เรื่อง An Inconvenient Truth ของ Al Gore และเรื่อง
Collapse ของ Jared Diamond
เล่มแรกพูดถึงความเงียบเหงาของธรรมชาติเมื่อปราศจากเสียงนก
สภาพเช่นนั้นเกิดขึ้นเพราะสารเคมีจำพวกดีดีทีได้เข้าไปทำลายสิ่งแวดล้อมส่งผลให้เปลือกของไข่นกเปราะบางจนฟักออกเป็นตัวไม่ได้
ผู้แต่งเรียกความสนใจได้สูงมากจนในที่สุดสารเคมีจำพวกดีดีทีก็ถูกห้าม

อย่างไรก็ตาม
มันสายเกินไปสำหรับตัวเขาเองที่ต้องตายก่อนวัยอันควรด้วยโรคมะเร็งซึ่งสารเคมีอาจมีส่วนทำให้เกิดขึ้น
การที่นกหายไปจากวังน้ำเขียวนั้นอาจเกิดจากการทำลายป่าแบบน่าอดสูจนนกไม่มีที่จะอยู่อาศัยจำเป็นต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น
หรือจากการใช้สารเคมีทำไร่ในย่านนั้นจนเกิดผลกระทบทางลบต่อการขยายพันธุ์ของนกก็ได้

ส่วนหนังสือสองเล่มหลังซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้วทั้งคู่พูดถึงเกาะฮิสปันโยลาอันเป็นดินแดนแห่งแรกของโลกใหม่ที่คริสโตเฟอร์
โคลัมบัส เดินทางไปถึงเมื่อปี พ. ศ. 2035
ในปัจจุบันเกาะนี้เป็นที่ตั้งของทั้งสาธารณรัฐโดมินิกันและเฮติ
ผู้แต่งนำภาพถ่ายทางอากาศมาเสนอ
ภาพนั้นแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดว่าทางฝั่งโดมินิกันยังมีพื้นที่สีเขียวอยู่ทั่วไป
ส่วนทางฝั่งเฮติได้กลายเป็นสีน้ำตาลเกือบทั้งหมด
การนำเกาะนั้นมาเสนอก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า
การทำลายป่านำมาซึ่งความล่มสลายเนื่องจากการทำลายป่าก็คือการทำลายตัวเอง

อย่างไรก็ตาม
ความล่มสลายของเฮติมิใช่ของใหม่เนื่องจากการทำลายป่าได้ทำให้สังคมล่มสลายมามากต่อมากแล้ว
หากย้อนไปดูสังคมใหญ่ๆ ในยุคบาบิโลนในตะวันออกกลาง
ยุคโรมันในทางตอนใต้ของยุโรปและสังคมมายาในอเมริกากลางจะเห็นว่าการทำลายป่าเป็นปัจจัยสำคัญของการทำให้สังคมเหล่านั้นล่มสลาย

เมื่อผมเข้าไปดูภาพถ่ายทางอากาศของเมืองไทยในอินเทอร์เน็ตก็พบว่า
บริเวณวังน้ำเขียวและเขาใหญ่มีสภาพไม่ต่างกับเฮติและโดมินิกันแม้แต่น้อย
นั่นจะเป็นการบอกอะไรกับใครอย่างไรหรือไม่ผมไม่อาจเดา
แต่สำหรับผมมันตอกย้ำให้เกิดความแน่ใจอีกครั้งหนึ่งว่า
การพัฒนาของไทยเป็นแบบการทำไร่เลื่อนลอยและขายของเก่ากินติดต่อกันมาเป็นเวลานานและยังดำเนินต่อไปแบบไม่หยุดยั้ง
ตัวเลขต่างๆ จำพวกรายได้ประชาชาติ หรือจีดีพี
และการอยู่ดีกินดีที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลา 50-60
ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่มีการทำลายป่าเพื่อนำที่ดินมาใช้ในกิจการต่างๆ
เป็นส่วนประกอบสำคัญ ร้ายยิ่งกว่านั้น
เมื่อการทำลายป่าก่อให้เกิดรายได้ก็ถูกนำไปใช้แบบสุรุ่ยสุร่ายด้วยการก่อสร้างสิ่งต่างๆ
ซึ่งใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าดังที่คอลัมน์นี้ได้ชี้ให้เห็นแล้วเมื่อวันที่
12 มีนาคม ที่ผ่านมา

