++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

ยุบสภา ต้องไม่ใช่ไปตายดาบหน้า

โดย บัณรส บัวคลี่ 29 มีนาคม 2553 17:12 น.

ผมเป็นฝ่ายที่ไม่ยี่หระว่าจะยุบสภา หรือไม่ เมื่อไหร่? ..,

เลือกมาได้ก็ยุบได้ เพราะยังไงสภาชุดนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่มาก
จะเลือกเร็วขึ้นในเดือนหน้าหรือ 3 เดือน 6 เดือนก็เป็นไรมี
เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย

แต่ที่ยังคับข้องติดใจอยู่ก็คือความชัดเจนจากบรรดาผู้เล่นทางการเมืองที่กำลังโรมรันพันตูอยู่ว่าจะยังความมั่นใจให้กับเราคนไทยเจ้าของประเทศได้ขนาดไหนว่าหนทางนี้เป็นประตูทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

อันที่จริงประชาธิปไตยไทยไม่ได้ถอยหลังไปถึงปี 2475
อย่างวาทะของใครหลายคนที่พยายามโน้มน้าวสร้างภาพให้สังคมเชื่อ

การลุกขึ้นของประชาชนครั้งใหญ่ตั้งแต่ปี 2548
ต่อเนื่องมาถึงวันนี้เป็นผลพวงจากการปฏิรูปการเมืองเมื่อปี 2540
ในท่ามกลางความวุ่นวายไม่สงบ การเดินขบวน
การประท้วงและเหตุรุนแรงหลายต่อหลายครั้งที่มีผู้เรียกว่าวิกฤตการณ์ทางการเมืองก็มีผลทางบวกกลับมาเช่นกัน
ความวุ่นวายครั้งใหญ่รอบนี้เป็นโรงเรียนการเมืองที่เปิดหลักสูตรบังคับสอนให้กับคนไทยทุกคน-ไม่อยากเรียนก็จำต้องเรียน

สังคมไทยได้เรียนรู้ร่วมกันถึงสิ่งที่แต่ละฝ่ายกล่าวอ้างว่าคือประชาธิปไตย
มีสิ่งดีๆ ผุดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายหลายอย่าง
วงวิชาการอาจเรียกสิ่งนี้ว่า 'การปรับตัวภายในระบบ'
เช่นหลักการเคารพสิทธิการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน Right to
demonstrate ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย

เมื่อปี 2548-49
คนสองมือเปล่าออกมาชุมนุมถูกอำนาจรัฐและนักการเมืองส่งคนไปคุกคาม ทำร้าย
โยนระเบิดใส่ พอมาปี 51
นายกรัฐมนตรีเวลานั้นออกทีวีด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดสั่งสลายการชุมนุมของประชาชนที่เพิ่งเริ่มชุมนุมไม่กี่วัน
สังคมได้เรียนรู้เรื่อยมาว่าวิธีการแบบที่รัฐบาลพยายามทำไม่ได้ผลมีแต่ต้องเคารพหลักการแสดงออกอย่างสงบของประชาชน
ใครหลายคนที่รำคาญประชาธิปัตย์ว่าไม่ทำอะไรเลยซึ่งบางอย่างก็ถูกแต่ที่ต้องให้คะแนนเต็มคือการเคารพสิทธิชุมนุมโดยสงบของประชาชน
รัฐบาลทักษิณ-สมัคร-สมชาย สอบตกในเรื่องหลักข้อนี้
อภิสิทธิ์มาสร้างหลักข้อนี้ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาและหวังว่าจะเป็นพื้นฐาน-มาตรฐานให้รัฐบาลต่อๆ
ไปยึดต่อ

เสื้อแดงก็เหมือนกัน ตอนเป็น นปก. ก็ก่อจลาจล
เมษาที่แล้วเผาบ้านเมือง
ภาพแดงติดกับคำว่าถ่อยตั้งแต่เหตุอุดรฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ
แต่มาปีนี้ขบวนการดังกล่าวสรุปบทเรียนว่า "ความรุนแรงไม่สามารถชนะได้"
ต้องยึดหลักที่สังคมประชาธิปไตยอารยะยึดกันก็คือ
การชุมนุมโดยสงบแสดงสิทธิของประชาชนอย่างเต็มที่

ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมมานี้เวทีเสื้อแดงกอดหลักการนี้แน่น
ซึ่งก็สมควรจะได้รับคำชมเชย
แม้จะมีเหตุระเบิดควบคู่กันหากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ชัดก็ไม่สามารถชี้ว่าเป็นฝีมือแดงผ่านฟ้า

ขบวนการแดงสลัดภาพถ่อยเถื่อน หันมายึดหลักสันติอหิงสา
เช่นเดียวกับรัฐบาลที่ไม่บ้าจี้เหมือนรัฐบาลก่อนๆ
ล้วนแต่เป็นพัฒนาการที่น่าพอใจของประชาธิปไตยไทย

ใครบอกประชาธิปไตยไทยถอยหลัง...เพราะในท่ามกลางวิกฤตก็มีพัฒนาการ!!!

สิ่งที่ควรจะได้รับคำชื่นชมที่สุดก็คือเวทีเจรจา 2
ฝ่ายเมื่อเย็นวันที่ 28 มีนาคม ณ สถาบันพระปกเกล้าฯ
แม้ในรายละเอียดจะมีสิ่งที่น่าวิจารณ์ทั้งบวกลบ
และมีข้อคลางแคลงในวาระซ่อนเร้นอยู่บ้าง
แต่ในภาพรวมนี่เป็นสัญญาณความก้าวหน้าของการพยายามใช้ระบบที่ถูกต้องผ่าทางตันปัญหาการเมือง

การเจรจาผ่านการถ่ายทอดสด
อาจจะไม่ถูกใจต่อมุมมองของผู้คาดหวังผลสัมฤทธิ์จากการเจรจา
เพราะโดยทฤษฎีการเจรจาแบบนี้ควรมีพื้นที่และข้อความส่วนตัวแล้วค่อยแถลงผลสรุปร่วมให้สาธารณะรู้เป็นขั้นตอน
อย่างไรก็ตามหากมองจากมุมของประชาชนนี่เป็นห้องเรียนการเมืองวิชาสำคัญที่คนทั่วไปไม่ว่าสีอะไรอยู่ตรงจุดไหนได้รับรู้ข้อมูลตรงอย่างพร้อมเพรียง

ประเทศไทยไม่ใช่เป็นของมวลชนหนุนรัฐบาลหรือคนเสื้อแดงเท่านั้น..
หากยึดผู้ลงคะแนนเลือก ปชป.กับพลังประชาชนรอบที่แล้วแค่พรรคละ 12
ล้านกลมๆ จากประชาชนไทย 70
ล้านคนทั่วประเทศและคนที่เหลือเหล่านี้เองที่จะเป็นพลังสำคัญที่จะประคับประคองไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างมวลชนคู่กรณี...
จึงเป็นการดีที่สุดที่คนไทยส่วนที่เหลือได้เห็นได้ยินได้ฟังการเจรจาที่จะมีผลกระทบต่อตนเองโดยตรง

นี่เป็นบทเรียนของการเรียนรู้สังคมประชาธิปไตยอารยะโดยตรงที่หายากยิ่ง!!

เอาแค่คนเสื้อแดงก็พอ
การรณรงค์ก่อนหน้ามวลชนบางส่วนถูกหล่อหลอมให้เกลียดชังขนาดที่เจอหน้าต้องปาไข่
ฆ่าได้ก็ฆ่า พอมาเจอแกนนำกอดหลักสันติวิธีก็งงมารอบหนึ่งแล้ว
แกนนำต้องพยายามอธิบายบนเวทีเมื่อวันที่ 16-17
มี.ค.ให้ยอมรับในวิธีการนี้
พอมาถึงรอบเจรจาคนเสื้อแดงหน้าเวทีบางส่วนเห็นการเจรจาแบบสุภาพเรียบร้อยถึงกับรับไม่ได้
แสดงความไม่พอใจเก็บข้าวของออกไปทันที ...
แต่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจเมื่อแกนนำกลับมาอธิบายความ

สำหรับคนกลางๆ ทั่วๆ
ไปที่ได้ดูการเจรจาจะตัดสินได้ว่าฝ่ายใดที่ยืนข้างหลักการเหตุผลที่ถูกต้อง
ที่ควรชมเชยก็ต้องชม เช่น วีระ มุสิกพงศ์
แสดงออกด้วยความเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ
ส่วนหมอเหวงที่ลากเอาวงเจรจาออกทะเลพูดเรื่องอะไรไม่รู้ล้วนไม่เกี่ยวประเด็นเจรจาก็ได้รับบทเรียนของตัวเองไป

คนที่พูดบอกว่าทั้งสองฝ่ายมีธง ฝ่ายรัฐบาลไม่ยุบ
ส่วนแดงให้ยุบทันที
..มีธงไม่ผิดอะไรเลยเพราะเป็นเรื่องปกติของการเจรจาต่อรอง
แต่ข้อดีของการถ่ายทอดสดทำให้คนกลางๆ อีกเกือบ 50 ล้านคนได้ชั่งน้ำหนัก
ถ้าเหตุผลของแดงดีคนกลางๆ และสังคมที่เหลือจะกดดัน ปชป.
ให้ยุบสภาเอง...แดงก็จะมีแนวร่วมเพิ่มขึ้น

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
เป็นผู้ที่ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจให้กับสังคมโดยบอกว่า
ถ้าให้ประชาชนลงประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญพร้อมๆ กับการเลือกตั้ง
เป็นบัตรอีกใบหนึ่งที่หย่อนพร้อมกันจะดีมั้ย?
ข้อเสนอลักษณะนี้แหละที่ทุกฝ่ายควรเสนอออกมาให้สังคมร่วมตัดสินใจ

แต่น่าเสียดายที่เราท่านไม่ได้ยินข้อเสนอรูปธรรมของตัวแทนเสื้อแดง
เขาหารือว่ายุบก็ยุบได้ แต่ถ้าเกิด
กก.บห.พรรคทำผิดแล้วถูกยุบพรรคอีกรอบตามกฎหมายปัจจุบันจะทำยังไง
จะแก้กติกาก่อนดีมั้ย? พวกก็บอกว่าไม่ยอมรับกติกาโจรที่มาจากรัฐประหาร
หมอเหวงตอบประเด็นนี้ไปทาง วีระ ตอบไปทาง

จนกระทั่งถึงตอนท้ายๆ นั่นแหละที่จตุพรทุบโต๊ะบอกว่าพร้อมไปตายดาบหน้า!!!

ข้อเสนอของกอร์ปศักดิ์ อาจไม่ใช่ข้อเสนอที่ดีที่สุด
แต่ในฐานะคนไทยอยากจะได้ยินได้ฟังข้อเสนอแบบนี้เพื่อจะนำมาชั่งน้ำหนัก...
รัฐบาลมีข้อเสนอลักษณะนี้ออกมาอีกมั้ย และเสื้อแดงมีข้อเสนออื่นหรือไม่?

เหล่านี้แหละที่คนไทยและสังคมไทยอยากได้ยินมากกว่าคำว่า
ถ้าไม่ยุบก็วุ่นต่อเถอะ!
เพราะผมก็เป็นคนไทยที่ได้รับผลกระทบคนหนึ่งเหมือนกัน

และที่ไม่อยากได้ยินที่สุดคือข้อเสนอว่าให้ยุบเพื่อไปตายดาบหน้าพร้อมกัน!!!

ใครจะไปตายดาบหน้าก็ไปเถอะ ผมคนหนึ่งที่ไม่ไปด้วย!

ผมอยากเห็นอยากได้ยินข้อเสนอที่ดีที่สุดและหลากหลายที่สุด
เพื่อที่จะเลือกสนับสนุนการเดินออกจากวิกฤตการณ์ด้วยวิจารณญาณของตนเอง ..
อย่ามาอ้างประชาธิปไตยเพราะนี่ก็เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น