การทำลายป่าไม่ได้นำมาซึ่งการลงทุนแบบยั่งยืน ฉะนั้น
เมื่อป่าหมดไป เมืองไทยก็จะไม่มีทุนสำหรับพัฒนาต่ออย่างเพียงพอซึ่งจะทำให้การพัฒนาหยุดชะงัก
ร้ายยิ่งกว่านั้นประเทศอาจล่มจมแบบเฮติก็ได้หากการทำลายป่ายังไม่หยุดยั้งยังผลให้คนไทยมีใจอำมหิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนฆ่าฟันกันเองได้เช่นชาวเฮติ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปีสองปีมานี้ชี้ให้เห็นว่าจิตใจของคนไทยเริ่มวิวัฒน์ไปในทางนั้นแล้ว

ทางออกสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนฐานของการคิดให้เป็นไปในแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยเฉพาะความรู้จักพอของผู้ที่มีอันจะกินแล้ว
รัฐบาลมีหน้าที่ดำเนินนโยบายและสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงดังที่ได้เสนอไว้ในหนังสือชื่อ
"สู่ความเป็นอยู่แบบยั่งยืน" และ "ทางข้ามเหว"
ซึ่งมีแจกให้ผู้สนใจตามที่เรียนไว้ในเว็บไซต์ www.sawaiboonma.com


++
(บทความนี้ถูกตัดออกหรืออย่างไรถึงไม่ขึ้น พยายามอีกครั้งสิ)
.....มีใครสักกี่คนที่สนใจเข้ามาอ่านบทความนี้ หรืออ่านแล้วก็ผ่านเลยไป
ไม่ได้นำมาใส่ใจกระตุ้นความคิดให้ต่อยอดไปในทางสร้างสรร
จุดประกายให้อยากทำอะไรสักอย่างให้เป็นการดึง ฉุดรั้ง
ให้แผ่นดินทองกลับมาเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ก็เฉยๆ ธุระไม่ใช่
.....ขอชื่นชม ASTV ที่นำบทความดีๆมีประโยชน์อย่างนี้มาลง
อยากให้นำมาลงเยอะๆ
เพื่อเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกของคนไทยถึงสมบัติของประเทศไทยอันมีค่ากำลังถูกทำลายจากคนเห็นแก่ตัว
มองโลกใบนี้แคบๆแค่คืบแค่ศอก ตัวอย่างก็เห็นมามาก
สุดท้ายมันก็มีผลกลับมากระทบตัวเอง
เสียดายคนไทยตะบี้ตะบันเรียนกันจนจบปริญญาโทจนเป็นแฟร์ชั่น แต่คิดไม่เป็น
เพียงเอาแต่กระดาษมาโชว์ชาวบ้านเพื่อความโก้ว่าฉันมีความรู้สูงนะ
แต่ไม่มีคุณภาพ เวลาที่ผ่านมาเสียเวลาเปล่า
ปัญหาที่เกิดคือทำให้สังคมไทยอ่อนแอ ทดถอย ทุกอย่างแย่ลงไปเรื่อยๆ
....ประเทศที่ฉันอยู่เขาห้ามตัดต้นไม้ และฆ่าสัตว์ มิเช่นนั้นติดคุกหัวโต
และประชาชนเขามีจิตสำนึกรักสัตว์มาก
และช่วยกันปลูกต้นไม้ตลอดเวลาเป็นนิสัยตั้งแต่เด็กประถม
ประชากรส่วนใหญ่จบแค่ม.๓ หรือ ม.๖ เท่านั้น แต่เขาฉลาดและมีคุณภาพ
ตัวฉันเองพยายามที่จะเรียนให้ได้สูงมี่สุดเท่าที่จะทำได้จนถึงปริญญาเอก
พวกเขาถามว่าจะรียนเอาไปทำไมมากมาย
ถ้าเอากระดาษแผ่นนั้นไปเก็บไว้เฉยๆโดยขาดจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคม
เพื่อนมนุษย์ และประเทศของเรา
.....ขอชื่นชม ASTV อีกครั้งที่นำเสนอเรื่องดีๆแบบนี้ มันดีกว่าเรื่อง
"ซ้อเจ็ด" "ข่าวดาราดันเต้านมกันจนปลิ้น" "มีกิ๊ก มีตบ มั่วกันยุ่ง"
อ่านแล้วเหมือนประเทศไทยอยู่ในสังคม "ผีขนุน"
cairns

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น